เมื่อพูดถึงประเทศอังกฤษ หลายคนคงนึกถึงแลนด์มาร์คใหญ่ๆ อย่างหอนาฬิกาบิ๊กเบน ลอนดอนอายส์ หรือบริติชมิวเซียม ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเช็คอินให้ได้ ไม่งั้นเหมือนไปไม่ถึง
แต่สำหรับคนชอบอ่านหนังสืออย่างเรา สิ่งที่ทำให้ออกไล่ล่า ตามหา และใช้เวลาขลุกอยู่ได้นานหลายชั่วโมงกลับไม่ใช่แลนด์มาร์คเหล่านี้ แต่เป็นบรรดาร้านหนังสือต่างๆ ซึ่งทั่วทั้งเกาะบริเตนใหญ่ ไม่เฉพาะแค่ประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่รวมถึงสก็อตแลนด์และเวลส์ ล้วนเต็มไปด้วยร้านหนังสือดีๆ มากมาย ทำให้ดินแดนแห่งนี้คืออาณาจักรแห่งหนังสือขนานแท้
เพราะไม่ใช่แค่ปริมาณร้านหนังสือที่ยังมีจำนวนเยอะมาก (เมื่อเทียบกับประเทศที่สิ่งพิมพ์กำลังหมดลมหายใจอย่างไทยแลนด์) แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ขึ้นรถไฟ ขึ้นรถเมล์ กินข้าว จิบกาแฟ หรือนั่งเล่นในสวนสาธารณะ สายตาต้องปะทะเข้ากับใครสักคนที่กำลังอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อจนกลายเป็นภาพชินตาไปแล้ว
แต่มากไปกว่าการไปเลือกดูหนังสือตามร้านรวงในเมืองใหญ่ เราตั้งใจปักหมุดหมุนเข็มทิศไปที่เมืองเฮย์-ออน-ไวย์ (Hay-on-Wye) โดยเฉพาะ
เฮ้! จะไปไหนนะ?
ตอบใครต่อใครว่า ไปเฮย์-ออน-ไวย์ ยังไงก็ไม่มีใครเกต เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็กมากๆ ริมแม่น้ำไวย์ ซึ่งตั้งอยู่ในแถบเบรคอน ห่างจากกรุงคาร์ดิฟฟ์ เมืองหลวงของประเทศเวลส์ไปเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งตามเวลารถเมล์ท้องถิ่น
เหตุผลที่เราต้องแบกกระเป๋าขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าไปยังเมืองจิ๋วแห่งนี้ (ที่มีพื้นที่ใจกลางเมืองเล็กกว่าหมู่บ้านจัดสรรในไทยบางแห่งเสียอีก) ก็เพราะที่นี่มีสถานะเป็นเมืองหนังสือมือสองของโลก!
เราเริ่มต้นรู้จักชื่อของเฮย์-ออน-ไวย์ จากหนังสือ Sixpence House: Lost in a Town of Books ของ Paul Collins ที่บรรยายบรรยากาศของเมืองหนังสือแห่งนี้เอาไว้อย่างเปี่ยมเสน่ห์ จนทำให้เราอยากไปทำความรู้จักเฮย์ด้วยตัวเองให้มากขึ้น ก่อนออกเดินทาง เราจึงลิสต์รายชื่อสถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏในหนังสือ เพื่อที่จะออกเดินตามหาโดยเฉพาะ
และเมื่อมาถึงเฮย์เข้าจริงๆ ใช้คำว่า “ออกเดินตามหา” ดูจะเกินจริงไปมาก เพราะต่อให้เดินมั่วๆ แบบไม่ต้องเปิดกูเกิ้ลแม็พให้เปลืองแบตฯ ก็สามารถเจอร้านหนังสือเหล่านี้ได้โดยง่าย ด้วยผังเมืองที่ไม่ซับซ้อน มีเพียงถนนสายเล็กลัดเลี้ยวทอดยาวไปตามเนิน แล้วมาบรรจบกันเป็นวงกลม แต่กลับอัดแน่นด้วยร้านหนังสือกว่า 40 ร้าน!
การได้เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ตลอดทั้งวันในเมืองเฮย์-ออน-ไวย์ จึงเป็นกิจกรรมที่สนองนี้ดคนคลั่งหนังสืออย่างเราได้อย่างถึงใจ อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นเมืองหนังสือมือสอง ดังนั้น ร้านหนังสือส่วนมากจึงอัดแน่นด้วยกองทัพหนังสือมือสองละลานตา แต่ละร้านไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ใช้พื้นที่ได้อย่างสุดคุ้ม มีหนังสือเล่มน้อยใหญ่เรียงรายตั้งแต่ในชั้นใต้ดินไปจนถึงห้องใต้หลังคา! และแน่นอนว่าอุดมไปด้วยฝุ่นหนังสือระดับมหาศาล หนอนหนังสือที่เป็นโรคภูมิแพ้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ก็มีร้านหนังสือใหม่ปะปนอยู่บ้าง รวมถึงร้านขายเครื่องเขียนน่ารักๆ และคาเฟ่เก๋ๆ ให้แวะพักจิบชากาแฟหนีฝนหลบหนาว ก่อนจะผลักบานประตูร้านหนังสือที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น แล้ววนเวียนดมกลิ่นหนังสือตั้งแต่สายจรดค่ำแบบอิ่มเอมใจสุดๆ
และนี่คือตัวอย่างร้านหนังสือถูกใจที่เราเก็บมาฝาก
ร้าน Addyman Book หนึ่งร้านหนังสือที่เราประทับใจสุด จัดหมวดหมู่น่ารัก กะทัดรัด ไม่ต้องสับสนในชีวิตมากนัก
มีร้านหนังสือ Richard Booth’s Bookshop Cinema ตั้งชื่อตาม Richard Booth ปูชนียบุคคลแห่งเมืองเฮย์
เขาทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองหนังสือมาตั้งแต่ปี 1962 หนอนหนังสืออย่างเราต้องขอบคุณเขาจริงๆ
“การออกตามล่าหาหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดในเฮย์เป็นงานที่สิ้นหวัง คุณจะเจอแต่หนังสือที่มองหาคุณ หนังสือที่คุณไม่เคยคิดจะถามหาตั้งแต่แรก” – Paul Collins
ข้อความนี้ “จริง” มากที่สุด ให้อารมณ์ราวกับหนังสือหลายๆ เล่มกำลังโบกมือเรียกเราให้ขวักไขว่ไปหมด
วางหนังสือแม้กระทั่งบนขั้นบันได อันนี้ปราบเซียนมาก มองเหลียวหลังไม่เว้นแต่ละก้าว น่ากลัว (เสียเงิน) มากเมืองเฮย์!
เมื่อเคลื่อนตัวเข้ามาเที่ยวในลอนดอน ยังไม่วายแวะร้านหนังสือ
ร้านนี้ห่างจากบริติช มิวเซียมไป 100 เมตร โดนหนังสือไปอีก 2 เล่ม
ที่นี่มีเรือขายหนังสือเก๋ๆ ชื่อ Word On The Water – The London Bookbarge มีทั้งหนังสือเก่าและใหม่วางกองขายเต็มลำเรือ แถมยังมีแผ่นเสียงจำหน่ายด้วย
และมีเพลงเปิดให้ฟังชิลล์ๆ พร้อมชมบรรยากาศริมคลองที่มีเป็ดดำว่ายน้ำอยู่รอบๆ
ข้าพเจ้ายังคงแวะร้านหนังสืออย่างไม่หยุด ครั้งนี้ลองเข้าหนึ่งในร้านหนังสือเก่าแก่ประจำถนนหนังสือ Charing Cross แห่งกรุงลอนดอน ชื่อร้าน Quinto Bookshop (ซึ่งหนังสือส่วนมากก็นำเข้ามาจากเมืองเฮย์นั่นแหละ)
เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวถึงอ๊อกซ์ฟอร์ดก็ยังนัดเจอคนไทยที่นี่ในร้านหนังสือออริจินัลประจำเมือง
มีตั้งแต่หนังสือใหม่ หนังสือมือสอง ยันตำราอ๊อกซ์ฟอร์ด แถมมีคาเฟ่ในร้าน นั่งกินนอน ทำงาน อ่านหนังสือกันทั้งวันก็ยังได้ ไม่มีใครมาไล่
ส่วนมุมที่ชอบที่สุดคือ มุม “อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก” ทางร้านจัดการห่อทุกเล่ม แล้วเขียนเรื่องย่อไว้พอเป็นปริศนา อยากอ่านต้องซื้อ! จัดสิ เอามาเลยเล่มนึง
ถึงใกล้จบทริป ข้าพเจ้าคิดในใจว่า พอแล้วเนอะกับร้านหนังสือ และขอเก็บตกเป็นแห่งสุดท้ายที่ร้านหนังสือ Daunt Books ที่สวยที่สุดในกรุงลอนดอน
เราปิดทริปหนังสือครั้งนี้ด้วยปริมาณน้ำหนักที่ต้องแบกกลับประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาอีกเกือบ 10 กิโลกรัม จากบรรดาหนังสือที่ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่กวักมือเรียกอยู่ไหวๆ ในร้านต่างๆ ที่ว่ามา ถือเป็นความประทับใจและเปิดโลกครั้งสำคัญ หนังสือเล่มเก่าบนชั้นวางที่เคยผ่านมือผู้อ่านมาแล้ว บางเล่มเคยเป็นของขวัญที่คนรักเคยมอบให้กัน บางเล่มช่วยต่อยอดให้อยากวางแผนการเดินทางครั้งใหม่ขึ้นมาทันที และก็มีอีกบางเล่มที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ยังไม่รวมถึงผู้คนน่ารักที่เฮย์ที่ทำให้อยากกลับไปเจอพวกเขาอีกครั้ง
เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าจะไปเฮย์ ต้องเตือนตัวเองให้หนักว่า จงทำพื้นที่กระเป๋าให้ว่างที่สุด เพราะพี่ๆ หนังสือเขาเตรียมกวักมือเรียก รอให้เราพาพวกเขากลับบ้านมาด้วยกันอีกเพียบ!