“ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ คือที่ไหน?”
คำตอบอาจแปรผันตามความชอบหรือรสนิยม
แต่หากถามถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นตำนานของเมืองไทย
‘โชกุน’ ต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกแน่นอน
เพราะนอกจากเปิดกิจการโดยคนญี่ปุ่นแท้ๆ และอยู่คู่คนไทยมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520
ยังมีลูกค้าตั้งแต่ระดับวีไอพี คนญี่ปุ่น จนถึงคนไทยรุ่นใหม่การันตีคุณภาพ
หลังจากยึดที่มั่นอยู่ในโรงแรมดุสิตธานี มากว่า 40 ปี
วันนี้ ‘ร้านโชกุน’ เข้าสู่ยุคใหม่ในบ้านหลังใหม่ ณ อาคารสินธร บนถนนวิทยุ
แต่ ‘ความอร่อย’ และ ‘บริการ’ ยังคงเป็นตำนานที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ความอร่อย ‘ละเมียด’ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ
อาหารทุกเมนูของร้านโชกุนโดดเด่นที่ ‘คุณภาพ’ และ ‘ความสดใหม่’ ของวัตถุดิบ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณโยชิโกะ-เยาวพา บูรณดิลก ผู้บุกเบิกโชกุนให้ความสำคัญตั้งแต่เปิดร้านวันแรก พร้อมสั่งสมประการณ์และเรียนรู้ทุกขั้นตอนการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามาโดยตลอด
“เดี๋ยวนี้พวกวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นรสชาติไม่เหมือนญี่ปุ่นแท้ๆ บางครั้งก็เจอซูชิหรือซาชิมิที่ไม่มีรสชาติปลาเลย แต่รสชาติอาหารของโชกุนไม่เคยเปลี่ยน เพราะเราใส่ใจเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพมากที่สุดและส่งตรงจากหลายที่ เช่น ตลาดปลาสึกิจิ”
นอกจากนี้ อาหารทุกจานยังมาจากฝีมือบรรดาเชฟรุ่นใหญ่ที่อยู่คู่ครัวโชกุนมานานหลายสิบปี อย่างเช่น อิไมซัง (Imai-San) พ่อครัวซูชิชาวญี่ปุ่น วัย 75 ปี ผู้เป็นมือหนึ่งในการทำซาชิมิและซูชิในแบบฉบับต้นตำรับของคนญี่ปุ่น
“การทำซาชิมิและซูชิให้อร่อยต้องเลือกข้าวญี่ปุ่นคุณภาพดีและปลาสด รวมทั้งเทคนิคการปั้นที่พิถีพิถัน ซึ่งไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้ ต้องใช้การฝึกฝน”
“ส่วนใครชอบเนื้อ เราก็มีเนื้อมัตสึซากะกับเนื้อโกเบอย่างดีที่อิมพอร์ทเข้ามาปรุงเป็นหลายเมนูให้ได้ลองทาน”
“หนึ่งในไฮไลต์ที่ใครๆ ก็ติดใจ คือ เทปันยากิ เพราะเรามีทั้งกุ้งตัวใหญ่ เนื้อคุณภาพดีให้เลือกสั่ง”
คุณโยชิโกะเล่าถึงเคล็ดลับการทำอาหารประจำชาติของตัวเองให้อร่อยจนคนต้องบอกต่อมานานกว่าสามเจเนอเรชั่น
ดื่มด่ำอาหารในบรรยากาศญี่ปุ่นดั้งเดิม
ตั้งแต่ก้าวแรกในร้านโชกุนโฉมใหม่ ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 900 ตารางเมตร ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นร้านอื่น เพราะมีรายละเอียดที่สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นในทุกมุม เริ่มต้นจากการออกแบบร้านโดยบริษัทสถาปนิกญี่ปุ่น ซึ่งมีความเข้าใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
หนึ่งในมุมที่ได้รับความนิยมอย่างบริเวณซูชิบาร์ ทางร้านโชกุนเลือกใช้วัสดุ ‘ไม้พันธุ์อิโนกิ’ จากต่างประเทศ แทนหินอ่อนแบบทั่วไป เพื่อสร้างบรรยากาศให้เหมือนซูชิบาร์แบบดั้งเดิมที่ญี่ปุ่นมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติดูแลง่าย ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานมากกว่า 10 ปี
ส่วนคานของซูชิบาร์ก็สร้างให้เตี้ยตามสไตล์ร้านซูชิที่ญี่ปุ่น ซึ่งมักมีเพดานต่ำตามสไตล์บ้านคนญี่ปุ่นสมัยก่อน
สำหรับคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัว ที่นี่มีห้องรองรับหลายขนาด รวมทั้งห้องสไตล์นั่งพื้นแบบญี่ปุ่นที่ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิแท้ๆ จากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้นั่งหรือเดินได้สบายเท้า ลดแรงกระแทกและเสียงรบกวนได้ด้วย
นอกจากนี้ โชกุนแห่งใหม่ยังคงเก็บความทรงจำอันล้ำค่าจากยุคทองในโรงแรมดุสิตธานีมาด้วย โดยยกผนังกระจกเคลือบแผ่นทองอายุมากกว่า 40 ปี มาปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่เป็นประตูและผนังห้อง
สำหรับแฟนโชกุนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ คงสังเกตเห็นโลโก้ของบริษัทที่เป็นรูปดอกไม้ 3 แฉก
แต่คงมีน้อยคนที่รู้ว่า โลโก้นี้ได้รับแรงบันดาลใจด้านดีไซน์จากสัญลักษณ์ตระกูลโทกูงาวะ ตระกูลที่ทรงอำนาจของญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งแฝงอยู่ตามมุมต่างๆ ในร้านโชกุน เช่น บนหมุดทองเหลืองที่ติดตามเสาหรือคานของร้าน รวมทั้งด้านข้างของเฟอร์นิเจอร์โต๊ะไม้ อันเป็นผลงานของช่างฝีมือแกะสลักในยุคก่อนที่หาไม่ได้อีกแล้วในสมัยนี้
ทั้งหมดนี้ คือความเป็น ‘authentic japanese’ ที่ทางร้านโชกุนพยายามรักษาไว้ เพื่อให้สมกับคำว่า ‘ตำนานร้านอาหารญี่ปุ่น’ ในเมืองไทย.
ร้านโชกุน
ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าอาคารสินธร ถนนวิทยุ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11:30 น. – 14:30 น. และ 17:30 น. – 22:00 น. เบอร์โทรศัพท์ 02-050-5566 หรือดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/Shogun56