©ulture

ในอดีต ‘เล็บ’ อาจเป็นส่วนประหลาดของร่างกายที่น่าชังเกินกว่าจะเปิดเผยให้ใครเห็น

มนุษย์เราจึงพยายามแสวงหาสารพัดวิธีเพื่อปกปิดแผ่นแข็งแปลกเหนือนิ้วมือเหล่านี้ไว้ ทั้งตัด เสริม เติม และแต่งด้วยบางสิ่งบางอย่างลงไปบนเล็บ

สิ่งนั้น คือ สีทาเล็บ

ผลลัพธ์ที่สำเร็จออกมาจึงไม่ใช่แค่ช่วยอำพรางความแข็งทื่อของเล็บ แต่ยังเปลี่ยนแปลงส่วนที่ใครหลายคนเห็นว่าไม่น่าดู ให้กลายเป็นความสวยงามที่โดดเด่นและน่ามองมากกว่าเดิม

แต่กว่าที่สีทาเล็บจะมีภาพจำอย่างในปัจจุบันคือ เป็นขวดแก้วใสขนาดเล็กจิ๋ว ภายในบรรจุของเหลวกลิ่นฉุนลักษณะข้นเหนียวคล้ายกาว ซึ่งมีให้เลือกหลายสีสัน หากมองย้อนกลับไปยังอดีตอันไกลโพ้น จะพบว่า เส้นทางความเป็นมาของสีทาเล็บ มีจุดกำเนิดยาวนานหลายพันปี และมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย ต่างมีเคล็ดลับและวิธีดูแลเล็บให้สวยงามในแบบฉบับของตัวเอง

เรื่องราวต่อไปนี้จึงเป็นการยนย่อประวัติศาสตร์ของสีทาเล็บ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาใช้คู่กับเล็บ เพราะสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าเล็บ เคลือบแฝงไปด้วยเรื่องราวใหญ่ๆ มากมาย 

 

ถือกำเนิดจากความเป็นชาย 

มนุษย์เริ่มทาสีเล็บมาตั้งแต่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือราว 3,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและนักรบผู้ชายของอาณาจักรบาบิโลน (ปัจจุบันคือดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศอิรักสีทาเล็บที่พวกเขาใช้ เรียกว่า โคห์ล (kohl) เกิดจากการนำแร่โลหะอย่างกาลีนา (Galena) หรือแร่ตะกั่ว และสติบไนต์ (Stibnite) หรือแร่พลวงเงินมาบดให้ละเอียด จนได้ผงลักษณะคล้ายถ่านที่มีสีดำและสีเขียว

Photo: https://www.history.com/topics/ancient-middle-east/mesopotamia

ผู้ชายในสมัยนั้น จึงเลือกใช้สีที่แตกต่างกัน เป็นสัญลักษณ์แบ่งแยกชนชั้นทางสังคม หมายความว่า คนทาเล็บสีดำมีชนชั้นสูงกว่าคนทาเล็บสีเขียว

นอกจากนี้นักโบราณคดียังขุดค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของโลก เป็นชุดเครื่องมือ 

ทองคำสำหรับตัดแต่งเล็บบริเวณสุสานหลวงทางตอนใต้ของอาณาจักรบาบิโลน ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ จึงยืนยันได้ว่า เล็บเป็นส่วนสำคัญที่มนุษย์เอาใส่ใจและดูแลอย่างดี และสีทาเล็บเริ่มต้นเกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้น 

 

เปลี่ยนผ่านสู่นิ้วของสตรีสูงศักดิ์

ต่อมาการใช้โคห์ลทาเล็บได้แพร่ขยายไปถึงอารยธรรมอียิปต์โบราณ ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์ยังคงใช้สีบ่งบอกชนชั้นเหมือนเดิม คือ กษัตริย์และชนชั้นขุนนางจะทาเล็บสีดำ ส่วนสามัญชนจะทาเล็บสีเขียว

Photo: https://www.smith.edu/hsc/museum/ancient_inventions/

จนกระทั่งในช่วง 1,300 ปีก่อนคริสต์ศักราช สีทาเล็บไม่ได้จำกัดความนิยมอยู่กับผู้ชายเพียงเพศเดียวอีกต่อไป เพราะพระนางเนเฟอร์ติตี (Nefertiti) ราชินีผู้ได้รับสมญานามว่างดงามที่สุดแห่งยุค ได้บุกเบิกการทาสีเล็บในหมู่สตรีสูงศักดิ์ เริ่มจากใช้น้ำมันเข้มข้นชโลมถูทั่วมือและนิ้ว ก่อนทาเฮนน่า (henna) หรือยางธรรมชาติที่ได้จากต้นไม้ ซึ่งมีสีน้ำตาลเข้มอมแดงลงบนเล็บมือและเล็บเท้า

เช่นเดียวกับพระนางคลีโอพัตราที่ 7 (Cleopatra VII) ราชินีองค์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ ยังคงใช้เฮนน่าเป็นสีทาเล็บเหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มความพิถีพิถันมากขึ้น โดยเลือกใช้ยางที่ได้จากผลของต้นเท่านั้น ซึ่งให้เฉดสีแดงสนิมประกายทอง สื่อความหรูหราและสง่างามเหมาะสมกับความเป็นสตรีผู้มีอำนาจสูงสุด ขณะที่สีเล็บของหญิงสามัญชนจะอ่อนกว่ามาก เพราะความเข้มของสีสงวนไว้ใช้กับชนชั้นสูงเท่านั้น

พระนางเนเฟอร์ติตี / Photo: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Nofretete_Neues_Museum.jpg
พระนางคลีโอพัตราที่ 7 / Photo: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Kleopatra-VII.-Altes-Museum-Berlin1.jpg

ทาสีเล็บผิดชีวิตเปลี่ยน

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชาวอียิปต์เริ่มสนใจสีทาเล็บ คือ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวจีนได้คิดค้นสีทาเล็บจากดอกไม้สีสด เช่น กุหลาบและกล้วยไม้ โดยผสมสีที่สกัดออกมาได้จากกลีบกับยางธรรมชาติ ไข่ขาว ขี้ผึ้ง เพื่อทำให้สีขึ้นเงาไม่ด้าน แต่ความงามในแบบฉบับของจีน ต้องแลกมาด้วยความอดทน เพราะกว่าสีทาเล็บจะแห้งสนิท ต้องรอเวลานานนับชั่วโมงหรือข้ามคืน

จีนสมัยโบราณยังได้กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับสีทาเล็บไว้ด้วย อย่างในราชวงศ์โจว ผู้ที่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับจักรพรรดิ รวมถึงชนชั้นขุนนางทุกคน ต้องทาสีเล็บที่ผสมผงทองคำและผงเงินตามยศฐาบรรดาศักดิ์อย่างเคร่งครัด หากใครละเลยหรือทาผิดสีจะถูกต้องโทษ

Photo: https://www.npr.org/2011/12/19/143796431/powerful-portraits-capture-chinas-empress-dowager

ส่วนราชวงศ์หมิง สีทาเล็บทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับบารมีของชนชั้นสูงโดยสมบูรณ์ ทุกคนจึงต้องคอยดูแลรักษาเล็บของตัวเอง ไม่ควรทำงานหนักหรือใช้มือหยิบจับสิ่งของโดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เล็บหักหรือสีเล็บหลุดร่อน สีทาเล็บที่ได้รับความนิยมสูงสุดในราชวงศ์นี้มีสองสี คือ สีแดงเข้มและสีดำ หากชนชั้นล่างบังอาจทาสีเล็บตามจักรพรรดิและชนชั้นสูง จะถูกลงโทษสถานหนักถึงตาย

 

ใครๆ ก็หันมาสนใจเล็บ

คลื่นลูกใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้เล็บ เริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝรั่งเศส จากการบัญญัติคำเฉพาะสำหรับใช้เรียกศาสตร์ตัดแต่งเล็บเพื่อสุขอนามัยทางการแพทย์ว่า manicure การทำความสะอาดเล็บจึงกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องดูแลและใส่ใจ

นปี 1870 ชาวฝรั่งเศสเริ่มโปรดปรานการขัดเล็บมือให้ขึ้นเงา โดยใช้เพียงครีม น้ำมันบำรุงที่มีสี และแป้งฝุ่น เมื่อได้รับความนิยมเป็นวงกว้างจนเกิดเป็นคำใหม่ที่เอาไว้ใช้เรียกความเงาวาวของเล็บว่า polish ผู้คนในสังคมจึงสนใจการตกแต่งเล็บด้วยเหตุผลด้านความงามมากขึ้น เปิดโอกาสให้ร้านเสริมสวยหรือซาลอน (salon) ถือกำเนิดเป็นครั้งในกรุงปารีส

แมรี่ อี คอบบ์

ขณะนั้นเอง แมรี่ อี คอบบ์ (Mary E. Cobb) หญิงชาวอเมริกันผู้มีนิสัยรักสวยรักงาม ได้เรียนรู้วิธีทำเล็บจากฝรั่งเศส เมื่อกลับมายังสหรัฐอเมริกาในปี 1878 เธอจึงนำวิชาความรู้ที่เคยร่ำเรียนมาเปิดร้านทำเล็บ ‘Mrs. Pray’s Manicure’ ในแมนฮัตตัน เธอเป็นทั้งช่างทำเล็บคนแรกและเป็นผู้บุกเบิกการทำเล็บเพื่อความสวยงามในสหรัฐอเมริกา เธอคิดค้นผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลเล็บโดยเฉพาะ รวมถึงเขียนคู่มือแนะนำวิธีทำเล็บมือด้วยตัวเองที่บ้าน ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เธอทำได้สร้างนิยามความงามและค่านิยมทางสังคมใหม่ให้ผู้หญิงชาวอเมริกัน นันคือ เล็บที่ผ่านการดูแลอย่างดี ด้วยวิธีตัดจนสั้นและตะไบให้มีรูปทรงโค้งมนสมมาตร คือ เล็บของผู้หญิงสวยและมีฐานะ กลายเป็นหมุดหมายของอุตสาหกรรมและธุรกิจความงามเพื่อเล็บในสหรัฐอเมริกา

 

ความหรูหราที่หาซื้อได้ 

ปี 1911 Cutex เปิดตัวผลิตภัณฑ์เดียวของบริษัท คือ สีทาเล็บ โดยเลือกใช้ไนโตรเซลลูโลส (nitrocellulose) มาเป็นส่วนประกอบหลัก เพราะว่าปฏิกิริยาทางเคมีจากสารตั้งต้นตัวนี้ ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้มาจากเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เกิดเป็นสีทาเล็บเฉดชมพูขึ้นครั้งแรกของโลก จุดกระแสความนิยมสูงสุดให้สาวๆ ในสมัยนั้นหันมาซื้อสีทาเล็บติดกระเป๋าเครื่องสำอางของตน เพราะบริษัทตั้งราคาจำหน่ายไว้เพียงราคาขวดละ 35 เซนต์ ตามแนวคิดที่ว่า สีทาเล็บแบบขวดเป็นความหรูหราอย่างหนึ่งที่ทุกคนหาซื้อได้ง่ายๆ ในราคาไม่แพง

Photo: https://thevintagewomanmagazine.com/wwii-nail-polish/

ต่อมาในปี 1920 มิเชล แมนาช์ด (Michelle Manardช่างแต่งหน้าชาวฝรั่งเศส ทดลองคิดค้นสูตรสีทาเล็บโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ เพราะเธอสังเกตเห็นว่าสีที่ใช้เคลือบรถให้ทั้งความสดของเฉดสี มีความเงางาม และติดแน่นทนนาน เมื่อทำสำเร็จเธอลองเอาไปขาย ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก

ชาร์ลส์ เรฟสัน

จนชาร์ลส์ เรฟสัน (Charles Revsonนักธุกิจชาวอเมริกันมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ จึงร่วมทุนพัฒนาสูตรสีทาเล็บกับแมนาช์ด และเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอาง ‘Revlon’ ซึ่งเริ่มต้นมาจากการทำสีทาเล็บในปี 1932 

ในเวลาเดียวกันยังเกิดเทรนด์ทาสีเล็บแบบใหม่ โดยทาแค่ตรงกลางให้เป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ด้วย (moon manicure) ทำให้สีทาเล็บเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งตัวที่บ่งบอกตัวตนและความเป็นตัวเองได้

Photo: http://sweetcherrymarmalade.blogspot.com/2011/07/half-moon-manicure-history-and-how-to.html
Photo: https://judydeluca.com/2016/02/24/1930s-type-of-manicure-the-half-moon/

 

ผลงานจากสงครามและทันตแพทย์เล็บหัก 

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ความนิยมสีทาเล็บยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะช่วนั้นกองทัพสหรัฐอเมริการณรงค์ให้พลเมืองตื่นตัวเรื่องสงครามโดยใช้ภาพประชาสัมพันธ์เป็นรูปผู้หญิงสวยทาเล็บสีแดง ทำให้โฆษณาและวงการบันเทิงของฮอลลีวูดปลุกกระแสตามกองทัพ เพื่อให้ผู้หญิงยืหยัดต่อสู่เพื่อชาติ จนเกิดเป็นเทรนด์ใหม่ คือ การทาเล็บด้วยสีแดง และตัดแต่งเล็บให้มีรูปทรงคล้ายเมล็ดแอลมอนด์ โดยผู้หญิงในยุคนั้น มีดาราดังอย่างเอลิซาเบธ เทย์เลอร (Elizabeth Taylor) และ ริตา เฮย์เวิร์ท (Rita Hayworth) เป็นต้นแบบ

เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ / Photo: https://www.dailymail.co.uk/tvshowbiz/article-2521178/Kim-Kardashian-compares-Elizabeth-Taylor-indulgent-Instagram-selfie.html
ริตา เฮย์เวิร์ท / Photo: https://www.goodhousekeeping.com/beauty/nails/tips/g1457/iconic-red-manicures/

หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง สีทาเล็บยังคงได้รับความนิยมอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1957 อุบัติเหตุระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของทันตแพทย์ ทำให้วงการสีทาเล็บก้าวหน้าไปอีกขึ้นหนึ่ง

เฟรด สแลค

เล็บของเฟรด สแลค (Fred Slack) เกิดแตกหักระหว่างทำงาน ระหว่างที่เขาพยายามซ่อมแซมเล็บโดยใช้ของเท่าที่มีในคลินิกอย่างอะคริลิคและอลูมิเนียมฟอยล์ ทำให้เกิดความคิดท้าทายขึ้นมาว่า เป็นไปได้ไหม หากจะสร้างเล็บเทียมหรือพลาสติกชนิดพิเศษสำหรับตกแต่งเล็บที่เสียหาย เขาทดลองจนทำสำเร็จ และจดสิทธิบัตรเล็บเทียมซึ่งทำมาจากอะคริลิค

 

ได้เวลาแจ้งเกิดบนรันเวย์ 

เจฟฟ์ พิงก์ (Jeff Pink) ช่างแต่งหน้าชาวอเมริกัน รู้สึกเบื่อหน่ายกับสีทาเล็บพื้นๆ แบบเดิมๆ ในปี 1976 เขาจึงคิดค้นชุดสีทาเล็บขนาดพกพาสะดวก ซึ่งประกอบด้วยขวดสีทาเล็บหลายขวด และอุปกรณ์ตัดแต่งเล็บ ภายใต้ชื่อแบรนด์ Orly เขาเปิดตัวชุดสีทาเล็บนี้บนรันเวย์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยแนวคิดทำนองว่า สาวๆ ลบสีเดิมทิ้งและทาสีเล็บใหม่ได้เท่าทีต้องการ กลายเป็นที่กล่าวขานของแวดวงแฟชั่นในทันที

เจฟฟ์ พิงก์

เจฟฟ์ยังเป็นผู้คิดวิธีทาสีเล็บเฉพาะส่วนปลาย หรือที่เรียกว่า French manicure ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขว้างเช่นเดียวกัน

Photo: https://www.hqhair.com/blog/hqhearts/goss-with-the-boss-jeff-pink/

หลังจากนั้นวงการสีทาเล็บก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ละคนคิดค้นลายเล็บใหม่ๆ ด้วยตัวเอง ใช้สีได้ตามใจชอบ รวมถึงวิธีการทำเล็บที่หลากหลายกว่าเดิม เช่น การตกแต่งเล็บโดยใช้ดินปั้นแบบชาวญี่ปุ่น ทำให้เล็บโดดเด่นสวยงามเสมือนผลงานศิลปะ 

Photo: https://www.pinterest.com/pin/578642252094613040/

การทำเล็บแบบเชลแลค (Shellac) โดยทาสีเล็บบางๆ เพื่อเน้นความคมชัดเป็นธรรมชาติ 

Photo: https://www.ry.com.au/ontrend/how-to-tips/how-to-make-your-shellac-manicure-last-longer/

และการทำเล็บแบบเจล (Gel) เพิ่มมิติให้กับเล็บ

Photo: https://thepronails.com/blog/gel-nails-and-infection-control/248

จนถึงปัจจุบัน สีทาเล็บและการทำเล็บ คือ การสร้างสรรค์ศิลปะรูปแบบหนึ่ง เป็นทั้งความงาม และความเท่ที่คนทุกเพศทุกวัยเข้าถึงและทำได้เสมอกัน 

 

อ้างอิง