©ulture

ช่วงต้นปี เป็นเวลาที่หลายบริษัทมีคนย้ายเข้าย้ายออกมากกว่าปกติ เพราะเพิ่งจบการประเมินผลงานพนักงานและการจ่ายโบนัส ทำให้เป็นฤดูกาลที่คนเริ่มหางานใหม่ หรือมองหาลู่ทางใหม่ เพื่อขยับขยายเส้นทางการทำงานของตัวเอง

ทว่าหลังๆ มานี้ เราเริ่มเห็นการโยกย้ายงานกลางปีหรือนอกฤดูกาลย้ายงานบ่อยขึ้น อาจเพราะมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ เริ่มไม่ค่อยมีค่านิยมทำงานที่ไหนนานๆ เหมือนคนสมัยก่อนแล้ว แต่มองว่าการทำงานที่ใดที่หนึ่งสักพักและโยกย้ายบ้าง ช่วยให้ก้าวหน้าหรือช่วยให้รีเฟรชตัวเองได้ดีกว่า เลยทำให้เห็นคนย้ายงานกันบ่อยขึ้นกว่าก่อน

ด้วยกระแสดังกล่าว เลยอยากเขียนถึงการหางานใหม่ เพราะตัวเราก็เป็นคนหนึ่งที่ย้ายงานบ่อย เรียกว่าปีละครั้งเลย น่าจะพอมีประสบการณ์หรือมุมมองที่แชร์กันได้ ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. ช่องทางหางานใหม่

ช่องทางแรกที่หลายคนน่าจะรู้จักดี คือ (1) เว็บไซต์สมัครงานต่างๆ เช่น JobsDB หรือติดตามจากช่องทางออนไลน์ของบริษัทโดยตรง ซึ่งมักจะประกาศในเว็บไซต์บริษัทหรือเฟซบุ๊ก

อีกวิธีหนึ่ง คือ (2) สมัครผ่านบริษัทจัดหางาน Recruitment Agency หรือที่เรียกกันว่า ‘recruiter’ เช่น Robert Walters, Adecco, Manpower เราสามารถเข้าไปดูตำแหน่งที่เปิดรับได้เหมือนกัน เพียงแต่เป็นการสมัครผ่านตัวแทนหรือ recruiter ของบริษัทจัดหางานก่อน ซึ่งพวกเขามีหน้าที่สกรีนเบื้องต้นว่าโปรไฟล์ของเราตรงกับสิ่งที่บริษัทที่มาจ้างเขาหาคนอยู่หรือเปล่า

ในทางกลับกัน มันก็ดีกับคนหางาน คือเราสามารถพูดคุยกับ recruiter เพื่อให้เขาช่วยดูงานให้เราได้ด้วยเหมือนกัน เพราะ recruiter จะได้ค่าตอบแทนหลังจากเราถูกจ้างงาน จึงเป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว ว่าง่ายๆ เหมือนมีคนช่วยหางานให้เราอีกที บางคนอาจไม่ได้งานที่ตั้งใจสมัครกับ recruiter ไว้ แต่พอ recruiter จำเราได้ ก็อาจแนะนำงานลักษณะใกล้เคียงอื่นๆ ให้แทน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสมัครตรงกับบริษัท หรือเว็บไซต์สมัครงาน หรือผ่าน recruiter สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำเลย คือ ควรออกแบบ Resume หรือประวัติงานโดยย่อไว้มากกว่า 2 แบบ และควรจะออกแบบเนื้อหาโปรไฟล์เราให้ตรงกับคุณสมบัติของตำแหน่งที่เปิดไว้

บอกแบบนี้ไป อย่าได้ตีความว่าให้โกงโปรไฟล์นะ คือใช้โปรไฟล์เดิมของเรานี่แหละ เพียงแต่เลือกเรื่องที่จะนำเสนอให้ตรงกับตำแหน่ง เช่น สมัครตำแหน่ง Digital Marketing Manager ก็ควรใส่ข้อมูลที่แสดงให้เห็นความสามารถด้าน Digital Marketing

เหตุผลที่ควรทำเช่นนี้ เพราะว่าวันวันหนึ่ง HR หรือ outsource recruiter นั้นนั่งดู Resume ของคนสมัครเยอะมาก ดูกันเป็นร้อยเป็นพันฉบับ พวกเขาจึงสกรีน Resume กันไว แต่หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาใช้สกรีนคือดูว่าโปรไฟล์เรามี keyword ตรงกับตำแหน่งที่พวกเขาหาอยู่หรือไม่

ฉะนั้น วิธีเพิ่มโอกาสให้ Resume ผ่านด่านแรก คือต้องออกแบบการนำเสนอเนื้อหาใน Resume ให้กระชับ โดดเด่น และตรงกับคุณสมบัติตำแหน่งงานที่เปิดรับนั่นเอง รวมไปถึงการอัปเดตข้อมูลใน Linkedin ให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ recruiter และ HR มักจะเข้ามาดู Linkedin ของผู้สมัครเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งบริษัทต่างชาติ Linkedin ถือเป็นช่องทางหลักในการสกรีนผู้สมัครเลยด้วยซ้ำ

ส่วนอีกวิธีหนึ่งในการสมัครงาน คือ (3) Refer หรือใช้ Connection ให้คนรู้จักเป็นคนแนะนำเรากับบริษัทนั้นๆ โดยส่วนตัวเราเองมักได้งานจากวิธีนี้มากที่สุด

วิธีนี้ไม่ได้อาศัยแค่โปรไฟล์เรา แต่อาศัยความน่าเชื่อถือของคนบอกต่อด้วย เพราะคนที่แนะนำต่อต้องรักษาความน่าเชื่อถือของตัวเขา ก่อนเอ่ยปากแนะนำใครให้กับใคร เขาย่อมสกรีนมาแล้วระดับหนึ่งว่า คนกับงานและบริษัทดูน่าจะเข้ากันได้ ซึ่งคนที่จ้างงานส่วนใหญ่จะเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น อีกอย่างคือ วิธีการ Refer จะทำให้โปรไฟล์ของเราถูกส่งตรงไปเจอคนตัดสินใจรับเข้าทำงานได้เร็วกว่าสองวิธีแรก

เพียงแต่วิธีการนี้ ต้องเริ่มจากการสั่งสม connection รวมทั้งการตั้งใจทำงาน เพราะจะยิ่งทำให้ได้อานิสงส์จาก connection เหมือนเวลาเขาเห็นเราหน่วยก้านดี ก็มักจะชวนไปทำงานที่อื่น หรือบอกต่องานให้กับคนทำงานเก่งหรือขยัน อย่างหลายคนที่เรารู้จัก ได้เปลี่ยนงานเพราะหัวหน้าเก่าที่ย้ายออกก่อน ชวนไปทำงานอีกที่ หรือไม่ก็รุ่นพี่รุ่นน้องมาบอกต่องานอีกที

แต่ก็มีอีกเหมือนกัน คือ การให้ผู้ใหญ่ในวงการช่วยแนะนำ หรือ Refer ซึ่งค่อนข้างจะยากหน่อย เพราะการจะเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ได้ก็ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ และไม่ใช่จังหวะที่จะทำได้เรื่อยๆ ต้องขึ้นกับลักษณะงานและบุคลิกของเราว่าเป็นคนเข้าหาผู้ใหญ่มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งการตีสนิทผู้ใหญ่เป็นหรือไม่ แต่วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ทรงพลัง ตรงจุด ตรงเข้าคนตัดสินใจ ทำให้ปิดดีลได้งานเร็วกว่าวิธีอื่นๆ

2. เตรียมตัวให้พร้อมได้งาน

สำหรับเรื่องการเตรียมตัวหางานใหม่ เราแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนแรกคือ ส่วนของตัวเอง แน่ล่ะว่าการหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะขึ้นชื่อว่าเปลี่ยนงานก็เหมือนเปลี่ยนชีวิต เพราะงานกินเวลาพวกเราเยอะมาก ไหนจะสภาพแวดล้อมที่ต้องไปอยู่ใหม่ ไหนจะผู้คนที่เราต้องไปใช้เวลาด้วย

ดังนั้น การเปลี่ยนงานจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตเลย ฉะนั้นอย่างแรก คุยกับตัวเองให้แน่ใจชัดก่อนว่า ทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน แล้วอยากเปลี่ยนไปทำอะไร อยากได้งานใหม่แบบไหน เงินเดือนประมาณเท่าไร ต้องคุยกับตัวเองจนได้คำตอบเหล่านี้

ส่วนที่สองคือ ศึกษาตลาดงานและบริษัทที่เราอยากเข้าไปทำ ควรจะรู้ว่าเรามีจุดเด่นอะไรบ้างเมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ ที่กำลังจะสมัครงานเดียวกับเรา ในทางกลับกัน ควรศึกษาทั้งตำแหน่งและบริษัทที่กำลังจะสมัครว่าเขามองหาคนแบบไหน ปัญหาอะไรที่เขาจะจ้างเราไปแก้ไข เขาน่าจะยอมจ่ายค่าตัวประมาณเท่าไร ในอดีตตำแหน่งที่เราจะไปสมัคร เขาเลือกคนแบบไหนมาทำ วัฒนธรรมการทำงานเป็นอย่างไร พอจะเข้ากันได้กับนิสัยและบุคลิกเราหรือเปล่า

เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพยายามหาคำตอบมาให้ได้ เพราะการรู้จักบริษัทหรือตำแหน่งที่สมัคร จะช่วยทั้งการออกแบบ Resume วิธีการนำเสนอตัวเอง การตอบคำถามสัมภาษณ์งาน การต่อรองเงินเดือนและสวัสดิการ หรือรูปแบบในการเข้าหา เช่น บางบริษัทนิยมรับคน Refer หรือ Connection เราก็จะได้รู้ว่าควรหาคนที่พอจะแนะนำเราเข้าไปได้

ส่วนสุดท้าย แสดงออกบ้างว่ากำลังมองหางาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดแล้วน่าขำ แต่เชื่อหรือไม่ว่า เท่าที่เราคุยกับคนรับบท Refer พวกเขามักบอกว่า เวลามีคนเข้ามาปรึกษาหรือให้แนะนำคนไปทำงาน พวกเขาจะนึกสเปกคนทำงานออก คือพอกะถูกว่าเหมาะจะชวนใคร แต่ไม่มั่นใจว่าคนนั้นกำลังหางานอยู่หรือเปล่า

ว่าง่ายๆ คือ คนมักไม่รู้ว่าใครบ้างที่กำลังหางาน ดังนั้น ถ้าอยากเปลี่ยนงาน ต้องคอยส่งสัญญาณกับคนรู้จักบ้าง แต่ไม่ใช่คนที่ทำงานเดิมตัวเองนะ หมายถึงคนวงนอก ซึ่งอยู่ในจุดพอจะช่วยหางานหรือแนะนำงานให้ได้ ซึ่งถ้าเป็นใน Linkedin ยิ่งดี เพราะโปรไฟล์เราจะขึ้นในกลุ่ม recruiter ว่ากำลังมองหางานอยู่

และสุดท้ายของท้ายสุด หากได้งานใหม่แล้วอย่าลืมที่ทำงานเดิม ยิ่งช่วงเปลี่ยนผ่านย้ายงาน ต้องทำงานและส่งงานต่อให้เรียบร้อย เพราะช่วยทำให้ดูเป็นมืออาชีพและไม่ถูกสาปส่งตอนออกจากงาน

อย่าลืมว่าวงการทำงานนั้นแคบ การทำงานเรียบร้อยจะสร้างชื่อเสียงที่ดีให้เราต่อไปในอนาคต เพราะหลายครั้งโอกาสงานดีๆ ที่หยิบยื่นเข้ามา ก็มักจะมาจากชื่อเสียงที่สั่งสมกันมา

ฉะนั้น หากถามว่าการเตรียมตัวที่ดีที่สุดคืออะไร ก็คือการตั้งใจทำงาน เป็นคนทำงานที่คนอื่นๆ อยากทำงานด้วย นี่แหละคือการเตรียมตัวพร้อมสำหรับทุกโอกาสที่เข้ามา

สำหรับเรื่องสมัครงาน ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งการสัมภาษณ์และการต่อรองเงินเดือน ไว้โอกาสหน้าจะเขียนถึง