©ulture

ศิลปะอยู่คู่กับโลกนี้มายาวนานหลายพันปี

แต่หากพูดถึงสมัยที่รุ่งเรืองมากที่สุด 

ต้องยกให้ ยุคเรอเนสซองส์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอิตาลี 

Italian Renaissance
เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ศูนย์กลางที่เป็นต้นกำเนิดของศิลปะเรอเนสซองส์ (photo: https://blog.studentsville.it)

เมื่อบรรดาศิลปินชาวอิตาเลียนพากันปฏิเสธรูปสัญลักษณ์ยุคกอธิค (Gothic) และโรมาเนสก์ (Romanesque) ที่ถูกครอบงำจากคริสตจักรมานานกว่าพันปี พร้อมสร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจจากศิลปะกรีกและโรมันในอดีตที่เคยรุ่งเรือง ซึ่งมีจุดเด่นที่การให้ความสำคัญกับมนุษย์และธรรมชาติ 

เพราะเชื่อในพลังของมนุษย์ ยุคเรอเนสซองส์จึงสร้างศิลปินเอกของโลกหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) และ บอตติเชลลี (Botticelli) ที่ได้รับยกย่องให้เป็น 4 บุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์ ที่วันนี้ผลงานของพวกเขากำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21ในนิทรรศการที่ชื่อว่า ITALIAN RENAISSANCE ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ณ กรุงเทพมหานคร

หากวันนี้คุณยังไม่รู้จัก 4 บุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์มากนัก common ขอชวนไปทำความรู้จักพร้อมกัน เพื่ออรรถรสในการชมนิทรรศการ

1. เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) 

Italian Renaissance
(photo: https://www.leonardodavinci.net)

หากพูดถึงพระเอกแห่งยุคเรอเนสซองส์ ทุกคนต้องยกตำแหน่งนี้ให้เลโอนาร์โด ศิลปินผู้มีผลงานโด่งดังระดับโลกหลายชิ้น อย่างโมนาลิซา (Mona Lisa) พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) วิทรูเวียนแมน (Vitruvian Man)

Italian Renaissance
‘The Last Supper’ หนึ่งในผลงานชื่อดังของเลโอนาโด ดา วินซี (photo: https://en.wikipedia.org)
Italian Renaissance
ภาพ ‘Vitruvian Man’ ที่เลโอนาโดวาดขึ้นจากการศึกษาสัดส่วนกายวิภาคมนุษย์อย่างละเอียด จนได้พบทฤษฎีที่ว่า เมื่อคนยืนกางแขนขาจะได้รูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์เสมอ นับเป็นการเปิดประตูสู่การศึกษาศาสตร์กายวิภาคครั้งสำคัญของโลก (photo: https://en.wikipedia.org)

แม้หลายคนมองว่าเลโอนาร์โดเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่แท้จริงแล้วนิสัยใฝ่รู้ ช่างคิด ช่างฝัน และสนใจเรื่องหลากหลายรอบตัวตั้งแต่เด็ก ทั้งศิลปะ ดนตรี วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ วิศวกร ช่วยผลักดันให้เขาเป็นอัจฉริยะ 

ที่สำคัญคือ เขาเป็นนักทดลอง และมักจะทำสิ่งธรรมดาด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดาเสมอ ซึ่งสำแดงให้เห็นผ่านผลงานมาสเตอร์พีซของเขาทุกชิ้น

ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa)

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เลโอนาโดวาดภาพสุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ซึ่งผู้คนไม่แน่ใจว่าเธอยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ 

เขาใช้เวลาวาดภาพเล็กๆ ที่มีขนาดความสูงเพียง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร นานเกือบ 15 ปี ซึ่งภาพนี้ถือเป็นการปฏิวัติวงการศิลปะในสมัยนั้น เพราะส่วนใหญ่มักเป็นภาพวาดเต็มตัวแบบแข็งๆ จากมุมด้านข้างเต็มตัว ไม่เป็นธรรมชาติ 

แต่เลโอนาโดวาดโมนาลิซาให้เห็นแค่ 3 ส่วน 4 ของร่างกาย ดูมีความผ่อนคลาย และถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการวาดพื้นหลังเป็นวิว แถมยังเป็นทิวทัศน์มุมสูง ซึ่งถือว่าเป็นจินตนาการสุดล้ำในยุคนั้น 

ปัจจุบันภาพโมนาลิซาถูกเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ภาพพระแม่มารีเบนัวส์ ( Benois Madonna

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

หนึ่งในภาพวาดสีน้ำมันที่เป็นแรงบันดาลใจให้จิตรกรรุ่นน้องหลายคน โดยเฉพาะเรื่ององค์ประกอบศิลป์ที่สวยงาม และสายตาของมนุษย์ที่ทำให้ภาพวาดดูมีความเป็นธรรมชาติ อย่างเช่นในภาพนี้ที่เด็กน้อยมองตามมือของแม่

ผลงานภาพพระแม่มารีเบนัวส์ถูกเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง จนปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจ (Hermitage Museum) ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย

2. ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) 

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

มีเกลันเจโล หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไมเคิลแองเจโล เป็นหนึ่งในจิตรกรสถาปนิก และประติมากรผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของยุคเรอเนสซองส์ พิสูจน์ได้จากผลงานรูปสลักชื่อดังก้องโลกอย่างเดวิดและปีเอตะ โดยได้พื้นฐานศิลปะด้านนี้มาจากวัยเด็กที่เคยอาศัยอยู่กับช่างตัดหินอ่อน และได้ฝึกการใช้สิ่วและค้อนในการแกะสลักจนเชี่ยวชาญ

Italian Renaissance
รูปปั้น ‘Pietà’ งานประติมากรรมหินอ่อนชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโล ตั้งอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตร ที่นครรัฐวาติกัน (photo: https://en.wikipedia.org)

ส่วนพรสวรรค์ด้านการวาดรูปของไมเคิลแองเจโลพัฒนามาจากการฝึกคัดลอกภาพเขียนตามโบสถ์และการใช้ชีวิตกับจิตรกรมากฝีมือหลายคน เขามักทำงานศิลปะเพื่อรับใช้ศาสนาในโบสถ์มาโดยตลอด ผลงานเหล่านี้เองที่กลายเป็นศิลปะอันโด่งดังที่ถือเป็นมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลัง 

เมื่อเขาเสียชีวิตในวัย 88 ปี สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผู้ปกครองศาสนาจักรในช่วงนั้นถึงขั้นกล่าวว่า “ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของเรา เพื่อแลกกับชีวิตของมิเกลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก”

รูปปั้นเดวิด (David)

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

ไมเคิลแองเจโล ลงมือแกะสลักหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลานานกว่ายี่สิบปี ให้กลายเป็นรูปปั้นหนุ่มรูปงามชื่อ ‘เดวิด’ การสร้างงานศิลปะครั้งนี้ถือว่าไม่ง่าย เพราะหินอ่อนชิ้นนี้มีตำหนิและไม่แข็งแรงพอสำหรับสร้างประติมากรรมขนาดใหญ่และไม่มีประติมากรคนไหนทำได้

ไมเคิลแองเจโลใช้เวลาเพียง 4 ปีในการสร้างสรรค์หินอ่อนแกะสลักรูปพระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล โดยเน้นให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ ความเหมือนจริงทุกกระเบียดนิ้วของเดวิด ถือเป็นตัวแทนที่แสดงให้ถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุคเรอเนสซองส์

ตอนนี้รูปปั้นเดวิดตั้งตระหง่านให้คนทั่วโลกมาชมที่หอศิลป์อะคาเดเมีย (Galleria dell’Accademia) พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรวบรวมต้นฉบับของผลงานศิลปะชื่อดังหลายชิ้น

ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม (The Creation of Adam)

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

หนึ่งในภาพวาดของไมเคิลแองเจโลที่คนทั่วโลกรู้จักและคุ้นตามากที่สุดภาพหนึ่ง ถือเป็นจิตรกรรมอันเก่าแก่มากกว่าหนึ่งพันปีที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคเรอเนสซองส์

ศิลปะมาสเตอร์พีซของโลกชิ้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของภาพเขียนบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel ceiling) ซึ่งอยู่ในพระราชวังวาติกันที่สร้างขึ้นในระหว่างปี 1477-1480 เขาสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบ ‘เฟรสโก้’ (fresco) หรือการเขียนภาพแบบปูนเปียกบนผนังในยุคนั้น ซึ่งใช้น้ำละลายสีลงไปในปูนที่ยังไม่แห้ง และปล่อยให้สีเริ่มซึมลงไปในผนัง 

ไมเคิลแองเจโลได้แรงบันดาลใจในการวาด The Creation of Adam จากพระคัมภีร์ไบเบิลที่เล่าเรื่องมนุษย์คนแรกของโลก โดยผู้ชายฝั่งซ้ายคือ ‘อาดัม’ ชายหนุ่มผู้แข็งแรง มีร่างกายกำยำ แต่กลับมีสีหน้าเศร้าสร้อย จ้องมองไปยังพระเจ้าที่มาในร่างของชายชรา แต่แลดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยกำลังวังชา พร้อมโอบกอด ‘อีฟ’ หญิงสาวที่เชื่อกันว่าเป็นผู้หญิงคนแรกของโลก 

3. ราฟาเอล (Raphael) 

(photo: https://en.wikipedia.org)

จิตรกรชาวอิตาเลียนชื่อดัง ผู้มีพรสวรรค์ด้านศิลปะอย่างแท้จริงตั้งแต่เด็ก เขามีโอกาสได้แสดงฝีมือวาดภาพและประสบความสำเร็จตั้งแต่สมัยช่วงวัยรุ่น ราฟาเอลอ่อนกว่าเลโอนาร์โดและไมเคิลแองเจโลหลายปี เขาจึงมีโอกาสได้ศึกษางานและมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือให้เทียบชั้นกับศิลปินระดับมาสเตอร์ของโลกทั้งสองคน พร้อมเรียนเขียนภาพกับพ่อของตัวเองที่เป็นจิตรกรราชสำนักของเจ้าเมืองอูร์บีโน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมสมัยเรอเนสซองส์

ถึงแม้ว่าราฟาเอลมีศิลปินผู้ยิ่งใหญ่เป็นไอดอลในดวงใจ แต่ผลงานของเขามีความโดดเด่นและแตกต่างด้วยเทคนิคอันหลากหลาย ความแม่นยำด้านการวาดสรีระของคน ขณะเดียวกันภาพของเขายังดูมีมิติซับซ้อนและมีชีวิตชีวาด้วยสีสันอันสดใสกว่าภาพวาดในยุคนั้น โดยเฉพาะภาพหญิงสาวที่เขาสื่อความงามออกมาได้อย่างทรงพลัง  

ราฟาเอลเป็นศิลปินที่มีอายุสั้น เพียงแค่ 37 ปี แต่เขามีผลงานศิลปะสุดยิ่งใหญ่หลายชิ้น โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังในนครวาติกัน เช่น ภาพ The School of Athens และ Disputation of the Holy  ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา และเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับการยกย่องชื่นชมมากที่สุดของยุค

Italian Renaissance
ภาพ ‘The School of Athens’ จิตรกรรมฝาผนังชิ้นเอกของราฟาเอล ถือกันว่าเป็นงานที่เพียบพร้อมไปด้วยลักษณะการเขียนภาพแบบเรอเนซองส์ (photo: https://en.wikipedia.org)

ภาพพระแม่มารีสีชมพู (Madonna of the Pinks) 

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

ราฟาเอลบรรจงลงมือวาดช่วงเวลาที่พระแม่มารีกำลังเลี้ยงดูพระเยซูในวัยเด็กภาพนี้ในช่วงปี 1506 

ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพที่โด่งดังของราฟาเอล เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการวาดหญิงสาวได้สวยงาม พร้อมสื่ออารมณ์ความอ่อนโยนออกมาให้ผู้คนสัมผัสได้ นอกจากนี้ เขายังแสดงพรสวรรค์ในการเลือกใช้เฉดสีสันที่ผสมผสานกันแล้วชวนให้รู้สึกถึงความสงบ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เห็นได้ในทุกผลงานของราฟาเอล 

ปัจจุบัน ภาพพระแม่มารีสีชมพู จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติของกรุงลอนดอน( National Gallery) ประเทศอังกฤษ

ภาพพระแม่มารีและพระบุตรกับนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ (Madonna and Child with Saint John the Baptist) 

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org)

ภาพพระแม่มารีและพระบุตรในสวน หรือ พระแม่มารีและพระบุตรและนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันที่ราฟาเอลวาดลงบนไม้ เขาเล่าเรื่องราวของพระแม่มารี พระเยซู และนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ในวัยเด็ก 

หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ลักษณะเด่นของภาพนี้อยู่ที่การใช้แสงเงาตัดกัน ทำให้บรรยากาศดูมีความผ่อนคลายและอ่อนโยน นอกจากนี้ ราฟาเอลยังได้อิทธิพลการวาดภาพสวนด้านหลังจากเทคนิคของเลโอนาโด  

ภาพนี้ถือเป็นภาพพระแม่มารีที่มีความสำคัญที่สุดในบรรดาจิตรกรยุคเรอเนสซองส์ ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

4.บอตติเชลลี (Botticelli) 

(photo: https://en.wikipedia.org

ซานโดร บอตติเชลลี หนึ่งในจิตรกรฝีมือดีของยุคเรอเนสซองซ์ ผู้ถนัดในการการผสมผสานศิลปะสไตล์กอธิค (Gothic) ในช่วงยุคกลาง ความรู้ด้านสรีระวิทยาของมนุษย์และทักษะการวาดภาพเพอร์สเปคทีฟเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่น เห็นได้จากผลงานชิ้นเอกที่คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นคือ กำเนิดวีนัส (The Birth of Venus)  และฤดูใบไม้ผลิ (Primavera) 

บอตติเชลลีรักในศิลปะตั้งแต่เด็ก และมีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ จากจิตรกรชื่อดังหลายคนในยุคนั้น ทั้งการเขียนภาพบนแผ่นไม้ การเขียนภาพปูนเปียก รวมทั้งการจัดองค์ประกอบศิลป์ต่างๆ นอกจากนี้ บอตติเชลลียังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินผู้วาดภาพเหมือนบุคคลได้ดีที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น พร้อมสื่ออารมณ์และเรื่องราวออกมาได้สมจริงที่สุด

ในขณะที่บรรดาเพื่อนศิลปินของบอตติเชลลีสนใจความทันสมัย แต่เขากลับสนใจศิลปะยุคเก่าอย่างสมัยกอธิค ซึ่งเคยเฟื่องฟูก่อนยุคของเขาหลายร้อยปี เทคนิคและการเลือกใช้สีของเขาจึงมีความแตกต่างจากงานของจิตรกรคนอื่นๆ ในสมัยนั้น และเขาพัฒนาตัวเองจนได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ภาพได้อย่างมีพลังที่สุด 

ภาพกำเนิดวีนัส (The Birth of Venus) 

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org

งานจิตรกรรมที่เป็นมาสเตอร์พีซของบอตติเชลลี เป็นภาพเทพธิดาแห่งความรักหรือวีนัสยืนบนเปลือกหอย ซึ่งในสมัยกรีกโรมันหอยเป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะของหญิงสาว กำลังถูกพัดเป่าเข้าสู่ชายฝั่งของเกาะแห่งหนึ่ง โดยพลังของเทพหนุ่มแห่งลมผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความใคร่ บินมาพร้อมพระชายา และมีเทพธิดาแห่งฤดูมารอรับ พร้อมแพรผ้าสีสดใสลายดอกไม้เตรียมห่มคลุมร่างอันเปลือยเปล่าที่งดงาม 

รายละเอียดทุกส่วนวาดด้วยลายเส้นอันอ่อนช้อย ลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมยาวสลวยที่ปลิวไสว ผ้าแพรที่โบกสะพัดตามลม คลื่นที่ม้วนตัวกระทบฝั่ง องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ภาพนี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์

ปัจจุบันภาพกำเนิดวีนัสตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ (Galleria degli Uffizi)  เมืองฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี

ภาพฤดูใบไม้ผลิ (Primavera)

Italian Renaissance
(photo: https://en.wikipedia.org

ผลงานชิ้นเอกสุดประณีตและอ่อนหวานที่สุดของบอตติเชลลี เป็นภาพสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิและการเริ่มต้นของศิลปะเรอเนสซองซ์แบบฟลอเรนซ์

ในภาพประกอบด้วยเทพวีนัส (เทพแห่งความงามและความรัก) ยืนอยู่กลางภาพ มีเทพคิวปิดเล็งศรแห่งความรักไปยังไตรเทพี (เทพีแห่งความมีเสน่ห์ ความงาม ธรรมชาติ) ที่กำลังเต้นรำอยู่เป็นกลุ่ม ทางซ้ายมือสุดของภาพเป็นเทพเมอร์คิวรี (เทพผู้สื่อสารและเทพแห่งการค้าขาย) กำลังเอื้อมมือออกไปดูแลปกป้องผลไม้ ในฐานะผู้อารักขาสวน ส่วนด้านขวาของภาพ เทพเซไฟรัส (เทพเจ้าแห่งลม) พยายามไล่จับนางไม้คลอริส (เทพแห่งฤดูใบไม้ผลิ) ซึ่งกำลังเกาะเทพีฟลอรา (เทพีแห่งมวลดอกไม้) ผู้กำลังโปรยดอกไม้ 

ตั้งแต่สมัยเรอเนสซองซ์จนถึงยุคปัจจุบัน ภาพนี้ได้รับการตีความหมายแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือ ฝีมือการวาดภาพที่สวยงามในทุกสัดส่วน การวางองค์ประกอบศิลป์ในสไตล์เรอเนซองส์

และอุดมคติที่มีต่อเทพแต่ละองค์ของผู้คนในยุคสมัยนั้น.

นิทรรศการมัลติมีเดีย ITALIAN RENAISSANCE จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก (World Premier) ที่อาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 Contemporary Art Space ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2562 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/RiverCityBangkok/

อ้างอิง: