©ulture

อะไรทำให้ % Arabica (อะราบิก้า) กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของผู้ชื่นชอบการดื่มกาแฟ จนต้องหาโอกาสลิ้มลองรสชาติกาแฟของร้านนี้สักครั้ง

becommon ขออาสาหาคำตอบที่หลายคนอยากรู้ จากเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงการเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ผ่านมุมมองและความตั้งใจของ เคนเนธ โชจิ (Kenneth Shoji) ผู้ก่อตั้งชาวญี่ปุ่น 

เคนเนธ โชจิ

เริ่มต้นด้วยความรักในรสกาแฟ

หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โตเกียว เคนเนธย้ายไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ถึง 6 ปีเต็ม สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็น คือ สตาร์บัคเป็นร้านกาแฟเพียงแบรนด์เดียวที่สามารถขยายสาขาไปทั่วเมืองได้อย่างรวดเร็ว เขาทั้งรู้สึกสงสัยและประทับใจ เพราะเคนเนธเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าประจำที่ชื่นชอบในรสกาแฟ และชื่นชมทุกอย่างที่เป็นสตาร์บัค ถึงขนาดตามซื้อแก้วกาแฟทุกคอลเล็คชั่นเพื่อเก็บสะสม

(Photo: https://web.facebook.com/percentage/photos/a.436837183002990/2257085647644792/)

แม้ว่าพ่อของเคนเนธต้องการให้เขาสืบทอดธุรกิจครอบครัวหลังเรียนจบ แต่ขณะเรียนรู้งาน เขายังคงเฝ้าถามตัวเองเสมอว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิต และเติมเต็มความฝันให้ตัวเขาไปพร้อมๆ กันได้

เมื่อเขาพบว่าคำตอบ คือ ‘กาแฟ’ นับตั้งแต่นั้น เคนเนธมุ่งมั่นเรียนรู้วัฒนธรรมกาแฟ เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองบนเส้นทางที่เขาเป็นคนเลือกเดิน แต่ก็ยังต้องทำธุรกิจของครอบครัวควบคู่ไปด้วย

หมุดชีวิตใหม่ในไร่กาแฟที่ฮาวาย

ย้อนกลับไปในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย เคนเนธชอบหาดทรายและแสงสุดท้ายของวันก่อนดวงอาทิตย์จะลับขอบทะเล มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขารู้สึกผ่อนคลาย หลังจากเรียนมาตลอดทั้งวัน เขาจึงตั้งเป้าหมายว่า จะใช้ชีวิตในบ้านริมหาดเพื่อซึมซับความรู้สึกนี้ในทุกๆ วัน

(Photo: https://web.facebook.com/percentage/)

เมื่อสภาพภูมิประเทศของญี่ปุ่นไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่ปลูกกาแฟได้ เคนเนธจึงตัดสินใจซื้อไร่กาแฟบนเกาะฮาวาย แล้วทำเป็นฟาร์มของเขา ด้วยความตั้งใจผลิตเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้กาแฟที่สมบูรณ์แบบ

(Photo: Kenneth Shoji)
(Photo: Kenneth Shoji)

นอกจากนี้ เคนเนธยังติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องชงเอสเพรสโซสัญชาติอเมริกันแบรนด์ Slayer Espresso และกรวยชงกาแฟสัญชาติอเมริกันแบรนด์ Chemex ซึ่งได้รับการยอมรับในแวดวงกาแฟว่ามีคุณภาพดีระดับโลก รวมถึงเป็นผู้ส่งออกรายเดียวของเครื่องคั่วกาแฟสัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์ Tornado King

จนกระทั่งในปี 2013 เคนเนธได้ฤกษ์เปิดสำนักงานใหญ่ % Arabica ที่ประเทศฮ่องกง โดยทั้งบริษัทมีพนักงานทั้งหมด 2 คน คือ เขาและภรรยา ซึ่งในช่วงแรกเริ่ม เป็นเพียงโชว์รูมขายเครื่องกาแฟและโรงคั่วกาแฟเท่านั้น 

ชื่อร้าน % ΔRΔBICΔ ชวนสงสัย

เมื่อแรกเห็นสัญลักษณ์ยักษ์ใหญ่หน้าร้าน หลายคนมักจะเข้าใจเหมือนๆ กันว่า เป็นเครื่องหมายเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงเมล็ดกาแฟสองเมล็ด ซึ่งอยู่บนกิ่งของต้นกาแฟเดียวกัน

(Photo: Arabica Journal)

เคนเนธบอกเล่าถึงที่มาว่า วันหนึ่งเขามองไปยังคีย์บอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งานอยู่ เมื่อเขาเห็นเครื่องหมาย % มันทำให้เขานึกถึงเมล็ดกาแฟบนกิ่งขึ้นมาเสียดื้อๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตัดสินใจใช้ % เป็นสัญลักษณ์ของร้าน

การเลือกใช้เพียงวงกลมและเส้นตรงง่ายๆ นอกจากจะเป็นการลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นแล้ว ยังสามารถสร้างความคลุมเครือที่กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและถกเถียงถึงการเรียกชื่อร้านด้วย โชจิบอกว่า คนจำนวนมากอ่านชื่อร้าน % ΔRΔBICΔ ว่า Percentage Arabica หรือไม่ก็ Arabica Coffee ซึ่งผิด เพราะชื่อที่ถูกต้องคือ ‘อะราบิก้า’ เฉยๆ นับเป็นวิธีสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ได้อย่างชาญฉลาด

‘เกียวโต’ บ้านเกิดของร้านกาแฟ % Arabica

ในปี 2014 เคนเนธจับมือกับ จุนอิจิ ยามากุจิ (Junichi Yamaguchi) แชมป์ลาเต้อาร์ตจากเวที The Coffee Fest Latte Art World Championship

จุนอิจิ ยามากุจิ

เปิดร้าน % Arabica ที่ขายกาแฟสาขาแรก ในเขตฮิกาชิยามะ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ของจังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เคนเนธบอกเหตุผลว่า หากจะต้องสร้างแบรนด์ญี่ปุ่น เกียวโตคือคำตอบที่ดีที่สุด เพราะเป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมการดื่มชา และผู้คนทั่วโลกต่างมาเยือนที่นี่ เพื่อสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นขนานแท้

(Photo: Takumi Ota)

มองโลกผ่านแก้วกาแฟ

หัวใจสำคัญหรือปรัชญา (Philosophy) ของ % Arabica คือ See the World through Coffee

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ระหว่างที่เคนเนธเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งท่องเที่ยว ใช้ชีวิต และติดต่อธุรกิจ เขาจะลองชิมกาแฟของประเทศนั้นๆ ไปด้วย นั่นทำให้เขารู้สึกว่า กาแฟแต่ละที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน การดื่มกาแฟหนึ่งแก้ว จึงเปรียบเสมือนการได้ทำความรู้จักพื้นที่อื่นๆ ของโลก ผ่านประสาทสัมผัสรับรส กลิ่น และสี

(Photo: https://web.facebook.com/percentage/)

กาแฟทุกแก้วของร้าน % Arabica จึงทำหน้าที่เชื่อมโยงที่ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ผ่านเมล็ดพันธุ์กาแฟที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจากทั่วทุกมุมโลก หลักคิดนี้ยังต่อยอดไปถึงการขยายสาขาไปในอีกหลายๆ ประเทศ เพราะเคนเนธตั้งใจเชื่อมสัมพันธ์ผู้คนจากที่ต่างๆ โดยใช้กาแฟเป็นสื่อกลาง เพื่อเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจ และส่งต่อวัฒนธรรมการดื่มกาแฟให้กับทุกคน

% Arabica ไอคอนสยาม สาขาแรกในประเทศไทย

พื้นที่ขนาด 250 ตารางเมตร ถูกออกแบบโดยทีม โนมุระ โกเกอิชา (No.10 of Nomurakougeisha) จากกรุงโตเกียว เปลี่ยนให้เป็นร้านกาแฟสไตล์มินิมอลอบอุ่น รอบๆ มีบาร์ให้นั่งรับวิวที่เปิดกว้าง 360 องศา โล่งสบายและกว้างขวาง

(Photo: ICONSIAM)

ร้านโทนสีขาวช่วยให้ถุงกาแฟที่ประดับประดาอยู่ข้างบน และเครื่องชงกาแฟหุ้มด้วยเกราะไม้โดดเด่นขึ้นมา นอกจากที่นี่จะเป็นสาขาแรกของประเทศไทยแล้ว ยังเป็น % Arabica ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

เมล็ดพันธุ์ (กาแฟ) แห่งความสำเร็จ

นอกจากเป็นเจ้าของไร่กาแฟในฮาวายที่ใช้ผลิตและส่งออกเมล็ดกาแฟไปยังร้าน % Arabica ทุกสาขาทั่วโลกแล้ว เคนเนธยังคัดเลือกพันธุ์กาแฟที่จะนำมาทำกาแฟด้วยตัวเองทุกครั้ง เขาพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าผลลัพธ์ที่สำเร็จออกมาเป็นกาแฟแต่ละหยดย่อมดีที่สุดเช่นเดียวกัน

สำหรับกาแฟที่จำหน่ายในร้าน มีให้เลือก 2 ประเภท ได้แก่ Single Origin เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ส่งตรงจากแหล่งเพาะปลูกในประเทศเอธิโอเปีย ผ่านการขนส่งทางเรือเท่านั้น เพื่อรักษารสชาติเปรี้ยวแต่เข้ม และมีกลิ่นหอมผลไม้ เครื่องดื่มที่แนะนำ คือ Coffee Latte Hot (145/175 บาท)

(Photo: ICONSIAM)

ส่วนอีกประเภท เป็นกาแฟสูตรพิเศษที่เรียกว่า Arabica Blend โดยผสมเมล็ดกาแฟจากหลากหลายสายพันธุ์ทั่วโลกมาอยู่รวมในแก้วเดียว เพื่อให้เกิดกลิ่นและรสละมุนเฉพาะตัวออกไปทางช็อกโกแลตและคาราเมล เครื่องดื่มที่แนะนำ คือ Spanish Latte Hot (150/180 บาท) ที่เพิ่มความหวานจากนมข้นหวาน และ Americano Iced (140 บาท) เน้นความสดชื่นจากกาแฟ

(Photo: ICONSIAM)

สิ่งสำคัญ คือ ร้าน % Arabica ไม่มีเครื่องดื่มพิเศษตามฤดูกาล (seasonal) แต่มีการปรับเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ผลิตเครื่องดื่มประเภท Single Origin เพราะต้องใช้เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดในขณะนั้นเท่านั้น

แก้วโปรดสำหรับคนไม่โปรดกาแฟ

นอกจากกาแฟดีๆ ที่ชวนให้ไปลองแล้ว เราไม่อยากให้มองข้าม Matcha Latte (150/170/180 บาท) ที่ใช้ชาเขียวออร์แกนิกจากประเทศญี่ปุ่น มีทั้งแบบร้อนและเย็น ใต้ฟองนมนุ่มๆ เป็นชาเขียวรสเข้ม ที่ไม่หวานจนเกินไป ยังคงรสขมนิดๆ และกลิ่นชาเขียวไว้ได้อย่างละมุนละไม

(Photo: ICONSIAM)

อีกแก้วที่แนะนำคือ Lemonade Sparkling (170 บาท) ที่มีกลิ่นเลมอนอ่อนๆ อบอวลในโซดาเย็นสดชื่น ช่วยบูสต์พลังให้กับยามบ่ายร้อนๆ ได้เป็นอย่างดี

คั่วเมล็ดกาแฟแบบฉบับ % Arabica

ร้าน % Arabica กำหนดมาตรฐานการผลิตกาแฟไว้อย่างชัดเจน ทุกวันก่อนเปิดร้าน บาริสต้าต้องทดสอบรสชาติเมล็ดกาแฟก่อน โดยอาศัยเครื่องชงและเครื่องคั่วที่สั่งผลิตเฉพาะ (Tailor-made) ซึ่งออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อใช้กับร้านเท่านั้น ซึ่งที่นี่เป็นที่เดียวในประเทศไทยที่ใช้เครื่องคั่ว Tornado King Coffee Roaster โดยสามารถคั่วเมล็ดกาแฟให้เสร็จได้อย่างรวดเร็ว

(Photo: ICONSIAM)

คอกาแฟที่สนใจซื้อเมล็ดกาแฟไปบดและชงเองที่บ้านก็สามารถเลือกได้มากกว่า 10 รายการ รวมถึงสั่งระดับการคั่วได้ตามต้องการ ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที

(Photo: ICONSIAM)

หากต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการคัดเลือกเมล็ดกาแฟและวิธีการชงกาแฟในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้รสชาติเดียวกันกับตอนนั่งดื่มที่ร้าน สามารถปรึกษาบาริสต้าในร้านได้

หลอดลดขยะ แต่ไม่ลด ‘รสชาติ’ กาแฟ

มนุษย์เราใช้หลอดราวๆ ครั้งละ 20 นาที แต่หลอดพลาสติกจะกลายเป็นขยะอยู่บนโลกไปนานอีกหลายร้อยปี

ร้าน % Arabica ใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยการเลือกใช้หลอดจาก ‘ชานอ้อย’ ที่ทั้งหนาและทนทานไม่แพ้พลาสติก มั่นใจได้ว่าจะไม่เปื่อยยุ่ยจนละลายในแก้วกาแฟแน่นอน ที่สำคัญยังย่อยสลายได้ตามธรรมชาติอีกด้วย 

(Photo: ICONSIAM)

ของที่ระลึกดีไซน์เรียบ เข้ากันได้กับทุกคน

ของที่ระลึกจาก % Arabica จัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวางสีขาวสว่าง ทั้งแก้วน้ำดีไซน์สวย กระปุกใส่กาแฟ รองเท้าผ้าใบ กระเป๋าผ้าใบทรงเรียบหรู และเสื้อฮู้ด ทั้งหมดล้วน Made in Japan

(Photo: ICONSIAM)

นอกจากสินค้าที่เราเห็นบนชั้นวาง เมื่อเข้าไปดูในเว็บไซต์ https://arabica.coffee/en/shop/ ยังมีอุปกรณ์สำหรับชงกาแฟไม่ว่าจะเป็น ดริปฟิลเตอร์ เหยือกน้ำร้อนสำหรับกาแฟดริป โถเล็กๆ สำหรับใส่น้ำตาล เรียกได้ว่าถึงจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของ % Arabica  แต่เมื่อได้เห็นอาจจะเผลอตกหลุมรักดีไซน์เรียบๆ ที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นเข้าก็เป็นได้

 

อ้างอิง

FACT BOX

  • % Arabica Bangkok ICONSIAM ณ ชั้น 1 ไอคอนสยาม เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 – 21.00 น.