ใครบ้างสามารถคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคราวกับได้เห็นโลกอนาคตมาก่อน
พร้อมเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งศาสตร์ต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน
และยังวาดภาพได้วิจิตรงดงามจนได้จัดแสดงในหอศิลป์ชั้นนำทั่วโลก
เลโอนาร์โด ดา วินชี สามารถทำทั้งหมดที่กล่าวมาได้ภายในหนึ่งชั่วอายุ ทำให้โลกกล่าวขานว่าเขาเป็น ‘อัจฉริยะ’
แต่รู้หรือเปล่าว่า เขาใช้เวลาวาดภาพ ‘โมนาลิซา’ หนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีชนานถึง 4 ปี
และใช้เวลาอีก 12 ปีในการแต่งแต้มริมฝีปากของเธอ
รอยยิ้มลึกลับท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของ ‘Monalisa’s Smile’ คล้ายเก็บงำอะไรไว้บางอย่าง และ ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั้น
คือความบกพร่องของ ดา วินชี ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้…
โมนาลิซา และภาพที่วาดไม่เสร็จ เพราะดา วินชี เป็นโรคสมาธิสั้น
ภาพวาดโมนาลิซาที่หลายคนชื่นชมนั้น จริงๆ แล้วเป็นภาพที่ยังวาดไม่เสร็จสมบูรณ์ จากการตรวจสอบพบว่าภาพนี้ไม่ได้วาดโดยดา วินชีคนเดียว เพราะเขาวาดเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นส่วนหัว จนถึงทุกวันนี้ ความจริงทั้งหมดก็ยังคงเป็นปริศนาที่ถกเถียงกันเรื่อยมาว่ามีส่วนไหนบ้างที่เขาวาด
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะร่างกายซีกขวาของดา วินชี เป็นอัมพฤกษ์ และอาการนี้ส่งผลให้เขาไม่สามารถยืนวาดภาพหรือถือจานสีได้ แต่ข้อสังเกตดังกล่าวก็มีช่องโหว่ เพราะถึงอย่างไรคนที่ถนัดซ้ายอย่างเขาก็ยังสามารถนั่งวาดภาพได้อยู่ดี
แนวคิดที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือ ดา วินชี เป็น ‘โรคสมาธิสั้น’ ซึ่งทำให้เขามีความบกพร่องในการทำงาน เช่น ไม่สามารถทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ มีปัญหาด้านการอ่านและสะกดคำ (Dyslexia) ใช้เวลาวางแผนงานนานมาก แต่ขาดความพยายามที่จะทำให้มันสำเร็จ
นอกจากนี้โรคสมาธิสั้นยังทำให้เขางีบได้เพียงสั้น ๆ ซึ่งส่งผลต่อการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอและไม่สามารถโฟกัสไปที่งานได้ดีเท่าที่ควร
ไม่ใช่แค่ภาพโมนาลิซาเท่านั้นที่ไม่สำเร็จลุล่วง ยังมีภาพ ‘นมัสการของโหราจารย์’ (Adoration of the Magi) ภาพ ‘นักบุญเจอโรมในป่า’ (St. Jerome in the Wilderness) และภาพอื่นๆ ที่เป็นผลผลิตจากความบกพร่องของเขา
สำหรับภาพ นมัสการของโหราจารย์ ดา วินชีได้รับมอบหมายให้วาดภาพนี้ตอนอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเมืองมิลานในปีต่อมา โดยปล่อยให้ภาพวาดค้างเติ่งไม่เสร็จสิ้น แถมยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์ให้โทรตามงานเสียด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวดาวิน ชี กลับมาสะสางงานให้เสร็จเรียบร้อย
ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ (Uffizi Gallery) และยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์
อาหารค่ำมื้อสุดท้าย กับคำบ่น “วันๆ ดา วินชี เอาแต่จ้องกำแพง”
ถ้าคุณยังไม่ลืม (เพราะเป็นโรคสมาธิสั้น) คงจำได้ว่า เมื่อไม่กี่ย่อหน้าก่อน เราได้กล่าวว่า โรคสมาธิสั้นทำให้ ดา วินชี มักใช้เวลาวางแผนงานนานมาก
นานมากแค่ไหน?
ครั้งหนึ่งในปี 1495 ดยุคแห่งมิลานได้มอบหมายให้ ดา วินชี วาดภาพ อาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper)
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ภาพวาดบนผนังคืบหน้าไปได้น้อยมาก จนดยุคแห่งมิลานเริ่มแวะเวียนมาตามงานและแนะโน่นนี่อยู่เสมอ หรือเวลาวาดก็จะมีคนมาเดินติดตามสังเกตการทำงานจน ดา วินชี รำคาญใจ เพราะในการวาดภาพแต่ละครั้ง เขาต้องการเวลาเพื่อหาแรงบันดาลใจ อีกทั้งโรคประจำตัวก็ทำให้เขาไม่มีสมาธิมากพอที่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง
พอเริ่มนานวัน บาทหลวงจึงบ่นให้ดยุคฟังว่า ดา วินชี วันๆ เอาแต่จ้องกำแพงอยู่นั่น ไม่ยอมลงฝีแปรงเสียที
เมื่อถูกกดดันมากเข้า ดา วินชีจึงบอกดยุคว่า เขากำลังนึกอยู่ว่าจะวาดหน้ายูดาส (Judas) ผู้ทรยศต่อพระเยซูอย่างไร
หรือจะให้วาดหน้าบาทหลวงลงไปดีล่ะ…
โชคดีที่งานนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในงานที่เขาวาดไม่เสร็จ แม้จะใช้เวลาในการวาดถึงสามปี แต่ท้ายที่สุดภาพนี้ก็โด่งดังและทำให้เขากลายเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายเก็บรักษาอยู่ที่โบสถ์ Santa Maria delle Grazie
มรดกศิลปะ-นวัตกรรม ที่เกิดจากความโชคดีของโรคสมาธิสั้น
ถึงแม้ความบกพร่องของ ดา วินชี ทำให้ภาพโมนาลิซาไม่สมบูรณ์แบบ แต่หากปราศจากความบกพร่องนั้น คุณอาจไม่ได้เห็นภาพโมนาลิซาเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงจะเรียกว่า ‘ความบกพร่อง’ ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะโรคสมาธิสั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องไม่ดี แต่บ่อยครั้งมันได้มอบคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง จนทำให้หลายคนกลายเป็นอัจฉริยะ
สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นคือจะทำให้เรียนรู้ช้าจนไอคิวต่ำ แต่ความจริงแล้วคนที่เป็นโรคนี้จะไม่สนใจในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ทว่าหากเป็นสิ่งที่ชอบล่ะก็ จะหลงใหลจนดำดิ่งลงไปในเรื่องนั้นๆ เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีศักยภาพที่เหนือขึ้นไปอีก เช่น ความคิดสร้างสรรค์ที่มากกว่าคนทั่วไป สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ดี ทำงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน และกล้าคิดต่าง
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม ดา วินชี จึงมีความสนใจรอบด้าน และมีความคิดสร้างสรรค์ล้ำๆ อยู่เสมอ
ผลงานที่ดา วินชี ทิ้งไว้ในด้านต่างๆ ทั้งศิลปะ วิทยาศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ ฯลฯ คือหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกถึงศักยภาพอันกว้างไกลของเขา
แต่ในอีกด้านหนึ่งของความสนใจที่ล้นหลามนี้เอง ที่ทำให้เขาทุ่มเทกับงานแต่ละอย่างได้ไม่เต็มที่ จนเป็นสาเหตุให้หลายครั้งเขารับงานมาแล้ว อยู่ดีๆ ก็วางมือเสียดื้อๆ ก่อนจบงาน จนการดองงานหรือทำงานไม่เสร็จของ ดา วินชี กลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว
มาร์โก กาตานี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทกายวิภาคศาสตร์และจิตเวชได้กล่าวไว้ว่า “ผมหวังว่ากรณีของ ดา วินชี จะแสดงให้เห็นว่าโรคสมาธิสั้นไม่ได้ทำให้ไอคิวต่ำหรือขาดความคิดสร้างสรรค์ แต่มันทำให้เขาใช้พรสวรรค์ให้เป็นประโยชน์ได้ยากขึ้น”
ถึงบรรทัดนี้ คุณอาจมองว่าโรคสมาธิสั้นเป็นของขวัญล้ำค่าที่ดา วินชี ได้รับ ทำให้เขากลายเป็นยอดมนุษย์ที่ทั่วโลกกล่าวขานยกย่อง แต่ในขณะเดียวกันเรื่องราวของเขาก็แสดงให้เห็นว่า แม้จะดูยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ไม่มีใครได้ครอบครองความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แม้แต่ตัวเขาเองยังมองว่าชีวิตของเขาคือความล้มเหลว
บางทีสิ่งที่เราควรตามหาจึงอาจไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีจริงนั้น
แต่เป็นการมองเห็นความงดงามและข้อดีที่แฝงอยู่ในข้อบกพร่องต่างๆ ต่างหาก.
อ้างอิง:
- Barbara McMahon. Da Vinci ‘paralysis left Mona Lisa unfinished’.https://www.theguardian.com/world/2005/may/01/italy.arts
- Kate Kelland. Procrastinating genius: did da Vinci have attention disorder?.https://reut.rs/2XzRr1D
- Leonardo da Vinci.St. Jerome in the Desert-by Leonardo da Vinci. https://www.leonardodavinci.net/st-jerome-in-the-desert.jsp
- Leonardo da Vinci. The Adoration of the Magi – by Leonardo Da Vinci. https://www.leonardodavinci.net/the-adoration-of-the-magi.jsp
- Reference. How Long Did It Take to Paint the Lips on the “Mona Lisa”?. http://bit.ly/2K8ht9c
- Simeon Dumdum Jr. Leonardo’s unfinished painting.http://bit.ly/2WQc10D
- The Local. Record breakers: Why France is still the most visited country on earth. http://bit.ly/31qfhiL
- THE MONA LISA FOUNDATION. FREQUENTLY ASKED QUESTIONS. http://monalisa.org/2012/10/14/frequently-asked-questions/
- Tim Suttle.10 Stunning Facts About Davinci’s Last Supper for Maundy Thursday.http://bit.ly/2EZAiaa