“ตอนนี้มันเลยคำว่ากลัวไปแล้ว…”
พี่ตุ๋ย–วรวุฒิ กระดูกเหล็ก เจ้าของคณะรถไต่ถังที่มีชั่วโมงบิน 18 ปี บอกด้วยเสียงราบเรียบและท่าทีนิ่งเฉย
หลังจากแกอนุญาตให้ผมเดินผ่านประตูไม้บานเล็กที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างโลกอีกใบ โลกที่ดูคล้ายถังไม้ขนาดใหญ่ แปลกตา น่าพิศวง
ต่อมาประตูไม้บานนั้นถูกปิดลง และแผ่นเหล็กหนาใหญ่ก็ตามมาปิดทับลงอีกชั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาที
มอเตอร์ไซค์วิบากที่จอดนิ่งถูกปลุกให้ตื่น สายตาผู้ชมที่ยืนอยู่รอบปากถังด้านบนต่างจ้องมองลงมาที่ลานด้านล่าง เพื่อรอชมการแสดงที่มี ‘ชีวิต’ เป็นเดิมพัน
ความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พยุงมอเตอร์ไซค์วิบากขนาด 125 cc. ทะยานขึ้นท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลก ด้วยการไต่บนผนังไม้ทรงกลมที่สูงเท่าตึก 2 ชั้น
พี่ตุ๋ยวาดลวดลายผาดโผนชวนขนลุกเพื่อเอาใจคนดู ก่อนจะเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นทันทีที่การแสดงสิ้นสุดลง
เขาดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินไปที่รถปิ๊กอัพคู่ใจ ก่อนสตาร์ทและออกแรงเหยียบคันเร่งจนมิด
รถปิ๊กอัพพุ่งทะยานด้วยความเร็วระดับท้านรก ตัวรถไต่ผนังสูงขึ้นเรื่อยๆ แรงเหวี่ยงของตัวรถที่มีน้ำหนักเป็นตันทำให้ถังไม้ทั้งใบโยกไหว
“มึน…” พี่ตุ๋ยบอกกับผมหลังการแสดงท้านรกทั้งสองชุดสิ้นสุดลง
“กลัวไหม?” ผมถาม
เขาส่ายหัวแทนคำตอบ “เจ็บสุดก็สองปีก่อน ตอนนั้นขี่มอไซค์ที่เพิ่งซื้อมา แล้วขี่อยู่ดีๆ เหมือนล้อหลังมันล็อค แล้วยังไงล่ะ ก็ร่วงสิครับ”
รถร่วงกระแทกทับแขน แขนหัก หมอต้องใส่เหล็กแทนกระดูก “แต่ผมพักไม่ถึงเดือนหรอก แล้วก็มาขี่ใหม่”
ฟังแล้วก็ได้แต่นับถือในความใจเด็ด และชมชอบในฉายา ‘วรวุฒิ กระดูกเหล็ก’ ว่าอย่างน้อยชื่อนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆ
เพราะกระดูกของพี่แกเป็น ‘เหล็ก’ จริงๆ