ภาษาที่สองทำให้ทุกอย่างดู ‘ซอฟต์’ ลง
เคยสังเกตไหมว่าเวลาเราได้ยินคำหยาบภาษาอื่น เรามักไม่ค่อยรู้สึกกระทบกระเทือนใจเท่าไร แม้จะรู้ความหมายของมันก็ตาม หรือบางทีแม้กระทั่งตัวเราเองก็หลุดคำสบถเหล่านั้นออกมาด้วยความชินปาก
สำหรับคนที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ และเรียนภาษาที่สอง (หรืออาจจะมากกว่านั้น) คงเคยได้ยินคำหยาบของภาษานั้นๆ มาบ้าง ในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างภาษาอังกฤษให้นึกตามกันง่ายๆ
หากใครชอบเพลงสากลอาจเคยได้ยินได้ฟังเพลงที่มี F Word รัวๆ หรือไม่ก็คำหยาบอื่นๆ และบ่อยครั้งเราก็เสพเพลงพวกนั้นจนคุ้นหู บางเพลงถึงกับใช้คำหยาบมาตั้งเป็นชื่อเลยทีเดียว เช่น Bitch Better Have My Money / Fuckin’ Perfect หรือแม้แต่ซีนอินดี้อย่าง Who The Fuck Are Arctic Monkeys?
แต่เคยคิดไหมว่าถ้าเพลงพวกนั้นเปลี่ยนเป็นภาษาไทย คุณจะยังเสพมันด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอยู่หรือเปล่า เป็นไปได้ว่าต้องมีขมวดคิ้วกันบ้างถ้าเจอชื่อเพลงที่มีคำว่า ‘โคตร’ ‘แม่ง’ ‘ฉิบหาย’ (และอีกหลายๆ คำที่ บ.ก. คงไม่ให้เขียนลงในนี้)
เราจะมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยคำว่า ‘Emotional Distance’
ความเหินห่างทำให้ไร้อารมณ์ร่วม
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เรื่อง ‘ผลกระทบทางอารมณ์จากภาษาที่สอง’ นี้ เราไม่ได้คิดเอาเอง แต่มีการวิจัยออกมาแล้ว โดยรองศาสตราจารย์ Catherine Caldwell-Harris ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยบอสตัน
เธอกล่าวว่า ภาษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก การที่เราเติบโตมากับภาษาใดภาษาหนึ่ง จึงทำให้วัฒนธรรมบางอย่างของภาษานั้นพ่วงมาด้วย
และแน่นอนว่าภาษาที่ติดตัวเรามาเหมือน ‘กาวตราช้าง’ แบบนั้น เมื่อเอามาเทียบกับภาษาใหม่ที่เพิ่งแปะเข้าไปภายหลังด้วย ‘กาวลาเท็กซ์’ ความเข้มข้นทางอารมณ์เวลาพูดจึงต่างกัน ทำให้คนที่พูดสองภาษา (Bilingual) รู้สึกว่าการสบถด้วยภาษาที่สองนั้นทำได้ง่าย และสะเทือนอารมณ์น้อยกว่ามาก
ยกตัวอย่าง เช่น คนญี่ปุ่นที่ออกจะนอบน้อมและสุภาพ พวกเขาไม่ชอบการด่าทอเอามากๆ เมื่อถึงคราวต้องด่า หลายคนจึงหันมาใช้คำด่าภาษาอังกฤษแทน หรือจะเป็นวัฒนธรรมการบอกรักที่ไม่ค่อยนิยมทำกัน พวกเขาก็สามารถพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นก่อน แล้วจึงสลับภาษาลงท้ายประโยคว่า “love ya” ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ว่าง่ายๆ คือ ภาษาที่สองให้อิสระในการพูดอะไรก็ตามที่พวกเขาพูดในภาษาแม่ของตัวเองได้ไม่ถนัด เพราะอารมณ์หรือวัฒนธรรมบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำนั้นๆ
มองตาก็รู้ใจ
ถ้ายังไม่เชื่อกัน งั้นเราขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งการทดลองโดย Wilhelmiina Toivo กับโปรเจคจบปริญญาเอกของเธอ
โดยเธอให้กลุ่มทดลองดูภาพและคำสะเทือนอารมณ์ที่เป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นใช้เครื่องวัดรูม่านตา ผลปรากฏว่ารูม่านตาขยายใหญ่เมื่อเห็นคำกระตุ้นเหล่านั้น (แหงล่ะ)
แต่! ผลที่ว่านี้กลับน้อยลงในคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
อิสระของเรา ใช้เสียให้คุ้ม
ถึงแม้ว่าภาษาที่สองจะทำให้เรามีอารมณ์ร่วมน้อยลง ทว่ามันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าภาษาที่สองให้อิสระในการพูดโดยไม่ทำให้เรากระทบกระเทือนใจมากนัก ข้อจำกัดในการพูดจึงลดลง หลายคนใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการพูดคุยถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (Trauma) หรือเรื่องที่อัดแน่นด้วยอารมณ์อื่นๆ
รู้แบบนี้แล้ว ถ้าทะเลาะกับคนที่พูดภาษาที่สองเดียวกัน อาจจะลองคุยด้วยภาษานั้นแทนก็ได้นะ เพราะมันเป็นการลดแรงปะทะที่ดีเลย
โปรดระวังวัฒนธรรมต่างระดับ
อย่างที่รู้กันว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ เมื่อเราใช้ประโยชน์จากภาษาที่สองได้ เราก็ควรระวังไม่ให้เกิดโทษเช่นกัน
ด้วยวัฒนธรรมและอารมณ์ร่วมที่ต่างกันในแต่ละภาษา จึงควรระวังเวลาสบถ ร้องเพลง หรือพูดคุยอะไรก็ตาม ให้อยู่ในบริบทที่เหมาะสมของภาษานั้นๆ
“เพราะบางอย่างที่เราไม่รู้สึก ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่รู้สึกเหมือนกันหมด”
อ้างอิง:
- Samantha David. Swearing in a second language is easier. https://www.connexionfrance.com/Mag/Language/Swearing-in-a-second-language-is-easier
- Wilhelmiina Toivo. Bad language: why being bilingual makes swearing easier. https://www.theguardian.com/science/blog/2017/mar/27/bad-language-why-being-bilingual-makes-swearing-easier