pe©ple

สามปีที่แล้ว หลังจากที่เพลง ‘ก็ชอบให้รู้ว่าชอบ’ ของ BNK48 จะเลื่อนเข้ามาอยู่ในลิสต์เพลงโปรด เราก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งจดจ่ออยู่กับรายการ BNK48 Senpai เบื้องหลังการออดิชั่นวงไอดอลน้องสาวของ AKB48 อันโด่งดังในญี่ปุ่น

เด็กหญิงแต่ละคนต่างก็พกโชว์เจ๋งๆ มาอวดกรรมการแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ที่ชวนให้สะดุดตาที่สุดคือ เด็กหญิงแก้มป่องคนหนึ่ง ที่พกกีตาร์คู่ใจมาร้องเพลง สิ่งที่ทำให้เธอโดดเด่นกว่าคนอื่นในตอนนั้นคือ เมื่อกรรมการขอให้เต้น เธอในตอนนั้นที่ไม่ได้มีทักษะด้านการเต้นที่แพรวพราวนัก จึงตัดสินใจเต้นเพลงรับน้องของมหาวิทยาลัยโชว์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เรารู้จักกับ ‘แคนแคน’ 

ดูเหมือนว่าเสียงใสๆ และลีลาการเต้นเพลงสันทนาการ จะทำให้ออดิชั่นครั้งนั้นผ่านไปได้ด้วยดี จนทำให้เธอได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกวง BNK48 อย่างที่ตั้งใจ

กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเล่าเรื่องของเธอผ่านบทความนี้ เราค้นพบว่าตัวเองสามารถพิมพ์ชื่อจริงของ แคน – นายิกา ศรีเนียน ได้โดยไม่ต้องเสิร์ชจากกูเกิล นั่นเป็นเพราะหลังจากได้ดูรายการในวันนั้น เราติดตามเธอในฐานะแฟนคลับเรื่อยมา

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในระยะเวลา 3 ปี บนเส้นทางการเป็นศิลปินของแคน จากเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ในวันนี้ เธอเป็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน หลังจากเธอเลือกจบการศึกษาจากวงไอดอล และผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว ในวันนี้ แคนพบว่าการเป็น ‘ผู้หญิง’ ที่ถูกสปอตไลท์สาดส่องอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“จริงๆ แล้วเป็นคนแบบนี้เหรอ”

เป็นประโยคที่ใครคนหนึ่งพูดถึงเธอผ่านโซเชียลมีเดีย หลังจากที่แคนเริ่มโพสต์รูปถ่ายในชุดที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า ถึงคราวต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที 

หลังจากข้อความยาวๆ ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวของแคน เราเป็นคนหนึ่งที่ได้อ่าน และเกิดคำถามว่า ‘แคนที่ทุกคนรู้จัก เป็นแคนแบบไหนกันแน่?’

หลายคนรู้จักเธอในฐานะ BNK48 

หลายคนรู้จักเธอในชื่อศิลปินหญิง เจ้าของเสียงใสๆ

หลายคนหลงรักบทเพลงจากปลายปากกาของเธอ 

หลายคนรู้จัก ‘แคน’ ในฐานะแฟนตัวยงสตาร์วอร์ เด็กหญิงผู้รักการท่องเที่ยว นักศึกษาคณะสิ่งแวดล้อม และอีกหลายๆ สิ่งที่เธอเป็น

แคนมีหลายบทบาทที่รอให้เราไปทำความรู้จัก แต่น่าแปลกใจที่ยังมีใครอีกหลายคนพร้อมที่จะตัดสินเธอจากแค่ภาพที่ได้เห็น โดยไม่แม้แต่จะพยายามทำความเข้าใจตัวตนของเธอเลยสักบทบาท

 เราจึงเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อที่จะได้ถามไถ่ถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เพื่อที่อย่างน้อยที่สุด เราจะได้รู้จัก ‘แคนแคน’ เท่าที่เธออยากให้เราได้รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม

 

เด็กหญิงนายิกากับชุดโปรดของเธอ

“สวัสดีค่า…” เสียงสดใสคุ้นหูจากปลายสาย เป็นเสียงเดียวกับคนเล่าเรื่องการผจญภัยแสนสนุกที่เราได้ฟังจาก LIVE เป็นประจำ becommon ไม่รีรอที่จะยิงคำถาม เพื่อรอฟังคำตอบจากเธอ

แคนเป็นเด็กแบบไหน

เป็นลูกคนเดียว ชอบเล่นคนเดียว เล่นขายของตั้งแต่เด็กจนโต มีของเล่นที่เป็นแคชเชียร์ กดๆ แล้วเงินจะออกมา เราเล่นกับมันนานมาก ขายให้ใครก็ไม่รู้ คงเป็นเพื่อนในจินตนาการ (หัวเราะ)

ตอนเด็กๆ ที่เล่นคนเดียว เพราะหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านที่มีแต่ผู้สูงอายุ ไม่มีเด็กเลย พอโตมาเราได้ไปโรงเรียน ได้อยู่กับเพื่อน เรารู้สึกว่าฉันมีคนรุ่นเดียวกันแล้ว แคนเลยชอบแลกเปลี่ยนกับคน ชอบเจอคน ชอบรู้ว่าเขาทำอะไรบ้างในวันหนึ่ง

ชุดโปรดของเด็กหญิงแคน 

ตอนเด็กๆ ชอบใส่ชุดว่ายน้ำ ตอนอายุประมาณ 4-5 ขวบ จะใส่บิกินี่สีเขียวตัวจิ๋วตลอดเวลา อยู่ในบ้านก็ใส่เดินไปเดินมา ชอบเพราะมันเป็นสีเขียวแปร๋นๆ ตอนเด็กแม่ซื้อสระว่ายน้ำเด็กเป่าลมมาไว้ที่บ้าน เราก็พร้อมที่จะกระโดดลงสระตลอดเวลา ถ้าใส่ชุดนั้นจะลงไปตอนไหนก็ได้ ยังงงอยู่เลยที่จำชุดนี้ได้ ทั้งๆ ที่เด็กมาก ตั้งแต่สมัยอนุบาล

 

เสื้อผ้าและตัวตนของ ‘แคน’ 

แคนชื่นชอบการแต่งตัวมาแต่ไหนแต่ไร เธอบอกกับเราว่า แต่งตัวได้ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นแนวหวาน เท่ และลุย 

เมื่อถามถึงสไตล์ที่ชอบที่สุด เธอนึกอยู่สักพัก ก่อนจะตอบด้วยเสียงเขินๆ ว่าชอบการแต่งตัวอยู่บ้าน เพราะไม่เหนื่อย แค่หยิบเสื้อยืด กางเกงบอลมาใส่ พร้อมที่จะนอนกินขนม ดู Netflix แคนถึงกับตบท้ายว่านี่เป็น ‘ความสุขที่แท้จริง’ ของเธอเลยทีเดียว 

หลายคนมองว่าแคนเป็นคนเรียบร้อย

เราเป็นคนหน้าตาเรียบร้อย เวลาคนมองครั้งแรกก็พร้อมจะตัดสินจากลุคของเราเลย นั่นเป็นสิ่งที่เราโดนมาตั้งแต่เด็ก ยังจำได้ วันแรกที่ย้ายโรงเรียน เพื่อนจะเข้ามาหาเยอะมาก เลยเป็นคนที่รู้จักคนเยอะมาก จนกระทั่งนิสัยจริงๆ ของเราออกมา มันก็ไม่ใช่นิสัยไม่ดีนะ แต่พอความเป็นตัวของเราที่ไม่ได้ถูกครอบด้วยหน้าตาปรากฏออกมา เลยทำให้คนเกิดคำถาม หลายคนบอกว่า ทำไมเป็นคนแบบนี้ ดูไม่เห็นเป็นคนแบบนี้เลย คำพวกนี้เราโดนมาตั้งแต่เด็ก 

มันมาชัดมากจริงๆ ในช่วงที่เป็นไอดอล ตอนนั้นอายุ 18-19 ปี ไม่ได้เป็นสาวมากขนาดนั้น เราอาจไม่ได้ลงรูปที่เหมือนทุกวันนี้ เพราะชีวิตจริงเราไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ก่อนเลยถูกมองว่าเป็นเด็กเรียบร้อยมาโดยตลอด 

เหตุการณ์ไหนที่รู้สึกว่าเราต้องออกมาพูดเรื่องการแต่งตัวจริงๆ จังๆ เสียที

ตอนที่เราใส่เสื้อผ้าแล้วดูเป็นสาวมากขึ้น จริงๆ เราก็แต่งตัวแบบนี้เป็นปกติ แค่ไม่ได้ถ่ายรูปลง

เมืองไทยอากาศมันร้อน (หัวเราะ) จะให้ใส่เสื้อแขนยาวก็ไม่ไหว พอไปทะเลเราก็อยากใส่แขนกุดบ้าง

สมัยเป็นไอดอล เราไม่ค่อยลงรูปอยู่แล้ว เพราะเห็นเพื่อนบางคนที่ลงมักจะโดนคอมเม้นท์ บางครั้งแม้เป็นคอมเม้นท์ชื่นชม แต่คนได้รับอาจจะรู้สึกอีกแบบ เหมือนถูกมอง ถูกจ้อง มันเกิดเป็นความกลัวในใจลึกๆ มาโดยตลอด เวลาถูกคุกคามทางเพศด้วยคำพูด ต่อให้ไม่มีเสียงก็ตาม 

เกิดอะไรขึ้นหลังจากตัดสินใจโพสต์รูปในชุดที่เราอยากใส่

พอออกจากวงได้ 2 ปี เราก็โตขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และคิดว่าตัวเองออกมาจากกลุ่มคนที่เขาคอยจับจ้องเราแล้ว ก็เลยแต่งตัวบ้าง อยากเป็นสาวบ้าง ปรากฏว่าโดนเหมือนกัน รูปแรกๆ ที่เริ่มแต่งตัวเปลี่ยนไป ยังไม่มีอะไร แต่พอโพสต์ไปประมาณ 2-3 รูป คนเริ่มบอกว่าเราไปทางนั้นหมดเลย 

เราชอบกดดูตรงที่เขาแชร์โพสต์ไปอีกที มันจะอ่านแคปชั่นได้ มีคนพูดทำนองว่า จริงๆ แล้วเป็นคนแบบนี้เหรอ สงสัยจะไปเวย์นี้แล้วแหละ บางคนแชร์แล้วเพื่อนก็มาคอมเม้นท์โดยการเอารูปนางเอก AV มาแปะ นี่เป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ และรู้สึกว่าไม่โอเค

แต่สิ่งที่เราโกรธที่สุดคือ คำที่บอกว่า “จริงๆ เป็นคนแบบนี้เหรอ” เรารู้สึกได้ว่าเขาต้องการจะสื่อให้รู้ว่า แคนเป็นคนแรงๆ หรืออยากโชว์ของ ซึ่งมันทำให้เราจุก เพราะเราก็เป็นแบบนี้ปกตินี่นา ไม่รู้ว่าแต่ละคนมีภาพจำของเราเป็นแบบไหน

 

ความจริงที่วิ่งหนีได้ยาก

ความรู้สึกหลังจากได้อ่านคอมเม้นท์เหล่านั้น 

หลายคนบอกให้เราไม่แคร์ ซึ่งตอบเลยว่า ในจุดที่เราอยู่มันทำได้ยาก พอได้อ่านแล้วก็จะเก็บมาคิด ต่อให้อยากหนีเท่าไรก็หนีไม่ได้ บางทีเวลาเราโพสต์รูป เราก็อยากรู้ฟีดแบ็กว่าคนจะพูดถึงเรายังไงบ้าง

ถ้าเป็นในชีวิตจริง เราเดินอยู่แล้วมีคนเข้ามาต่อว่า เราสามารถเดินหนีออกไปได้ แล้วก็จะลืมสิ่งนั้น เพราะมันไม่ได้ถูกบันทึกไว้ แต่เรื่องพวกนี้เป็นคำพูดที่ถูกบันทึกไว้ ต่อให้วันนี้เรารู้สึกอยากมองข้าม แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ คนอยากที่จะหยิบขึ้นมาอ่านอีก มันเป็นคำพูดที่ถูกจารึกไว้ในโซเชียลมีเดีย มันเลยไม่ง่ายขนาดนั้น หากจะไม่สนใจ 

แคนรับมือกับความรู้สึกนี้อย่างไร 

ต้องใช้เวลาเท่านั้น วันนี้แคนอาจจะโดนคนต่อว่า ตอนนี้เราอาจจะรู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ แต่ต้องใช้เวลาให้เรารู้สึกชินกับมัน และใช้เวลาให้คนชินที่เราเป็นแบบนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้คนว่าเรา อาจเพราะเขายังไม่ชินกับสิ่งที่ได้เห็น ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยเวลาหมดเลย 

แต่ข้อเสียของการถูกบุลลี่ในอินเตอร์เน็ตคือ ต่อให้เวลาผ่านไป คนก็จะยังยกเรื่องเก่ากลับมาพูดได้ตลอด

มีประโยคหนึ่งของแม่ที่สอนแคนได้เสมอ เวลาเป็นทุกข์หรือเสียใจ คือ “ไม่ถึงตาย” พอเราตื่นมาวันใหม่ เรายังรู้ตัวว่ามีชีวิตอยู่ วันนี้ถ้าเรามีความสุขก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเรามีความทุกข์ ให้เราจำไว้ว่า ไม่ถึงตาย ทุกข์แค่ไหนก็ไม่ถึงตาย นั่นก็คือสิ่งที่แคนยึดถือในทุกวันๆ รู้สึกว่าโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ โชคดีที่ยังมีโอกาสได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ยังอยากทำ 

ถ้าเลือกได้แคนอยากเปลี่ยนโลกให้เป็นแบบไหน

ในประเด็นนี้ อยากให้มีโปรแกรมตรวจจับคำพูดบุลลี่ได้ มันไม่ใช่คำตินะ แต่คือ คำบุลลี่ คำหยาบ คำล่อแหลม ที่เราอยากกำจัดมันออกไป เพราะไม่อย่างนั้น พอมันถูกบันทึกไว้ ต่อให้เรื่องราวผ่านไปนานแค่ไหน มันก็จะวกกลับมาเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ถ้าเปลี่ยนได้ก็คงดี แต่แคนว่ามันก็ยาก เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่า จะมีคนมาเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเราได้ มันเป็นเรื่องของเทคโนโลยี 

ที่จริงคงเริ่มจากปลูกฝังให้เด็กไม่บุลลี่กันและกัน เพราะมันคือสิ่งที่จะส่งผลไปยังอนาคต เขาจะได้ไม่ต้องไปว่าร้ายใคร 

แคนเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนได้ไหม

มีคนที่บอกว่าคนเราเปลี่ยนได้ แคนคิดว่าเราเปลี่ยนได้ ถ้ายังเป็นเด็ก แต่เมื่อไหร่ที่คนเราเริ่มผ่านอะไรหลายๆ อย่างมา มันก็มีทั้งที่เปลี่ยนได้และเปลี่ยนไม่ได้ แคนว่ามันแล้วแต่คนเลย 

โลกที่แคนเห็นเป็นอย่างไร

ตอนออกมาโพสต์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แคนโพสต์เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนที่เป็นต่างชาติ อเมริกา ญี่ปุ่น ทุกคนเข้ามาปรบมือ กดไลก์ ชื่นชอบ ทั้งๆ ที่ร้อยวันพันปีแทบไม่ได้คุยกัน แสดงว่าปัญหานี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมไทย แต่เกิดขึ้นในประเทศอื่นด้วย

จริงๆ แล้วการใส่ชุดว่ายน้ำเป็นเรื่องปกติ ถ้าใครเคยดูเรื่อง Too Hot to Handle ใน Netflix จะรู้สึกชินกับการใส่ชุดว่ายน้ำ (หัวเราะ) คอมเม้นท์ของแฟนคลับฝรั่งก็ไม่ได้มีเชิงรุกรานทางเพศ

เนื่องจากแคนเรียนอินเตอร์มา สังคมที่โรงเรียนก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาใส่ชุดว่ายน้ำโพสต์ลงไอจีกันตั้งแต่ยังเรียนมัธยมอยู่เลย พอเราโพสต์ชุดว่ายน้ำแล้วเราโดนคอมเม้นท์ตอกกลับ เราเลยตกใจ ถ้าไปเปิดดูไอจีกลุ่มเพื่อน เราแทบจะเป็นคนที่ลงรูปแบบนี้ช้าที่สุดในหมู่เพื่อนๆ

ตั้งแต่ปี 1 ปี 2 เวลาที่เพื่อนไปทะเล ทุกคนก็เตรียมปั้นหุ่นพร้อมถ่ายรูปกัน เราเคยคิดว่าถ้าเราลงรูปเหมือนที่เพื่อนลง เราจะไม่โดนหนักกว่านี้เหรอ

ถ้าเด็กคนหนึ่งอยากแต่งตัวในแบบที่ตัวเองชอบ แต่ยังไม่กล้า แคนจะบอกเขาอย่างไร 

ใจหนึ่งก็อยากให้แต่งไปเลย เพราะไม่ผิด เพียงว่าต้องดูกาลเทศะ หรือโอกาสที่เหมาะสม ถ้าอยากจะเซ็กซี่หน่อยๆ ก็แต่งในโอกาสที่เราไปเที่ยวทะเล เราก็จัดไปเลย ใส่ชุดว่ายน้ำไปเลย (หัวเราะ) แต่ถ้าเราจะไปเรียนหนังสือก็แต่งอีกแบบให้ดูเหมาะสม แต่ก็ยังคงสนุกกับการแต่งตัวได้ 

แต่งไปเลย แต่ต้องดูกาลเทศะ

 

รู้จักแคน เท่าที่แคนให้พวกเรารู้จัก

แล้วแคนคิดว่าตัวเราต้องเปลี่ยนอะไรไหม

การที่เขาบอกว่า ทำไมแคนแต่งตัวแบบนี้ สิ่งที่จะทำให้เขาปลงกับมันได้ก็คือ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่มันก็แล้วแต่เราอีกว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ ถ้าเราเลือกแล้วว่าอยากจะทรีตคน เราก็จะต้องแต่งตัวแนวนี้ไปเรื่อยๆ คนจะได้ไม่ว่าเราอีก เพราะชินแล้ว แต่แคนกำลังจะบอกว่า เราก็ไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่ตลอด ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแนวนี้บ้างบางครั้ง 

ก็คงทำตัวให้เป็นปกติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคนก็คงชินเอง เพราะเคยเห็นเราในหลายแบบแล้ว วันนี้เขาต่อว่า แต่สองเดือนหน้า พอเราลงรูปใหม่ เขาก็คงชินและคิดว่าเราก็เป็นแบบนี้แหละ เราคงต้องผ่านจุดเปลี่ยนเฉยๆ 

แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกแย่ก็คือ การตัดสินเราจากบุคลิก หน้าตา และการแต่งตัวมากกว่า ซึ่งเราโดนมาตั้งแต่เด็กๆ เลย

อยากให้คนมองด้านไหนของเรา 

การทำงานและนิสัย ซึ่งมันก็คือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวเราได้ดีที่สุดมากกว่าเสื้อผ้า เสื้อผ้าเป็นสิ่งภายนอกและเปลี่ยนได้ตลอดเวลาด้วย 

แล้วตัวตนที่ว่า ในความคิดของเราเป็นแบบไหน

ตอนอยู่ BNK48 พูดตรงๆ ว่าพยายามเป็นตัวเองตลอดเวลานะ คือพยายามให้ใกล้เคียงกับตัวเองเวอร์ชั่นปกติที่สุด แต่มันก็จะต้องอยู่ในกรอบด้วยนิดนึง เพื่อให้ไม่หลุดคอนเซปต์การเป็นไอดอล ต้องคอยระวังทุกคำพูด ทุกการกระทำในระดับหนึ่ง 

ตอนที่เราอยู่ในนั้น เราเรียนรู้ว่าเป็นแบบไหนถึงจะดี จนถูกซึมซับเข้ามาในนิสัยโดยอัตโนมัติ แม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น แต่เพราะว่าเราอยู่กับมัน มันเลยถูกฟอร์มให้เราเป็นแบบนั้น 

ตอนออกมาแล้ว เราแทบจะลืมด้วยซ้ำว่าตัวตนของเราจริงๆ ก่อนหน้านั้นเราพูดยังไง เราจำไม่ได้เลย เพราะว่าตอนเป็น BNK48 เราก็เป็นตัวเอง เพียงแต่ถูกสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมให้เป็นอีกแบบหนึ่ง

การเป็น ‘ศิลปิน’ กับผู้หญิงที่ชื่อแคน

เราอยากเป็นนักธุรกิจและให้ศิลปินเป็นงานอดิเรก เราชอบค้าขายตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่มองอะไรก็คิดว่ามันขายได้ตลอด ตอนนี้เลยมีธุรกิจที่เริ่มทำอยู่บ้าง

เราเคยอยู่ในจุดที่ยกเรื่องศิลปินมาเป็นหลักแล้ว และรู้สึกว่ามันกระทบกับจิตใจมากเกินไป และไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ ก็กระทบ แต่เป็นการกระทบในด้านอื่นๆ เป้าหมายตอนนี้คงเป็นการทำธุรกิจและทำดนตรีไปด้วยเป็นงานอดิเรก 

พอเป็นงานอดิเรกมันทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากทำดนตรีให้เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ มากกว่า ธุรกิจกับดนตรี มันคือตัวเราทั้งคู่ แต่ตอนนี้การเป็นไอดอลไม่ใช่เราแล้ว

บทสนทนาครั้งนี้ได้พาเราไปมองเห็นวิวใหม่ๆ จากจุดที่แคนยืนอยู่ และทำให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเธออีกครั้ง 

แน่นอนว่าหลังจากที่วางสาย เราได้ทำความรู้จักแคนมากขึ้นกว่าจากการดูผ่านรายการทีวีในวันนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน นั่นก็คือตัวตนของแคนทั้งสิ้น การได้มาทำความรู้จักกันในบทความสั้นๆ ที่คุณเพิ่งอ่านจบไปเป็นเหมือนหนึ่งหน้ากระดาษในชีวิตเล่มหนาของเธอเท่านั้น

ไม่ว่าพรุ่งนี้เราแต่ละคนจะเปลี่ยนไปแบบไหน 

การยินดีในสิ่งที่ใครสักคนเป็นอยู่เสมอ นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ในการได้รู้จักกัน.