pe©ple

การ์ดคือคนกลุ่มแรกที่ไปถึงพื้นที่ชุมนุมและเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ได้กลับบ้าน อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องแน่ใจก่อนว่า ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

หากเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ การ์ดเป็นคนกลุ่มแรกที่ตกอยู่ในความเสี่ยงบาดเจ็บมากที่สุด นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ห่างไกลจากคำว่าปลอดภัย เพราะการอาสามาเป็นปราการด่านแรก พวกเขาจะกลายเป็นเป้าเด่นให้รัฐสาดความรุนแรงใส่โดยปริยาย

ตั้งแต่มีการนัดหมายชุมนุมทางการเมืองในเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา เพื่อกดดันรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2557 และต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เมื่อผู้ร่วมชุมนุมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นมวลชนกลุ่มใหญ่ บทบาทของ การ์ด จึงมีความสำคัญมากขึ้นตามไปด้วย เพราะเป็นหน่วยทำงานเดียวที่สร้างความมั่นใจให้ผู้ชุมนุมรู้สึกปลอดภัยและสร้างบรรยากาศอุ่นใจให้การชุมนุมดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อย

หนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของการ์ด คือ ปาล์ม – กิตติพิช วงษ์เกตุใจ เขาเป็นผู้จัดตั้งและผู้ประสานงาน ‘การ์ดภาคีเพื่อประชาชน’ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ภาคีเพื่อประชาชน’

เมื่อเราเชื่อว่าเสียงของทุกคนมีความหมาย เสียงของกิตติพิชจึงควรขยายให้ทุกคนได้ยิน ทั้งในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่เรียนจบสายอาชีพ ก่อนจะตัดสินใจเรียนต่อด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อจบออกมาด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดี และในฐานะการ์ดคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความท้าทายบนความรับผิดชอบหนักอึ้ง

คุณมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

ฝางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมออกมาร่วมชุมนุม คือทนไม่ได้กับชีวิตความเป็นอยู่และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับตัวเองและคนรอบตัว เวลาผมเดินตลาดนัดหรือซื้อข้าวจากร้านข้างทาง ผมชอบพูดคุยกับแม่ค้าและคนหาเช้ากินค่ำ ถามไถ่กันตลอดว่าเป็นยังไงบ้าง ทุกคนพูดเสียงเดียวกันว่าแย่ ไม่ไหว

ชีวิตการงานของผม แม้จะเป็นฟรีแลนซ์ที่ไม่ได้ทำงานประจำ ก่อนหน้านี้งานก็เข้ามาเรื่อยๆ มีรายได้ค่อนข้างดี แต่ระยะหลังงานน้อยลงมาก ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ

ผมติดตามข่าวดูการทำงานของรัฐมาตลอด หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตอ่าน ความรู้ทุกอย่างที่สงสัยหาคำตอบได้ไม่กี่คลิก และคุยกับผู้ใหญ่ที่ออกมาชุมนุมตั้งแต่ครั้งก่อนๆ ด้วย เหมือนเปิดโลกใบใหม่ให้ตัวเอง จนเข้าใจว่าการเมืองไทยเป็นมาอย่างไร และทำไมประชาธิปไตยในประเทศจึงไม่เคยประสบความสำเร็จ

ผมได้คำตอบว่ารัฐมีหน้าที่บริหารประเทศให้มั่นคงและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ทำไมยิ่งบริหาร เศรษฐกิจยิ่งถดถอย คุณภาพชีวิตยิ่งแย่ ก็เพราะว่ารัฐบริหารงานไม่เป็น เมื่อนักลงทุนไม่เชื่อมั่น ทำให้ไม่มีการลงทุน เศรษฐกิจจึงไม่ดีไปด้ว แล้ววิธีแก้ปัญหาของรัฐ คือกู้เงินมาแจกหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมมองว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่เกิดประโยชน์ นอกจากสร้างหนี้ให้ทุกคนต้องชดใช้ร่วมกัน ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ออกมาสู้ วันข้างหน้าคงมีแต่ภาระและปัญหา แล้วจะมีครอบครัว มีลูก มีหลานอย่างสบายใจได้ยังไง ในเมื่อดูแลชีวิตตัวเองยังยาก การจะดูแลครอบครัวก็คงยิ่งลำบาก

ทำไมคุณถึงอาสาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อยให้กับผู้เข้าร่วมชุมนุม 

ผมร่วมชุมนุมตั้งแต่ปี 61 กับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง หลังจากนั้นทุกครั้งที่นัดรวมตัว ผมสังเกตเห็นว่าคนที่มาร่วมชุมนุมต้องดูแลกันเอง ช่องว่างตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าควรมีกลุ่มคนอาสาเข้ามาดูแลความปลอดภัยและคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมโดยเฉพาะ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอาสามาเป็นการ์ด หลังจากนั้นจำนวนคนมาร่วมชุมนุมเริ่มเยอะขึ้น จึงจัดตั้งเป็นกลุ่ม เป็นภาคีฯ สร้างระบบการทำงานให้ชัดเจนและรัดกุม เพราะเราต้องการให้ทุกคนในที่ชุมนุมรู้สึกอุ่นใจ ในมุมหนึ่ง การรักษาบรรยากาศชุมนุมให้ปลอดภัย ก็เป็นการรักษาจำนวนมวลชนด้วย เขาจะได้มาร่วมชุมนุมอีก

การ์ดตั้งอยู่บนความคาดหวังว่าจะเป็นที่พึ่งของผู้ชุมนุม แต่สำหรับตัวคุณ สิ่งใดเป็นกำลังใจ หรือหลักในการยึดเหนี่ยวให้คุณแน่วแน่และทำหน้าที่นี้ 

ความไว้วางใจหรือความเชื่อใจที่มวลชนคนมอบให้เราดูแลพวกเขา ทุกๆ คนที่มาร่วมชุมนุมจึงเป็นกำลังใจให้การ์ดอยู่แล้ว การ์ดทุกคนไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่าเห็นพี่น้องมวลชนปลอดภัย เพราะพวกเรามาทำตรงนี้ด้วยใจ 

คนที่เข้าร่วมเป็นการ์ดส่วนใหญ่คือนักเรียนอาชีวะหรือนักเรียนสายอาชีพจากหลายสถาบัน กลายเป็นว่าการร่วมมือกันทำงานอาสา ได้คลายความขัดแย้งต่างสถาบันที่มักจะยกพวกตีกัน คุณรู้สึกอย่างไรกับประเด็นนี้ 

สังคมได้เห็นตัวตนจริงๆ ของเด็กอาชีวะมากกว่าภาพจำที่พวกเขาทะเลาะกัน เด็กอาชีวะก็คือคนปกติ มีทั้งดีและไม่ดี ทำไม่ดีก็ต้องรับโทษ แต่คนที่เขาทำดี ไม่ได้เกเรก็มี ผมได้คุยกับน้องๆ ถามเขาว่าทำไมถึงมาเป็นการ์ด เขาตอบว่า อยากได้ประชาธิปไตยเลยเข้ามาช่วยในส่วนที่คิดว่าตัวเองไหว เรื่องความรู้วิชาการ นักเรียนอาชีวะเรายอมรับว่าอาจมีไม่มากพอเมื่อเทียบกับมวลชนที่เป็นนักเรียนสายสามัญและนักศึกษา แต่เขามีใจที่กล้า มีสปิริตและความเป็นเพื่อนพี่น้องร่วมสถาบัน และมีพละกำลังที่มั่นใจว่าปกป้องคนอื่นได้ สิ่งที่เขาทำจึงเปลี่ยนอคติที่สังคมเคยตัดสินนักเรียนอาชีวะว่าชอบทำตัวเป็นปัญหา ผมเชื่อว่าสังคมมองเห็นคุณค่าและความสำคัญของพวกเขาแล้ว

อาจมีบางคนที่สร้างความวุ่นวายบ้างซึ่งผมจะกำชับเสมอว่าใครที่ยังไม่พร้อมให้ถอตัว เพราะเรามีระบบการคัดเลือกที่เข้มงวด แล้วเราก็มีฐานข้อมูลของการ์ดทุกคนสำหรับใช้ติดต่อและติดตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย จะได้ให้การช่วยเหลือต่อไปได้ ทุกคนต้องรู้ว่าหน้าที่ของเราคืออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย นี่คือข้อตกลงที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจร่วมกันก่อน

ใครมีเรื่องบาดหมางส่วนตัวให้เอาไว้ข้างหลัง เราไม่ได้มาตีกัน แต่มาร่วมมือกัน หลายคนที่เคยผิดใจพอบังเอิญเจอกันก็เป็นโอกาสให้ปรับความเข้าใจกันใหม่ จนเป็นเพื่อนกันก็มี เป็นความสำเร็จที่นักเรียนอาชีวะไม่เคยทำได้มาก่อน

ที่ผ่านมาการ์ดคือด่านหน้าที่รับแรงปะทะจากเจ้าหน้าที่รัฐและถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่แฝงตัวเข้ามาทำร้ายในพื้นที่ชุมนุมจนบาดเจ็บ

ในมุมมองของการ์ดเองรู้สึกว่าความปลอดภัยของพวกเราเป็นศูนย์ เรามากันมือเปล่า ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอะไรเลย ช่วงแรกๆ ขนาดปอกแขนยังเรี่ยไรรวมเงินกันทำขึ้นมา แต่เพื่อปกป้องมวลชนให้ปลอดภัยก็ถือว่าได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว ก่อนออกจากบ้าน ผมส่องกระจกและถามตัวเองทุกครั้งว่ามาชุมนุมเพื่ออะไร เป้าหมายคืออะไร ผมทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามีโอกาสที่ต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมเชื่อว่าการ์ดทุกคนเตรียมใจมาแล้ว และทำใจยอมรับได้ แล้วทุกคนก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาสงสาร แต่ทุกครั้งที่มีพี่น้องการ์ดบาดเจ็บหรือถูกทำร้ายเพราะเหตุผลทางการเมือง ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องเลวทรามที่ผู้กระทำต้องถูกประณามและถูกลงโทษ เพราะไม่ควรมีใครถูกทำร้าย

การ์ดส่วนหนึ่งเป็นเพียงนักเรียนอาชีวะเทียบเท่านักเรียนม.ปลาย 

ไม่ใช่เรื่องยอมรับกันได้ที่พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงถูกกระทำแบบนี้ นี่คือความรุนแรงที่รัฐใช้กำจัดคนเห็นต่างที่ออกมาร่วมชุมนุมอย่างสันติ ถ้ารัฐเห็นคนเท่ากัน เสียงทุกคนมีความหมาย ก่อนที่รัฐและผู้มีอำนาจจะสั่งใช้กำลังและความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม ขอให้ทบทวนตัวเองว่ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหม พวกเขาคือลูกหลานในวัยเรียน เพียงแต่เขามองเห็นความไม่เป็นธรรมในประเทศนี้ นักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองที่ควรได้ แล้วคุณตอบแทนพวกเขาด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมแก๊สน้ำตาอย่างงั้นเหรอ รัฐควรละอายในการกระทำของตัวเอง

เท่ากัน’ ของคุณหมายความว่าอย่างไร 

ทุกคนมีสิทธิ์จะมีและใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องกา พูด คิด และแสดงออกได้อย่างเสรี ไม่มีปัญหาการเหยียดหรือกีดกันแบ่งชนชั้น ระบบและโครงสร้างสังคมต้องออกแบบมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างความรวยกับความจน ต้องไม่มีอำนาจไม่ชอบธรรมใดมาบดบังใครหรือกลุ่มสังคมใดให้กลายเป็นอื่นที่รัฐไม่เหลียวแล ทุกคนเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและการบริการต่างๆ ได้เสมอกัน เพราะที่ผ่านมาคนรากหญ้าที่ไม่มีอำนาจมักจะถูกผู้ที่มีอำนาจกดขี่ไม่ให้มีชีวิตที่ดี ผมคิดว่าความเท่าเทียมเริ่มต้นจากคำว่าเท่ากันหรือเสมอภาค 

การเรียกร้องครั้งนี้จึงมีความหมายกับทุกคนรวมถึงตัวคุณด้วย เพราะเป็นโอกาสจะได้ลืมตาอ้าปากและมีชีวิตที่คิดว่าดีกว่าเดิม แต่ชีวิตที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ มีความหมายกับคุณอย่างไร 

ถ้าประเทศมีรัฐสวัสดิการ มีระบบดูแลความเป็นอยู่ให้ประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม คุณภาพชีวิตย่อมดีกว่านี้แน่นอน ปัญหาอาชญากรรมก็จะลดลงด้วย ส่วนหนึ่งเพราะระบบบีบคนให้จนตรอกและมองไม่เห็นทางอื่นของชีวิต จนต้องหันไปทำสิ่งที่ผิดเป็นทางออก หากมีรัฐสวัสดิการจะแก้ไขปัญหานี้ได้ มีระบบคุ้มครองที่เข้ามาช่วยดูแลชีวิตไม่ให้คนรู้สึกว่าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวหรือหมดหวัง

แต่ชีวิตที่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐตอนนี้ ผมมองว่ามันไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรสักอย่าง ผมไม่สามารถทำให้ชีวิตตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ เพราะเงื่อนไขเศรษฐกิจทำให้ขยับขยายอะไรไม่ได้เลย แทบไม่มีความมั่นคงในชีวิต ถ้าคิดจะลงทุนทำอะไรสักอย่างก็ไม่มีหลักประกันใดที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ความสำเร็จและกำไรคืนมา เพราะสังคมตอนนี้แรงจ่ายไม่มี แรงซื้อถดถอย ผมคิดว่าชีวิตคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หากประเทศยังอยู่ในขั้นวิกฤตแบบนี้

คุณเชื่อมั่นว่าสันติวิธีจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ระดับไหน 

สันติวิธีคือหนทางของการชุมนุมครั้งนี้ เป็นการกดดันที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ฝ่ายขวาที่เคยชินกับการใช้ความรุนแรงมองเห็นว่า เราต่อสู้ด้วยสันติได้แล้วทำไมเขาถึงยังใช้ความรุนแรง ผู้ชุมนุมเรียกร้องโดยปราศจากอาวุธ แต่รัฐกลับตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ทั้งกำลัง กหมาย และจิตวิทยาคุกคามผู้ชุมนุม แต่พวกเราก็ยังเดินหน้าต่อสู้กันต่อไปด้วยสันติวิธี 

เมื่อปราศจากอาวุธ แล้วอะไรทำหน้าที่เทียบเท่าอาวุธของการต่อสู้อย่างสันติ 

อาวุธที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกับรัฐเผด็จการทหาร คือมวลชนและอุดมการณ์ของมวลชน (เน้นเสียง) แสดงจุดยืนในทุกคนเห็นว่าเราต้องการเรียกร้องหลักการพื้นฐานภายใต้ระบอบประชาธิปไตย สาเหตุที่การชุมนุมยังดำเนินต่อไปได้และมีคนเข้ามาร่วมชุมนุมมากขึ้น ก็เพราะทุกคนเชื่อมั่นในหลักการและอุดมการณ์ ต่อให้ถูกสลายการชุมนุมอีกกี่ครั้ง ทุกคนจะกลับมาร่วมตัวกันใหม่ได้เหมือนเดิม

ในมุมมองของการ์ด ผมให้ความสำคัญกับมวลชนเป็นอันดับหนึ่ง เราไม่กลัวอาวุธที่รัฐมีและใช้เล่นงานเราด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นอะไร โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ลวด รถฉีดน้ำ การ์ดพร้อมสู้เสมอเพื่อปกป้องผู้ชุมนุมให้ปลอดภัย และผมเชื่อด้วยว่า ผู้ชุมนุมเองก็เตรียมตัวพร้อมร่วมต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ที่เรายึดถือเหมือนกัน

คุณเคยตั้งคำถามไหมว่า การต่อสู้จะยืนระยะไปอีกนานแค่ไหน 

คำถามที่ผมถามตัวเองตลอดเวลาคือ เมื่อไหร่จะจบวะ ชุมนุมแต่ละครั้งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง รัฐจะตอบรับข้อเรียกร้องใดบ้าง ทั้งหมดเป็นความคาดหวัง แต่ก็จบลงด้วยความผิดหวังทุกครั้ง เพราะรัฐไม่เคยตอบรับข้อเรียกร้องใดเลย ที่เลวร้ายที่สุดคือรัฐเห็นเราเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศที่ต้องปราบปราม กลายเป็นว่าเราไม่คิดอีกแล้ว ว่าการเรียกร้องนี้จะจบลงเมื่อไหร่ 

วันไหน เดือนไหน หรือปีไหน ผมก็จะออกมาเรียกร้องจนถึงที่สุด ถ้าตัวไม่ตายไปก่อน ก็ไม่หยุดต่อสู้ หรือต่อให้ตัวตายแต่อุดมการณ์ไม่ได้ตายไปกับเรา ความคิดและหลักการทุกอย่างยังอยู่ต่อไป คนที่อยู่เขาก็จะสู้กันต่อ

ส่วนจะจบเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของรัฐแล้วว่ามีความเป็นมนุษย์ขนาดไหน 

อุดมการณ์ทางการเมืองของคุณคืออะไร 

คือทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ระบอบการปกครองและระบบทางกหมายต้องมาจากการเลือกของประชาชน ไม่มีกลเม็ดสอดไส้หรือความอยุติธรรมบางอย่างซ่อนเร้น เพราะที่ผ่านมารัฐเขียนกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง กระบวนการยุติธรรมขาดความเป็นกลาง ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด ดังนั้น ความเท่าเทียมต้องมาก่อน และทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงออกทางการเมือง โดยไม่มีการใช้กฎหมายมารังแกหรืออำนาจมืดปิดปากคนคิดเห็นต่าง 

พูดถึงความเท่าเทียม ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมให้คุณค่าและความสำคัญระหว่างการเป็นนักเรียนสายสามัญกับสายอาชีพไม่เท่ากัน 

ใช่ ไม่ยุติธรรมเลย สายสามัญมีโครงการดีๆ มีนโยบายดีๆ มากกว่า ตอนที่ผมเป็นนักเรียนอาชีวะ รู้สึกว่า ต้องดูแลตัวเองกัน ทั้งๆ ที่สายอาชีพคือแรงงานหลักของประเทศ พวกเราเป็นฟันเฟือนที่ร่วมกันทำงานเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนให้ระบบต่างๆ ของประเทศดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะในสายงานอุตสาหกรรมมีพี่น้องอาชีวะจำนวนมากทำงานอยู่ แล้วเราก็ทำงานกับสายสามัญ สุดท้ายทุกคนทำงานร่วมกัน แต่ทำไมรัฐให้ความสำคัญกับสายอาชีพน้อยกว่า ทั้งๆ ที่ต้องให้สำคัญเท่ากัน เพราะแต่ละสายก็เชี่ยวชาญในเนื้องานและทักษะเฉพาะทาง มคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบทุนนิยม สังคมถึงให้ความสำคัญกับคนที่มีเงินและทำเงินได้มากกว่า 

เด็กอาชีวะบางคนเก่ง มีความสามารถ แต่ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่มีต้นทุนชีวิต เขาย่อมไม่มีโอกาสไปได้ไกลกว่าที่ควรจะเป็น หลายคนถูกเขี่ยให้กลายเป็นคนชายขอบที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง แล้วพวกเขาก็ไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น เพราะแค่หาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ยังยากลำบากเลย

ถ้าสังคมไทยเลิกให้ความสำคัญกับอำนาจของเงินได้ แล้วให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันจริงๆ ผมเชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ ระบบโครงสร้างสังคมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี โดยไม่ต้องยึดติดว่าใครจบสายไหน ใครจบสูง เพราะทุกคนสำคัญเหมือนกัน คุณภาพชีวิตคนไทยก็จะดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

หลังจากกลุ่มราษฎรประกาศยุติบทบาทการ์ดอาสาทั้งหมด เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง เมื่อการ์ดภาคีเพื่อประชาชนต้องยุติลงไปด้วย

ยุติแค่ในนาม ลบคำว่าการ์ดออกไป เป็นภาคีเพื่อประชาชน เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ร่วมกันของทุกๆ คน ส่วนหน้าที่และบทบาทของภาคีก็มีรายละเอียดที่ต้องดูแลมากขึ้น เพราะเราได้รับความไว้วางใจจากแนวร่วมและกลุ่มราษฎร เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อดูแลมวลชนต่อไป

 

ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งในหัวเรือของภาคีเพื่อประชาชน ชีวิตส่วนตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือเปล่า 

ผมอาสาเข้ามาทำหน้าที่การ์ด และเชื่อว่าทุกคนที่ทำหน้าที่นี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเจ้าหน้าที่รัฐตักเตือนและติดตามคุกคาม ถูกคนที่คิดต่างด่าว่าเป็นพวกชังชาติ แต่ผมไม่ได้สนใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมเตรียมตัวรับแรงกระแทกไว้แล้ว ผมรับมันได้ ส่วนตัวยังไม่เจอเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับใครด้วยซ้ำ ไม่ว่าผู้มาร่วมชุมนุมหรือการ์ดคนอื่น 

คิดเห็นอย่างไรกับการถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกชังชาติ 

ใกล้ตัวที่สุดก็คนในครอบครัวผมนี่แหละ เคยตั้งแง่กับคนที่ออกมาชุมนุม ผมเองมีความเห็นทางการเมืองต่างจากคนอื่นในบ้านก็ได้แต่พูดแทนว่า ถ้าชังชาติจริง คนไม่ออกมากันเยอะขนาดนี้หรอก 

ผมไม่ต้องการอยู่ในกะลาหรือพื้นที่แคบๆ ที่รัฐพยายามตีกรอบไว้และกล่อมให้คนเชื่อง ใครก็ตามมองว่าพวกเราชังชาติ ผมก็อยากถามกลับไปว่า แล้วสิ่งที่คุณทำเรียกว่ารักชาติเหรอ การกล่าวหาใครว่าชังชาติเพราะอติเกลียดชัง ผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและไร้จิตสำนึก ไม่มีใครชังชาติ พวกเราพยายามช่วยกันแก้ไขชาติให้ดีขึ้น พวกคุณอยู่เฉยๆ แล้วใช้คำพูดดูถูกดูแคลนพวกเรา ผมอยากให้คุณทบทวนตัวเอง เพราะถ้าคุณเคารพทุกคนในฐานะมนุษย์เท่ากัน คุณจะไม่พูดแบบนั้น

บางคนใช้ชีวิตจำเจตามเดิม แล้วก็บอกว่าชีวิตไม่ขยับขึ้นสักที ก็เพราะว่าคุณไม่คิดเปลี่ยนแปลงและต่อสู้เพื่อตนเองเลย เมื่อทนกับระบบที่กำลังกดขี่คุณได้ คุณก็ไม่ควรสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมชีวิตถึงดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ ชีวิตคุณจะเนือยนิ่งอยู่กับที่ในสังคมเลวร้ายเกินกว่าจะทนไหว เราจึงต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลง อย่ามองแค่สิ่งที่มี แต่มองไกลไปถึงอนาคตข้างหน้าด้วยว่า ชีวิตในวันนั้นจะเป็นยังไง

แสดงว่าครอบครัวไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ 

ตอนแรกไม่มีใครเห็นด้วย ทุกคนถามว่าออกไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ผมถามตัวเองดีแล้ว และได้คำตอบชัดเจน ผมจึงไปร่วมชุมนุมทุกครั้ง คอยดูแลมวลชน จนคนที่บ้านเริ่มถามว่ารัฐทำร้ายประชาชนจริงไหม รัฐใช้อำนาจรังแกประชาชนหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดมีข้อมูล มีข่าวชัดเจน มีภาพ มีคลิปวิดีโอ เมื่อเขาได้ดู ได้อ่าน ได้ฟังสิ่งที่ผมอธิบาย เขาจึงเข้าใจมากขึ้นและยอมรับการตัดสินใจของผมได้

บรรยากาศในบ้านจากที่เคยตึงเครียดก็ดีขึ้นมาก เพราะเราสู้ไม่ถอยด้วยเหตุผล และแสดงให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เราเรียกร้องมีความหมายกับทุกคนไม่ใช่แค่ตัวผมหรือใครคนใดคนหนึ่ง เราไม่ทิ้งอุดมการณ์ เราทำด้วยใจจริง ครอบครัวจึงเห็น แต่ก็ยังมีญาติบางคนที่ไม่เปิดใจคุย เขาก็ยังเชื่อมั่นความคิดเดิม ผมก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะตื่น 

รู้สึกอย่างไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของคนในครอบครัวได้ 

รู้สึกดีมากๆ เพราะครอบครัวเป็นสถาบันสังคมที่สำคัญที่สุด ประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และการเคารพกันต้องเกิดขึ้นในบ้านให้ได้ก่อน ทำให้ผมรู้สึกว่า เมื่อคุยกับคนในครอบครัวได้แล้ว ถ้าเรามีโอกาสได้คุยกับคนที่ยังสงสัยหรือไม่แน่ใจบ้าง ก็คงจะดีเหมือนกัน ทำให้ผมมองเห็นว่าจริงๆ แล้วทุกคนเปลี่ยนแปลงความคิดได้ และเขาจะร่วมต่อสู้ไปกับเรา

ส่วนครอบครัวที่กำลังมีปัญหาเพราะความคิดทางการเมืองไม่ตรงกัน อยากให้ทุกคนเปิดใจรับฟังเหตุผลของคนในครอบครัวที่ออกมาชุมนุ หรือหาข้อมูลเชิงลึกในอินเทอร์เน็ตก็ได้ หนังสือการเมืองก็มีให้อ่านทำความเข้าใจ แล้วสิ่งที่ลูกหลานของคุณทำไม่ใช่ความผิด ยิ่งเป็นคนในครอบครัวยิ่งต้องให้กำลังใจเขาด้วยซ้ำ ให้ความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจว่ายังมีคนในครอบครัวอยู่ข้างๆ ไม่ต้องกังวล

ดังนั้น ผู้ใหญ่ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ควรดีใจและภูมิใจด้วยซ้ำที่ลูกหลานของคุณเคารพและมองว่าทุกคนเท่ากัน เขาจึงต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่ออนาคต

 

คนยืนหยัดต่อสู้เพราะพวกเขามีความหวัง อะไรคือความหวังที่ทำให้คุณยังยืนอยู่ตรงนี้ 

ทุกครั้งที่ผมมองไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมไม่เห็นอะไรนอกจากสิ่งปลูกสร้าง เพราะประชาธิปไตยที่ให้สิทธิ์และรับรองว่าทุกคนภายใต้ระบอบนี้พูดได้ ออกเสียงได้ แสดงความคิดได้ตามรัฐธรรมนูญยังไม่เกิดขึ้นจริง ความหวังของผมคือ ประชาธิปไตยที่คืนอิสรภาพและเสรีภาพให้ประชาชนคนที่เป็นเจ้าของประเทศ

ถ้าเราเปลี่ยนความหวังเป็นความจริงได้ ก็จะไม่มีการชุมนุมอย่างทุกวันนี้ แสดงว่าเรายอมรับการเปลี่ยนแปลง เพราะถึงที่สุดแล้วทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยน ไม่มีใครหรืออะไรคงอยู่ตลอดไป คนต้องไม่ถูกจองจำให้อยู่ในกฎระเบียบคร่ำครึที่ให้ค่าคนไม่เท่ากัน ถึงวันนั้น คน สังคม และประเทศจะพัฒนาจนก้าวทันโลก ผมเชื่อว่าทุกคนที่ออกมาต่อสู้มีความหวังเหมือนกัน

เพราะพวกเราต้องการเรียกร้องเรื่องพื้นฐานมากๆ มากจนงงว่า ทำไมความต้องการทำให้ทุกคนเท่าเทียมและมีชีวิตที่ดีกลับถูกรัฐมองว่าเป็นภัยความมั่นคงของประเทศไปได้ ไม่เข้าใจจริงๆ