ตั้งแต่ยุคที่พก mp3 เครื่องเล็กไปโรงเรียน จนในวันที่สตรีมมิ่งมาเยือน ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน เพลงของ Tattoo Colour ก็ไม่เคยหายไปจากเพลลิสต์เลยสักครั้ง
แม้จะไม่ใช่เพลงที่ฟังบ่อยที่สุด แต่ทุกช่วงเวลาของชีวิตทั้งแอบชอบ เสียใจ หรือแม้แต่ในวันที่ฟ้าครึ้มๆ เพลงของวงนี้ก็จะเข้ามาชโลมจิตใจให้เราที่กำลังซึมๆ กลับมาคึกคักได้เสมอ
จัมพ์ – ธนบดี ธีรพงศ์ภักดี (เบส) เดินเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วย ตง – เอกชัย โชติรุ่งโรจน์ (กลอง) ที่กำลังฮัมเพลง How You Like That ซิงเกิลใหม่ของ Black Pink อย่างอารมณ์ดี จากนั้น รัฐ – รัฐ พิฆาตไพรี (กีตาร์) และ ดิม – หรินทร์ สุธรรมจรัส (ร้องนำ) ก็ตามมาสมทบ
ภาพตรงหน้าชวนให้ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะวันนี้เรากำลังจะได้พูดคุยกับศิลปินที่ได้เห็นพวกเขาบ่อยๆ ผ่านจอทีวี และยังเป็นเจ้าของเสียงดนตรีที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอดชีวิตวัยรุ่น
จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 14 ปีแล้ว ที่ Tattoo Colour โลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายดนตรีแบบไม่เคยหมดไฟ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังร้อนของ อยากจะปล่อยอัลบั้ม ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ ให้พวกเราฟังจะแย่
เรือนแพ ชุดที่ 6
ทำไมต้องเป็น ‘เรือนแพ’
ตง : หลายๆ จังหวัดจะมีร้านอาหารชื่อเรือนแพ บรรยากาศคือจะมีคนไปนั่งดื่มกันอยู่ตามริมน้ำ
ดิม : เราเห็นบ่อยมาก บ่ายๆ ข้าราชการก็ถอดเครื่องแบบออก เหลือแต่เสื้อยืดสีขาว กางเกงสีกากี รอบๆ จะมีกลิ่นรีเจนซีคลุกเคล้า (หัวเราะ) อัลบั้มชุดนี้เปรียบเหมือนเพื่อนๆ ที่นัดกันไปสังสรรค์แล้วได้งาน มันอาจดูตลกโปกฮา แต่จริงๆ แล้วมันซีเรียส ทำงานนานกว่ากินเหล้า
ปกติพวกเราไม่เคยอยู่ด้วยกันเลยครับ คือทำเพลงบ้านใครบ้านมันแล้วส่งไฟล์ผ่านอีเมล ค่อยมาอัดร้องทีหลัง แต่ครั้งนี้เริ่มจากศูนย์ เรามาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เลยคิดว่าบ้านเป็นเหมือนเรือนแพ ที่ให้เราไปพักผ่อนแต่ว่าได้งานด้วย
คำว่า ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ มันมีความกวนแบบแทททูคัลเลอร์ ทุกๆ อัลบั้ม เราจะคิดชื่ออัลบั้มหรือชื่อเพลงให้มันกวนหน่อย เพราะมันเป็นหน้าตาของพวกเรา ควรจะมีอะไรที่ดึงดูด
รัฐ : ชื่ออัลบั้มของแทททูคัลเลอร์จะมีความอีหยังวะ (หัวเราะ)
ตง : ชุดนี้คือ ชุดที่ 6 ก็เลยเติมเลขเข้าไป ให้เหมือนชื่ออัลบั้มเพลงลูกกรุง
แต่มี ‘ชุดที่ 8 จงเพราะ’ ไปแล้วนะ
แทททูคัลเลอร์ : ใช่ครับ (หัวเราะ)
รัฐ : เดี๋ยวก็ทำชุด 7 แล้วค่อยกลับไปทำชุดที่ 2 9 10
จัมพ์ : อยู่ไม่ถึงแล้ว
วัยรุ่นร้อนของจากเมืองขอนแก่น
Tattoo Colour คือเพื่อนๆ ที่รวมตัวกันเล่นดนตรีตั้งแต่เรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จังหวัดขอนแก่น ก่อนจะขึ้นเวทีประกวดแล้วได้มาเป็นศิลปินในสังกัด Smallroom ระยะทางสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร จากขอนแก่นมากรุงเทพฯ พวกเขาไม่ได้พกมาแค่ฝีมือ แต่ยังพกความสนุกสนานแบบคนอีสานจากบ้านเกิดติดตัวมาด้วย
ดิม : ตอนนั้นเราอยากหาเงินสักก้อน เลยไปประกวดเพลงโฆษณา สมอลล์รูมมาเป็นกรรมการพอดี เราเข้ารอบลึกอยู่ประมาณหนึ่ง จังหวะส่งเพลงโฆษณา เราก็เลยส่งเดโม่ของวงไปด้วยเลย พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ – ผู้บริหารค่ายเพลง Smallroom Bangkok Pop Music Label) เลยให้เราเล่นกีตาร์โปร่งร้องเพลงในร้านอาหาร ร้องเพลงที่เคยแต่งตอนเป็นนักเรียน เขาบอกว่าชอบ เลยรับเป็นศิลปิน
จัมพ์ : งง… (หัวเราะ)
ดิม : หลังจากวันนั้นใช้เวลา 2 ปีกว่า ถึงจะมีอัลบั้มแรก สมอลล์รูมเข้มข้นทุกหยดกับการทำเพลง เหมือนจะรับเป็นศิลปินง่ายๆ แต่กว่าจะทำให้ได้หนึ่งเพลงขึ้นมา ยากมาก รัฐแต่งแล้วแต่งอีก แก้แล้วแก้อีก ยิ่งสมัยนั้นไม่มีวีทรานส์เฟอร์ ไม่มีกูเกิลไดรฟ์ แต่ต้องขับรถมาส่งเพลงเอง
จัมพ์ : มันอัพโหลดไม่ได้ ต้องไรท์ใส่ซีดี แล้วนั่งรถทัวร์เพื่อเอาซีดีจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ
ดิม : ถ้าสะสมไมล์คือสามารถซื้อรถทัวร์ได้เลย วันไหนรัฐมีสอบ ดิมจะไปรับบรีฟ สลับกันขึ้นมาแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วรัฐเป็นคนที่แก้เพลงเองไม่เป็น ต้องแต่งใหม่อย่างเดียว
จัมพ์ : ยุคแรกๆ แก้ไม่ได้ก็แต่งใหม่เลย สมัยนั้นไม่ได้ฟิตนะ แต่แก้ไม่เป็น (หัวเราะ)
ดิม : ตอนนั้นเรียนอยู่ ปี 3 ปี 4 ปีเอง พ่อแม่ยังไม่ปล่อยครับ ยังไงก็ต้องเรียนให้จบ ต้องทำทั้งสองทาง มันจะใช้เวลานานหน่อย และค่ายก็ค่อนข้างเข้ม เลยใช้เวลาอยู่สองปีกว่า
วงการเพลงขอนแก่นเป็นอย่างไรบ้าง
ดิม : ถ้าเป็นสมัยเรียนเราจะไปประกวดดนตรีเพื่อเอาเพลงวงตัวเองไปเผยแพร่ เราไม่ได้หวังรางวัล ขอแค่มีเวทีให้เล่นและมีแฟนคลับมาดู ตอน ม.ปลายวงเราถือว่าดังในโรงเรียน เพราะมีอยู่แค่ 2 วง (หัวเราะ) เราก็หาที่เล่นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่การเป็นนักดนตรีกลางคืน สมัยนั้นยังไม่มีใครเล่นเพลงของค่ายเบเกอรี่มิวสิค เราก็เลยเอามาเล่น
จัมพ์ : ยุคนั้นดนตรีร็อก หรือแม้แต่เมทัลเองค่อนข้างดังในอีสาน เพลงป๊อบและอาร์แอนด์บียังเข้ามาไม่ค่อยถึงเท่าไหร่
ดิม : สุดท้ายทำเพลงป๊อปแล้วก็ไม่รู้จะขายใคร เลยปั๊มซีดีกันเองตอน ม.6 เลยต้องไปประกวดเพลงโฆษณา เพราะอยากหาเงินมาทำชุดที่ 2
จัมพ์ : พอไปเห็นโปรดักชั่นใหญ่ๆ ไปดูอุปกรณ์ที่เขาใช้ เลยคิดว่าประกวดอีกทั้งชาติก็คงหาแบบนี้ไม่ได้
ดิม : มันไม่ได้เหมือนห้องอัดใต้บันไดของเรา ตอนที่เอาเดโม่ไปส่งแล้วเขารับ เลยคิดว่าอย่างน้อยๆ ก็ให้พี่ช่วยลงทุนให้ดีกว่า (หัวเราะ)
รัฐ : เขาอาจจะไม่ได้รับเราที่เพลงก็ได้ เพราะว่าตอนนั้นเราหล่อกันมาก
ดิม : ตอนนี้เราก็หล่อ (หัวเราะ)
เพลงแรกในนามแทททูคัลเลอร์
รัฐ : เพลงแรกในฐานะแทททูคัลเลอร์จริงๆ ก็คือเพลงอากาศร้อนๆ อยู่ในแทร็กแรกของอัลบั้มแรกด้วย
ดิม : ถึงเพลงนี้จะไม่ได้ตัดเป็นแผ่นซิงเกิล แต่ก็ถือว่าดังมาก สมัยนั้นยังไม่มีสตรีมมิ่ง พอเราเอาใส่เป็นแทร็กแรกในซีดี ก็เหมือนดักตีหัวคนฟัง
แรงบันดาลใจของ ‘อากาศร้อนๆ’
ดิม : ตอนนั้นขอนแก่นมันคงร้อน เลยสงสัยว่าทำไมอกหักต้องหนาวด้วยวะ อกหักตอนร้อนไม่ได้เหรอ ทำไมเวลาหนาวต้องคิดถึงแฟนเก่า ร้อนแล้วคิดถึงไม่ได้เหรอ กูคิดถึงแอร์บ้านมึง กูไม่ได้คิดถึงไออุ่นของมึง (หัวเราะ) มันไม่ค่อยมีใครเขียนเรื่องนี้ เราเริ่มคิดว่าทำไมต้องเขียนเพลงแบบคนอื่น ทำไมต้องตามคนอื่น เราก็เริ่มหัวขบถขึ้นเรื่อยๆ
รัฐ : อย่างเพลงฝากที ตอนนั้นร้องเพลงกลางคืนแล้วเดินไปหาดิม อาจจะกรึ่มๆ เหล้า เลยบอกว่าเดี๋ยวกูเขียนเพลงนี้ให้เว้ย เป็นเรื่องของแฟนเก่าที่เลิกกันแล้ว แต่มากับแฟนใหม่ของเขา แต่เราอยากบอกแฟนเก่าให้ไปบอกแฟนใหม่ว่าอย่ามายุ่งกับกู มันก็งงๆ แบบนี้ ในฐานะเจ้าของเรื่องจะซีเรียส แต่ในฐานะผมมันตลกดี
(หัวเราะครืนกันทั้งวง)
ตง : ตอนนั้นจำได้เลย ผมบอกว่าขออีกทีซิ
ดิม : เพลงที่เขียนมันมาจากพวกเราบ้าง มาจากเพื่อนกลุ่มอื่นบ้าง หรือมาจากจินตนาการเฉยๆ ก็มี มันไม่จำเป็นต้องจริงตลอด บางทีกินเหล้าเมาแล้วก็แต่งเพลงได้
‘เซาเถอะ’ เพลงอีสานเพลงแรก
ก่อนจะมาเป็น ‘เซาเถอะ’
ดิม : แม่ทักว่าเราเป็นคนขอนแก่น เมื่อไหร่จะมีเพลงอีสานสักที
รัฐ : ผมก็คิดมานานแล้วเหมือนกันว่าอยากทำ แต่ยังหาช่องทางไม่ได้ เพราะเราป็นวงป๊อป เรามีโจทย์ว่าอยากทำเพลงเร็ว เป็นเพลงจังหวะเต้นรำ ก็เลยหาเรฟกันอยู่ ใครมีไอเดียนึกเพลงอะไรออกก็เอามาแชร์กัน ดูว่ายุคนี้เป็นยังไงบ้าง
ผ่านไปสัก 2-3 ชั่วโมง หลังจากที่ได้ฟังเมโลดี้บางอย่างจัมพ์ก็ปรบมือออกมา เรารู้สึกว่าเสียงจัมพ์ปรบมือมันน่าสนใจ เลยตั้งต้นจากเสียงนี้ เราคิดถึงภาพในโบสถ์ ที่คนผิวสีกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เขาจะมีการโต้ตอบกัน เราก็เลยใช้เมโลดี้ทรงนี้มาทำเพลง มันเป็นสิ่งใหม่ เพราะปกติแทททูคัลเลอร์จะเริ่มจากคอร์ด
พอมีเมโลดี้แบบปรบมือ มีช่องโต้ตอบกัน ผมว่ามันน่าจะไปด้วยกันได้ เลยมานั่งหาคำภาษาอีสานกัน คำแล้วคำเล่า สุดท้ายจบด้วยคำว่า ‘เซาเถอะ’
‘เซาเถอะ’ แปลว่าอะไร
ดิม : เซา แปลว่า หยุด ในภาษาอีสาน เช่น เขาไม่รักก็หยุด พอร้องจริงๆ มันดันไปเข้ากับคำว่าเศร้า เห็นว่าคำนี้มันใช้ได้นี่หว่า จะร้องว่าเซาจนจบเพลง มันดูน่าเบื่อ เลยใส่อย่างอื่นเข้าไปตามสไตล์แทททูคัลเลอร์
เพลงเราไม่ค่อยมีความเป็นหนึ่งเดียวเท่าไหร่ จะผสมนั่น ผสมนี่ ผสมท่อนดิสโก้เข้าไปด้วย เพลงนี้ถือว่าสนุกสนานครับ ท่อนโซโล่ก็มีความเป็นอีสาน ยิ่งน่าเซิ้งเข้าไปใหญ่
เป็นเพลงอีสานเพลงแรกของแทททูคัลเลอร์หรือเปล่า
ดิม : จริงๆ มีเพลงคัฟเวอร์อีกเพลงที่เราเคยทำเมื่อ 10 ปีก่อน อยู่ดีๆ ไอเดียนี้ก็วนกลับมาในหัวอีกรอบ
รัฐ : ตอนนั้นทุกวงในค่ายต้องคัฟเวอร์เพลงของ Flipper’s Guitar ทุกวงชัดเจนมาก มีแต่เท่ๆ ทั้งนั้น เราเป็นวงป๊อบ เราเลยเอาความเป็นขอนแก่นใส่เข้าไป
จัมพ์ : เพลงนั้นท่อนหมอลำมันก็จะเป็นล้ำหมอลำ เต็มสูบเลยครับ
รัฐ : พอเป็นเพลงอีสาน เรามีความคิดว่าจะไม่ให้อีสานแห้งแล้ง กันดาร ต้อยต่ำ เธอไปกับผู้ชายหล่อรวย ขับเบนซ์ ไม่เอาแบบนั้น เราคิดว่าอีสานคือความสนุก คนอีสานเก๋าพอตัว เซาเถอะก็คือพอเถอะ เขาไม่รัก เราก็ไม่รัก พวกเราไม่อยากให้มองว่าอีสานมันต้อยต่ำ เพลงนี้เราไม่ใช้ภาษาอีสานที่ลึกเกินไป คนฟังน่าจะพอเดาได้อยู่
เรือนแพชุดที่ 6 จะพาเราไปเยือนถิ่นอีสานทั้งอัลบั้มเลยหรือเปล่า
จัมพ์ : ไม่ครับ เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่เราทำออกมาแบบนี้ แต่ทั้งอัลบั้มยังอยู่ในหมวดความเป็นวาไรตี้ป๊อบแบบฉบับแทททูคัลเลอร์อยู่
รัฐ : สิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อนคืออัลบั้มนี้เกิดขึ้นจากส่วนผสมของพวกเราทุกคน
จัมพ์ : อัลบั้มก่อนหน้านี้รัฐจะขึ้นโครงสร้างเพลงทั้งหมด ทั้งเนื้อและเมโลดี้ แต่อัลบั้มนี้เรา 4 คนจะเริ่มต้นขึ้นโครงด้วยกัน มันจะแรนด้อมขึ้นมาเลย บางทีทำนองก็ขึ้นมาก่อน บางทีเมโลดี้ก็ขึ้นมาก่อน เราเอาคำของแต่ละคนมาผสมปนเปกันเพื่อสร้างเพลงขึ้นมา
รัฐ : อัลบั้มนี้ความสนุกเยอะหน่อย
‘อัลบั้ม’ กับ ‘ซิงเกิล’ ชอบแบบไหนมากกว่ากัน
รัฐ : เราเห็นตรงกันว่าชอบทำเพลงเป็นอัลบั้ม
จัมพ์ : เพราะเราถนัด
รัฐ : เหนื่อยทีเดียวสร้างงานเสร็จเป็นก้อนใหญ่ได้เลย อัลบั้มที่แล้วเปรี้ยวไปหน่อยเพราะปล่อยทีเดียวหมดเลย อาจไม่เหมาะสำหรับยุคนี้ แต่พอมาอัลบั้มนี้เราค่อยๆ ทยอยปล่อย จะปล่อยเดือนละเพลงครับ คิดว่าปลายปีก็น่าจะครบ รอเทพเจ้าโควิดแตกสลายไปก่อนค่อยว่ากัน
ทำไมถึงคิดว่าอัลบั้มไม่เหมาะกับยุคนี้
จัมพ์ : การเสพเพลงครับ
รัฐ : ยุคนี้ตัวเลือกเยอะ เพลงมาไว ไปไว ถ้าเราโยนอัลบั้มลงไปก้อนเดียว ภายในวันเดียว ทุกคนฟังเสร็จก็จบ เหมือนปิดมิชชั่น แต่ถ้าเราปล่อยทีละซิงเกิลคนก็จะตื่นเต้น
จัมพ์ : คนจะได้โฟกัสกับเพลงเราทีละเพลง
รัฐ : เดี๋ยวนี้ทุกคนคงไม่ตื่นเต้นกับการมีซีดีเท่าไหร่แล้ว เขาจะฟังในยูทูปเป็นหลัก ยูทูปกลายเป็นแพล็ตฟอร์มสากลไปแล้ว รายได้ส่วนใหญ่ของศิลปินเมืองนอกก็ได้จากสตรีมมิ่งไปแล้ว ดูอย่างแบล็คพิ้งค์ก็มาทีละเพลง
งานเพลงแต่ละอัลบั้มใช้เวลานานไหม
ดิม : ประมาณ 2-3 ปี เราไม่ได้เร่ง ถ้าเราเร่งว่าทุก 2 ปี ต้องมี มันจะบีบตัวเองเกินไป แล้วรัฐอาจจะตัน เราต้องรู้ว่าเพื่อนโหลดอยู่ไหม เพื่อนต้องทำค่ายอีก ต้องทำงานของมันเองอีก เรา 3 คน (ดิม จัมพ์ ตง) ผมกับจัมพ์ก็ไม่ได้มีงานทำเพิ่ม ตงอาจยังมีส่งต้นไม้บ้าง แต่สำหรับรัฐ นอกจากงานแทททูคัลเลอร์ เขายังมีแต่งเพลงและโปรดิวซ์ให้ศิลปินคนนั้น คนนี้
ถ้าเปรียบเป็นคน Tattoo Colour เป็นคนแบบไหน
หลังจากที่พูดคุยกับสมาชิกแต่ละคนมาสักพัก เราก็พบว่าสกิลที่จำเป็นสำหรับการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือต้องเป็นคนรู้เท่าทันมุกอยู่พอตัว เพราะแต่ละคนตบมุกกันแบบไม่มีใครยอมใคร ดูเหมือนคำถามที่ว่า “ถ้าเปรียบแทททูคัลเลอร์เป็นคน จะเป็นคนแบบไหน” ที่เราเตรียมมา คงได้รับคำตอบไปแล้วโดยปริยาย ระหว่างการสนทนาในครั้งนี้
รัฐ : ผมว่าเราทำเพลงที่ตอบสนองตัวเองมาก มันชัดในเพลงอยู่แล้ว ว่าเรา 4 คนนี้น่าจะ…
จัมพ์ : เป็นคนกวนตีน
(หัวเราะลั่นกันทั้งวง)
ดิม : สดใส ร่าเริง มั่นใจ แต่เวลาทำงานก็จริงจัง พวกเราเป็นแบบนี้ ถึงทะเลาะกันตอนทำงานก็จะจบที่เรื่องงาน
รัฐ : ถ้าเครียดกันก็เครียดนะครับ จะไม่ได้นั่งเฮฮากันแบบนี้ ก็อึดอัดอยู่ประมาณหนึ่งถ้าทำงาน แต่หลังจากนั้นก็เต็มที่…ตีห้า
จัมพ์ : หมายถึงทำงานเหรอ
รัฐ : เปล่า กินเหล้า (หัวเราะ)
เพลงไหนของวงตัวเองที่ชอบมากที่สุด
ดิม : ผมชอบ ฉันรักเธอ เพราะเป็นเพลงแรกที่ร้องแล้วเข้าปากดี ชอบที่พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่มาแร็พ และแร็พได้คมคายมาก เลยปลื้มเพลงนี้ครับ
ตง : ผมชอบ เซาเถอะ ครับ เพราะเป็นการผสมสานความเป็นขอนแก่นเข้าไปในเพลง และเรากำลังโปรโมทอยู่ด้วยครับ
ดิม : ไม่ต้องทำเสียงหล่อก็ได้ครับ
จัมพ์ : (ทำเสียงบ้องแบ๊ว) ชอบเพลง รถไฟ ครับ แต่จะชอบเวอร์ชั่นเดโม่ที่รัฐร้อง
รัฐ : ผมชอบเพลง คนอ่อนไหว ในอัลบั้ม Pop Dad มันมีน้อยเพลงที่ผมจะเขียนถึงตัวเอง แต่เพลงนี้ผมเขียนจากความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปด้วยเยอะเลย มันมีคำว่า “ดูเหมือนจะค้านทุกสายตา ไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นเช่นไร” คนมองผมก็คงจะประมาณนี้ เห็นว่ามีความอ่อนแออยู่ในใจลึกๆ
ถ้าไม่ใช่เพลงรัก อยากทำเพลงแนวไหนอีก
ดิม : จริงๆ เราแต่งเพลงปลูกป่า ลดโลกร้อน ขายน้ำหอม ขายมอเตอร์ไซค์ ขายปั๊มน้ำก็ยังมี เรามีหลายเพลงมากที่ไม่ใช่เพลงรัก อย่างเรือนแพชุดที่ 6 ไม่ได้ตั้งใจให้เกี่ยวกับความรักเลย เพลง ร้อนของ ก็ไม่ได้เกิดจากความรัก มันเกิดจากการที่ผมเอาเดโม่ไปหลุดให้คนอื่นฟัง สุดท้ายก็มาตีความให้มันเข้ากับความรักนิดหน่อย เซาเถอะก็เหมือนกัน แค่อยากเอาความเป็นอีสานเข้ามา แล้วใส่ความรักไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเพลงรักแต่แรก อันที่จริงแล้ว เพลงเราไปทางไหนก็ได้ ก็เลยเขียนสนุก
14 ปีกับการเป็น ‘Tattoo Colour’
เรื่อราวประทับใจบนเส้นทางดนตรี
ดิม : มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองและได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกทีวีครับ เพราะวงดังๆ เขาได้ขี่กันหมด เราได้เป็นพรีเซ็นเตอร์มอเตอร์ไซค์ซูซูกิ ดีใจมาก ต่อมาได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โค้กอีก ควิกแสบอีก โอ้โห อะไรวะเนี่ย เรารู้สึกว่าพอได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แสดงว่าเราถูกกลุ่มเป้าหมาย เราดังแล้ว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนกลุ่มเล็กๆ ก็เลยรู้สึกประสบความสำเร็จ
ตง : ผมรู้สึกประทับใจตอนอัดเพลงเสร็จแล้ว ตอนที่สมอลล์รูมปั๊มแผ่นซีดีมาให้เราดูว่า นี่เป็นของวงเรา นะ มีรูปเราอยู่บนปก แล้วก็มีชื่อเพลงข้างหลัง
ดิม : อัลบั้มแรกเค้ายืนเด่นเป็นสง่าเลย หล่อทุกงานครับคนนี้ (หัวเราะ)
จัมพ์ : ของผมน่าจะเป็นช่วงอัลบั้ม ชุดที่ 8 จงเพราะ ที่งานเยอะมากๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ที่จำได้เพราะเช็คของ 2 เดือนนี้เยอะกว่าอัลบั้มแรกทั้งหมดที่เคยได้ ตอนนั้นรู้แล้วว่าชีวิตกูต้องเล่นดนตรีแน่ๆ จำได้ว่าในเดือนนั้นเรามีวันหยุดแค่ 2-3 วัน งานเข้าถี่และดุมาก มันเหนื่อย มันล้า แต่พอเห็นเช็คก็เข้าใจเลยว่าที่ทำงานหนักมามีคุณค่าแน่ๆ
รัฐ : ถ้าว้าวจริงๆ คงเป็นตอนเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันครั้งแรกในนามแทททูคัลเลอร์ เป็นคอนเสิร์ตชื่อว่า ‘สมอลล์รูมเล่นอาร์มแชร์’ ค่ายเปิดโอกาสให้วงใหม่ๆ เลือกเพลงของวงอาร์มแชร์มาคัฟเวอร์บนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ของเขา
ดิม : จัมพ์ยังใส่รองเท้าแตะขึ้นเวทีอยู่เลย ตอนนั้นยังเป็นเด็กหอ สะพายเบส ใส่เสื้อยืดชมรมอะไรสักอย่าง
รัฐ : จริงๆ แล้วทั้งผม ดิม ตง ตอนเล่นกลางคืนที่ขอนแก่น เราเป็นนักร้องกันหมด ผมเล่นกีตาร์ก็จริง แต่ไม่ได้เคยเพอร์ฟอร์มบนเวทีมาก่อน ถึงจะเล่นดนตรีมาเป็นปีก็ตาม ตงเขาก็เป็นนักร้อง ถึงสมัยเรียนจะเป็นมือกลองก็จริง แต่ว่าไม่เคยเล่นดนตรีบนเวทีใหญ่ขนาดนั้น
ตื่นเต้นมาก ผมไม่มีเอฟเฟคต์เป็นของตัวเอง ยืมเพื่อนมาใช้ จัมพ์ก็ไม่ได้พร้อม ไม่รู้เรื่องกาลเทศะ ใส่รองเท้าแตะมา มันมีความก๋ากั่น เรายังประเมินสถานการณ์ไม่ถูก ไม่เคยผ่านเวทีมาก่อน แต่ก็ทำลงไปแบบนั้น ซึ่งก็เรื้อนใช้ได้
ดิม : สมอลล์รูมเป็นค่ายที่ทำเพลงเก๋ๆ แล้วคนที่อยู่ในนั้นก็เป็นคนเก๋จริงๆ ดูจากเครื่องแต่งกายก็รู้เลยว่าเรา 4 คนไม่ได้อยู่สมอลล์รูมแน่นอน (หัวเราะ) พวกเรายังแต่งตัวยังไม่เป็น ไม่มีใครจัดคอสตูมให้
รัฐ : เล่นเสร็จเพื่อรอกินเบียร์และให้เค้าพาไปกินลาบ (หัวเราะ) แค่นี้เราก็ดีใจมากๆ ก่อนจะขึ้นเวทีผมจำได้เลย คิดอยู่ว่า เชี่ยเอ๊ย จะรอดไหมเนี่ย แต่ก็สนุกดี เขาคงไม่ได้ถือสา เพราะตอนนั้นเราก็ยังเด็กและใหม่มาก
ดิม : เราเป็นวงเปิดด้วย พูดเลยว่าตอนนั้นทุกคนเขามารอดูอาร์มแชร์กัน แต่เรารู้สึกดีที่เขาให้โอกาสขึ้นเวที มันเป็นก้าวต่อไปว่าสักวันหนึ่งเราจะไปยืนตรงนั้นให้ได้
มีเรื่องอะไรที่สามารถพูดได้ว่าเราทำได้แล้วบ้าง
รัฐ : ถ้าตอบแบบเท่ๆ มันคอมพลีตตั้งแต่วันที่อัลบั้มแรกเสร็จแล้วครับ ทุกวงที่ตั้งใจทำงานก็อยากจะประสบความสำเร็จด้านใดด้านหนึ่ง เช่น คำชม ถูกยอมรับ โด่งดัง หรือได้รางวัล สมอลล์รูมให้โอกาสเราทำอัลบั้มที่ 2 แล้วก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จ มันก็หมือนปลดล็อกไปทีละขั้นครับ
ตอนที่มีสื่อมาสัมภาษณ์เราครั้งแรก แล้วถามว่าเราคาดหวังอะไรกับสิ่งที่ทำอยู่ เราพูดได้ว่าสิ่งที่เราทำได้แล้ววันนี้ คือ ทำให้การเล่นดนตรีของเราเป็นอาชีพได้จริงๆ หมายความว่า ให้ดนตรีและงานเพลงมันดูแลครอบครัวได้ เหมือนพี่ๆ พาราด็อกซ์, เดอะ บีเทิลส์, คาราบาว วงใหญ่ๆ ที่เขาดูแลตัวเองได้ นั่นคือความคาดหวังของเรา เมื่อก่อนเรายังทำไม่ได้ แต่ตอนนี้เราทำได้แล้ว ผ่านมา 10 กว่าปี ไม่ได้ทะลึ่งไปทำอาชีพอื่นเลย
มองตัวเองและวงอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างไร
ตง : ไม่รู้
จัมพ์ : ก็คงเป็นอย่างนี้แหละครับ
ดิม : ผมว่า 10 ปี มันสั้นไป คิดว่ายังเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้า 20 ปีอาจจะคิดหนักนิดหน่อย
จัมพ์ : ถ้า 20 ปี ตอนนั้นก็อายุเกือบๆ 60
ดิม : มึงเซ็นลิขสิทธิ์ให้กู เดี๋ยวพวกมึงตายกูเอาไปขาย
รัฐ : มึงคิดว่ามึงจะได้อะไรเหรอ กูอยากรู้ว่ามึงจะได้อะไร (หัวเราะ)
ดิม : อีก 10 ปีก็ยังอยากให้เป็นแบบนี้อยู่ครับ ถ้าเราทุกคนยังอยากเป็นแบบนี้อยู่ ผมว่ามันไม่เปลี่ยนหรอก ถ้าความฝันของเรายังใช้บทเพลงทำมาหากินอยู่ 10 ปีข้างหน้าก็น่าจะเป็นแบบวันนี้
รัฐ : เราไม่มีแผนว่าจะแยกวงครับ
จัมพ์ : เพราะถ้าเราแยกวงเราไม่รอดชัวร์ (หัวเราะ)
อัลบั้มใหม่ที่ว่าร้อน ร้อนแค่ไหน
รัฐ : อัลบั้มนี้เราใส่เต็มที่ครับ รอฟังดีกว่า อาจจะบอกให้พวกเรา เซาเถอะ ขอเพลงเหรอ เปล่า เซาเถอะคือ เลิกเล่นเถอะ
จัมพ์ : สำหรับวงคือ บันเทิงเกินไป บันเทิงแบบที่คาดไม่ถึง ฟังอัลบั้มนี้แล้วเข้าใจเลยว่า เราบ้าไปแล้ว (หัวเราะ)
ดิม : อัลบั้มนี้ไม่ใช่ว่าคิดอะไรก็เขียนใส่ลงไป ไม่ใช่แบบนั้น อย่างเพลง ร้อนของ เห็นอย่างนี้ ต่ำๆ ก็ใช้เวลาอยู่ 4-5 อาทิตย์
จัมพ์ : เค้นกันหนักมาก ไม่ได้แต่งสุ่มสี่สุ่มห้า บางวันนั่งอยู่ด้วยกัน จุมปุ๊ก เขียนๆ ได้แค่สองบรรทัด บางวันก็เขียนไม่ได้ด้วย และไอ้สองบรรทัดนั้นก็รื้อใหม่ บางทีเหมือนจะเอาแล้ว แต่ไม่เอาแล้ว ไม่เวิร์กก็เปลี่ยน
ดิม : อัลบั้มนี้ไม่ใช่รัฐเขียนแค่คนเดียวแล้ว ผมต้องมานั่งร้องท่อนที่ตงเขียน มันมีคำสนุกสนานมากมาย ใครที่เบื่อเพลงรักๆ ใคร่ๆ มาเจอพวกเราได้ พวกเราพร้อมจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้คุณ (หัวเราะ)
ชอบที่แฟนคลับมาคอมเม้นท์ในเพจบอกว่าตอนนี้แทททูคัลเลอร์ถึงขั้นไร้กระบวนท่าแล้ว รู้สึกเหมือนหนังจีนเลย สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่เรื่องของกระบวนท่าหรอก เพราะกระบี่อยู่ที่ใจ หรือไม่จำเป็นต้องเห็นกระบี่ก็โดนแทงได้แล้ว ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามสเต็ปแล้ว เราคิดสเต็ปของเราเองได้ ไม่จำเป็นต้องตามใคร
ทุกวันนี้ผ่านมาทั้งหมด 60 กว่าเพลง มีเพลงที่ทำงานตามสูตรของมันไปแล้วเกือบทั้งหมด ตอนนี้อยู่ในจุดที่เราอยากจะทำเพลงเร็วๆ มีคำสนุกๆ และใช้การเรียบเรียงแบบพวกเรา เรือนแพ ชุดที่ 6 ไม่มีสมอแล้ว
ตง : ก็คือไม่จอดแล้ว (หัวเราะ)
จัมพ์ : พอมาอยู่ด้วยกันมันไม่ติดเบรกน่ะ
ดิม : ถ้าจะมีเบรกก็เบรกเพราะผม เพราะต้องร้องเพลงที่เพื่อนแต่งกันขึ้นมา ไหว้ละกัน บางทีเนื้อเพลงมันสนุกเกินงามจริงๆ
จัมพ์ : กดเบรกแล้วกดไม่อยู่
พอได้ยินแบบนั้น ทำให้รู้สึกว่าการกลับมาของพวกเขาในครั้งนี้คงจะ “หมักบ่มมาแล้วจนถึงดีกรี สนุกจนเธอต้องร้องแทบขาดใจ” เหมือนที่เพลง ‘ร้อนของ’ ซิงเกิลแรกของอัลบั้มได้บอกเอาไว้จริงๆ
ติดตาม Tattoo Colour ได้ที่
Facebook Page : TATTOO COLOUR
Instagram : instagram.com/tattoocolourband
www.smallroom.co.th
FACT BOX
- Tattoo Colour (แทททูคัลเลอร์) เป็นวงดนตรีในสังกัดค่าย Smallroom Bangkok Pop Music Label
- ปัจจุบันมีผลงานเพลงทั้งหมด 6 อัลบั้ม ได้แก่ Hong Ser (2549), ชุดที่ 8 จงเพราะ (2551), ตรงแนวๆ (2553), Pop Dad (2557), สัตว์จริง (2560)
- ก่อนจะชื่อ Tattoo Colour สมัยเรียนวงดนตรีของพวกเขาชื่อว่า ไอศกรีม 479 (I Scream 479)