ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ มนุษย์รู้จักใช้การสังเกตและจดจำรูปแบบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เพื่อหาความน่าจะเป็น
‘การทำนายสภาพอากาศ’ ก็เป็นอีกศาสตร์ที่มีผลพวงมาจากกระบวนการนี้
แม้คนเฒ่าคนแก่จะให้คำตอบไม่ได้ว่า ทำไมสิ่งที่พวกเขาทำนายจึงถูกต้อง แต่แน่นอนว่าเบื้องหลังความแม่นยำนั้น มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่
และเราก็สามารถที่จะคาดการณ์สภาพอากาศด้วยตาเปล่าได้เช่นกัน ถ้ารู้จักสังเกตทิศทางลม และก้อนเมฆ

รู้จัก ‘เมฆ’ ที่ทำให้เกิดฝน
เมฆในธรรมชาติมีรูปร่าง 2 แบบ คือ เมฆก้อน และ เมฆแผ่น
เราเรียกเมฆก้อนว่า “เมฆคิวมูลัส” (Cumulus) และเรียกเมฆแผ่นว่า “เมฆสเตรตัส” (Stratus)
หากเมฆก้อนและเมฆแผ่นลอยชิดติดกัน เรานำชื่อทั้งสองมารวมกัน และเรียกว่า “เมฆสเตรโตคิวมูลัส” (Stratocumulus)



(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)

ส่วนในกรณีที่เป็น เมฆฝน จะเพิ่มคำว่า “นิมโบ” (Nimbo) หรือ “นิมบัส” (Nimbus) ซึ่งแปลว่า “ฝน” เข้าไป เช่น เมฆแผ่นที่มีฝนตกเรียกว่า “เมฆนิมโบสเตรตัส” (Nimbostratus) และเมฆก้อนที่มีฝนตกเรียกว่า “เมฆคิวมูโลนิมบัส” (Cumulonimbus)


กรณีที่แบ่งตามระดับความสูง เราสามารถแบ่งเมฆได้ 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่
เมฆชั้นสูง (เติมคำว่า Cirro- ที่แปลว่า “ชั้นสูง” ไว้ข้างหน้าคำเรียกชนิดก้อนเมฆ) ยกเว้นเมฆริ้วที่อยู่สูงสุด จะเรียกว่าเมฆ “ซีร์รัส” (Cirrus)
เมฆชั้นกลาง (เติมคำว่า Alto- ที่แปลว่า “ชั้นกลาง” ไว้ข้างหน้าคำเรียกชนิดก้อนเมฆ)
เมฆชั้นต่ำ (เรียกชื่อตามชนิดของก้อนเมฆ เช่น คิวมูลัส-เมฆก้อน สเตรตัส-เมฆแผ่น)
ซึ่งเมฆที่อยู่ใน กลุ่มเมฆชั้นต่ำ เป็นเมฆที่ทำให้เกิดฝน หิมะ ลูกเห็บ และอื่นๆ (เรียกโดยรวมว่า ‘หยาดน้ำฟ้า’) ได้แก่
เมฆสเตรตัส (Stratus): เมฆแผ่นบาง ลอยสูงเหนือพื้นไม่มากนัก เช่น ลอยปกคลุมยอดเขามักเกิดขึ้นตอนเช้า ทำให้เกิดฝนแบบ ‘drizzle’ หรือสายฝนที่พร่างพรมแบบเบาๆ คล้ายไอน้ำ หรือทำให้เกิดหมอก

(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)
เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus): เมฆแผ่นสีเทา ทำให้เกิดฝนตกแบบทั่วไป

(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)
เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus): เมฆก่อตัวในแนวตั้ง พัฒนามาจากเมฆคิวมูลัส ก่อนจะก่อตัวในแนวดิ่ง มีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หรือแม้กระทั่งพายุหมุน ถ้าเห็นเมฆชนิดนี้ แนะนำว่าควรรีบหาที่กำบังด่วน!

(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)
ถึงตรงนี้ หากสังเกตเห็นว่ามีเมฆลอยต่ำ ก็ให้สันนิษฐานได้ว่า ฝนน่าจะตกในไม่ช้า…

(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)
ดู ‘ลม’ ให้เห็นฝน
‘ลม’ เกิดจากหย่อมความกดอากาศ 2 แห่งที่ไม่เท่ากัน โดยจะพัดจากหย่อมความกดอากาศสูงไปต่ำเสมอ
สำหรับเรา (คนไทย) ที่อาศัยอยู่บนซีกโลกเหนือ เมื่อยืนหันหลังให้กับกระแสลมแล้ว หย่อมความกดอากาศสูงจะอยู่ทางขวามือ ส่วนหย่อมความกดอากาศต่ำจะอยู่ซ้ายมือ (ส่วนคนที่อยู่ซีกโลกใต้จะกลับกัน)

(photo: WEATHER A Golden Nature Guide)
ฉะนั้น หากสัมผัสได้ว่ามีกระแสลมพัดผ่านจากทางตะวันตก (หรือตะวันตกเฉียงเหนือ) นั่นก็หมายความว่า ณ ขณะนั้น สภาพอากาศเป็นปกตินั่นเอง
แต่ถ้ามีลมพัดแรงจากทิศใต้ และกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวจากทางทิศตะวันตก ก็ขอให้รู้ว่า ไม่แน่ฝนกำลังจะมา และจงเตรียมร่มให้พร้อม!

*หมายเหตุ: ประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลมที่ทำให้ฝนตก คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่นำมวลอากาศชื้นจากมหาสมุทรอินเดียมาสู่ประเทศไทย ทำให้มีเมฆมากและฝนชุกทั่วไป โดยพัดปกคลุมประเทศไทยระหว่าง กลางเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม
วิธีสังเกต…วันนี้จะอากาศดีหรือมีฝน?
มีข้อสังเกตมากมายบันทึกว่า หากเจอเหตุการณ์ลักษณะต่อไปนี้ อาจทำนายได้ว่า…
วันนี้…อากาศจะดี
– มีลมพัดพัดอ่อนๆ จากทางทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
– กลุ่มเมฆลอยสูง
– มีเมฆคิวมูลัส (Cumulus) กระจายตัวอยู่บนท้องฟ้ายามบ่าย ในฤดูร้อน

วันนี้…อาจจะมีฝนตก
– เมฆ ซีร์รัส (Cirrus) หรือเมฆริ้ว มีรูปร่างคล้ายขนนก เป็นเมฆอยู่ชั้นสูงสุด รวมตัวเป็นกลุ่มหนาและมีเมฆลอยต่ำอยู่ด้านล่าง
– เมฆคิวมูลัส (Cumulus) ที่เดิมเป็นก้อนปุกปุยเริ่มรวมตัวกันในแนวดิ่ง
– มีลมพัดแรงจากทิศใต้ และกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวจากทางทิศตะวันตก
– มีวงแหวนปรากฏขึ้นรอบดวงจันทร์

(photo: Wikimedia Commons)
เห็นพระจันทร์ทรงกลด ระวังพายุ!?
สาเหตุที่ทำให้เกิดวงแหวนรอบดวงจันทร์ เป็นเพราะแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องไปกระทบกับ เมฆซีร์รัส เมฆชั้นสูงซึ่งประกอบขึ้นจากเกล็ดน้ำแข็งขนาดเล็กจิ๋วจำนวนมหาศาล

สาเหตุที่ทำให้เกิดวงแหวนรอบดวงจันทร์ เป็นเพราะแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องไปกระทบกับ เมฆซีร์รัส เมฆชั้นสูงซึ่งประกอบขึ้นจากเกล็ดน้ำแข็งขนาดเล็กจิ๋วจำนวนมหาศาล
แม้เมฆชั้นสูงจะไม่ได้ก่อให้เกิดพายุหรือหยาดน้ำฟ้าต่างๆ แต่การปรากฏตัวของ เมฆซีร์โรคิวมูลัส หรือที่นักเดินเรือฝรั่งเรียกว่า Mackerel Sky (ท้องฟ้าลายเกล็ดปลาแม็คเคอเรล) แสดงให้ถึงความแปรปรวนของแนวปะทะอากาศ
ส่งผลให้เกิดได้ตั้งแต่ฝนพรำๆ ไปจนถึงฝนตกหนัก หรือแม้แต่กระทั่งฝนฟ้าคะนอง

(photo: www.flickr.com, Wikipedia)
ภูมิปัญญาโบราณกับการพยากรณ์อากาศ
ชาวนา ชาวเรือ นายพราน รวมไปถึงชนพื้นเมือง ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า “Weather Lore” คำทำนายสภาพอากาศที่สั่งสมจากประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น
และคำทำนายหลายอย่างก็มีความแม่นยำจนน่าประหลาดใจ
ปี ค.ศ. 1950 เป็นปีที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดาบางส่วนถูกพายุหิมะพัดถล่มสูงถึง 145 เซนติเมตร คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 350 ชีวิต นับว่าเป็นวาตภัยที่ร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ภายหลังในปี ค.ศ. 2010 งานวิจัยฉบับหนึ่งจากคณะภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอคลาบามา เรื่อง “Old Indian Ways’’ of Predicting the Weather: Senator Robert S. Kerr and the Winter Predictions of 1950–51 and 1951–52 ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า
ในปี 1950 นั้นเอง Robert S. Kerr สมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตแห่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการส่งจดหมายถึงหัวหน้าชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง (หรือที่รู้จักในนาม ชนเผ่าอินเดียนแดง) เพื่อสอบถามว่า ฤดูหนาวจะมาก่อนกำหนดและอเมริกาจะเผชิญหน้ากับฤดูหนาวที่โหดร้ายหรือไม่?
แม้จะมีรายงานว่า ท่านสมาชิกวุฒิสภาได้รับการยืนยันจากกรมอุตุนิยมวิทยาแล้วว่าอเมริกาจะประสบภัยหนาวครั้งใหญ่แล้วก็ตามที
ผลปรากฏว่า หลายคำตอบที่ถูกส่งกลับมาจากหัวหน้าชนเผ่าต่างๆ ต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า “อเมริกาจะประสบกับภัยหนาวที่ทารุณ และจะมีหิมะมากผิดปกติ”
โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพยากรณ์มีดังนี้:

“บรรพชนกล่าวไว้ว่า เมื่อสังเกตเห็นใยแมงมุมจำนวนมากปรากฏขึ้นในอากาศ และต้นไม้มีลักษณะอย่างที่เราเห็นเช่น ณ ขณะนี้ รวมไปถึงเปลือกข้าวโพดหนาและหนักขึ้นผิดปกติอย่างที่ปรากฏ นั่นเป็นสัญญาณของฤดูหนาวที่โหดร้าย”—หัวหน้าชนเผ่ามัสคีกี, โอคลาบามา
“พวกเขา [ชนพื้นเมือง] ต่างรับรู้ได้ว่า ฤดูหนาวที่ยากลำบากกำลังจะมาเยือน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้อธิบายต่อว่าจะหนักหนาเพียงใด เพียงแค่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
–ในปีนี้ ท้องฟ้าเกิดความแปรปรวนด้วยเหตุผลบางประการ
และเมื่อใดก็ตามที่ความแห้งแล้งปรากฏ ฤดูหนาวที่เยือกเย็นผิดปกติย่อมตามมา”—สภาชนเผ่าพื้นเมืองอัลบูเคอร์คี, นิวเม็กซิโก
“เมื่อตัวมัสค์แร็ตและบีเวอร์สร้างโพรงที่สูงและใหญ่ผิดปกติ หรือหากพวกสัตว์ป่าตัวอ้วนพีกว่าที่เคย เปลือกไม้หนาผิดสังเกต รวมไปถึงเปลือกข้าวโพด นั่นหมายความว่าฤดูหนาวนั้นจะทารุณ”—ชนเผ่า Chippewa, มินนิโซตา
อย่างไรก็ตาม การพยากรณ์อากาศไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวแปร ทั้งทิศทางลม หย่อมความกดอากาศ ตลอดจนความแปรปรวนที่ไม่ทราบสาเหตุ ฯลฯ
“ตั้งแต่มีการทดลองปรมาณู สารเคมีอาจเข้าไปรบกวนกระแสอากาศและก้อนเมฆ กลุ่มเมฆที่เคยเห็นได้สูญหายไปจากท้องฟ้า ฉะนั้น เราจึงไม่สามารถให้คำทำนายที่ดีได้เลย”
คำพูดของผู้เฒ่าท่านหนึ่งแห่งชนเผ่าพื้นเมืองในเขตมิชิแกนได้รับการระบุไว้ในเอกสารฉบับดังกล่าว

(photo: www.flickr.com)
วิชาการคาดการณ์ดินฟ้าอากาศของชนพื้นเมือง แท้จริงแล้วก็คือการสังเกตและจดจำรูปแบบเหตุการณ์ซ้ำๆ เพื่อหาจุดร่วมและสร้างข้อสรุป โดยอิงกับสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะ ‘เป็นไปตามธรรมชาติ’ ต่อเนื่องมายาวนาน
แต่เมื่อธรรมชาติถูกรุกรานด้วยวิถีชีวิตใหม่ๆ ของมนุษย์ รูปแบบคำทำนายที่เคยใช้ได้ผลก็อาจเริ่มคลาดเคลื่อนไปทีละเล็กละน้อย
คงเหลือแต่หัวใจสำคัญที่ว่า การสังเกตและจดบันทึกเท่านั้น ที่สร้างชุดคำพยากรณ์ที่แม่นยำได้อีกครั้ง.
อ้างอิง:
- RANDY A. PEPPLER. ‘‘Old Indian Ways’’ of Predicting the Weather: Senator Robert S. Kerr and the Winter Predictions of 1950–51 and 1951–52. https://journals.ametsoc.org/doi/pdf/10.1175/2010WCAS1055.1
- RANDY A. PEPPLER. “OLD INDIAN WAYS” OF KNOWING THE WEATHER: WEATHER PREDICTIONS FOR THE WINTERS OF 1950-51 AND 1951-52. https://ams.confex.com/ams/pdfpapers/143684.pdf
- Paul L., R. Will B. and Herbert Z. 1957. Weather: A guide to Phenomena and Forecasts. New York : Simon and Schuster, Inc.
- KATE KERSHNER. Does a Ring Around the Moon Mean Rain is Coming Soon?
https://bit.ly/2QwYVPv - Thaiglider Club. เมฆชนิดต่างๆ. http://www.thaiglider.com/th/story/29-cloud.html