life

ฉันกำลังตาย

อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าหัวใจของฉันจะหยุดเต้น ลมหายใจขาดห้วง ระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลว สองมือสองขาขยับไม่ได้ และทุกอย่างจะค่อยๆ นิ่งแข็ง อุณหภูมิเย็นลง โลกหยุดเคลื่อนไหว ไม่สิ โลกจะเคลื่อนไหวต่อ แม้ฉันจะเคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป ร่างกายจะเน่าเปื่อย เหม็นคลุ้ง ย่อยสลาย แต่โลกจะยังหมุน หมุนเพื่อรอคอยความตายของคนอื่น—ของใครก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าในทำนองเดียวกัน และขณะวาบความคิดนั้น ฉันก็คิดขึ้นมาว่า ฉันมีฉากสุดท้ายในชีวิตที่ควรค่าต่อการมีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้วหรือยัง?”

แล้วอยู่ๆ ฉันก็หวนคิดไปถึงฉากสุดท้ายในชีวิตของ มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) พระราชินีที่ถูกผู้คนมากมายเกลียดชังในยุคปฏิวัติฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของวลี “Let them eat cake” — “ให้พวกเขากินเค้กสิ” อันโด่งดัง ประโยคที่ใครสักคนพูดออกมาขณะที่ประชาชนฝรั่งเศสในสมัยนั้นกำลังอดยาก ตรงข้ามกับพวกชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ 

ฉันนึกถึงบันทึกที่น่าเชื่อถือได้กว่าวลีดังกล่าว ที่ว่าขณะอยู่บนแท่นประหาร เบื้องหน้ากิโยติน สิ่งที่พระนางกล่าวเป็นคำสุดท้ายคือ “Pardonnez-moi, monsieur. Je ne l’ai pas fait exprès” — “อภัยให้เราเถอะเมอซีเยอ เราไม่ได้ตั้งใจ” ซึ่งเป็นการกล่าวต่อเพชฌฆาตนาม ชาร์ลส์อ็องรี ซ็องซง (Charles Henri Sanson) ผู้กำลังจะทำหน้าที่ประหารตน เพราะพระนางดันไปเผลอเหยียบเท้าของเขาเข้า นึกแล้วฉันก็ขำ ชีวิตมนุษย์ขึ้นและลงเป็นอนิจจัง จากราชินีผู้ยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็ตาย และฉากสุดท้ายของชีวิตของเธอก็ช่างเบาหวิวเหลือเกิน

ฉากสุดท้ายในชีวิตเราควรเป็นแบบไหน? 

ฉันถามคำถามนี้ พลางคิดว่าแท้จริงแล้วเราเป็น ‘เจ้าของ’ ความตายของตัวเองได้มากแค่ไหนกัน เราอยู่ในวัฒนธรรมที่ปฏิเสธความตาย ชั่วชีวิตของเราถูกสอนให้หลีกเลี่ยงจะพูดถึงสิ่งนี้ ลืมๆ มันไปเสีย ราวกับวันหนึ่งมันจะไม่เกิดขึ้น แม้ป่วยไข้ไร้ทางรักษา และอยากเลือกความตายเพื่อหลุดพ้นความทรมานตามแบบการุณฆาต (Euthanasia) ใจจะขาด เราก็ยังต้องรอให้กฎหมายอนุญาต การมีชีวิตดำรงอยู่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกินสำหรับผู้คน และนั่นยิ่งทำให้เรายึดติดกับชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายยิ่งขึ้น

ฉันนึกถึงข้อความในหนังสือกึ่งบันทึกกึ่งอัตชีวประวัติของนักเขียนนาม วลาดีมีร์ นาโบคอฟ (Vladimir Nabokov) ชื่อ Speak, Memory ที่ว่า “The cradle rocks above an abyss, and common sense tells us that our existence is but a brief crack of light between two eternities of darkness.” — “เปลวที่แกว่งไกวตั้งแต่เราเกิดเหนืออเวจี และสามัญสำนึกบอกเราว่า การดำรงอยู่ของเราก็แค่รอยแตกของประกายแสงเล็กจ้อยระหว่างอนธการมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด”

ชีวิตของเรากระจิริดเช่นนั้น แต่แม้เมื่อพูดถึงความตายกันตรงๆ ผลการศึกษาต่างๆ ก็ยังชี้ให้เห็นว่าเรากังวลเกี่ยวกับชีวิตมากกว่า ชีวิตที่หมายถึงกระบวนการก่อนตาย ความกลัว ความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความรู้สึกผิด ความโกรธแค้น ทุกความรู้สึกย้อนกลับไปสู่เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาทั้งสิ้น

เรารู้มาตั้งแต่ต้นว่าสักวันหนึ่งเราจะตาย แล้วเราก็ต่างพากันไปใช้ชีวิต ขยับและทะยานไป จนบางทีเราพูดถึงความตายกันน้อยเกินไปจริงๆ

ฉันกำลังตาย และฉันก็นึกถึงเรื่องราวมากมายเหลือเกิน แต่ในชั่วชีวิตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งมากที่ฉันจะนึกถามตัวเองว่า ฉากสุดท้ายในชีวิตของฉันควรเป็นแบบไหน?

ฉันกำลังตาย… และขอโทษเถอะ ไม่ได้แช่ง แต่ในอนาคต คุณก็จะตายเช่นกัน ฉันเลยอยากลองให้คุณตั้งคำถามไปพร้อมๆ กับฉันว่า ฉากสุดท้ายในชีวิตของเรานั้นควรเป็นอย่างไร…?

 

อ้างอิง