เพราะอะไรผลงานของ แอนดี วอร์ฮอล ถึงได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ทศวรรษก็ตาม
แอนดี วอร์ฮอล ควรค่าแก่การได้รับการยกย่องให้เป็น “กระจกเงาแห่งยุคสมัย” ขนานแท้ เพราะวอร์ฮอลกรุยเส้นทางอาชีพของตนผ่านการหยิบจับเอาใบหน้าของเซเลบริตี้จากหลากวงการ และข้าวของแห่งยุคสมัย มาทำให้ “ป็อป” ในสายตาคนทั่วไปได้อย่างลงตัว ผ่านชิ้นงานที่หลากหลาย ทั้งภาพวาด ภาพพิมพ์ งานเขียน และภาพยนตร์
สิ่งที่วอร์ฮอลทำถือเป็นการท้าทายอเมริกันชนถึงการประเมินความหมายของวัฒนธรรมการบริโภคในยุคหลังสงครามผ่านงานศิลปะ และตลอดการทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปีจนสิ้นอายุขัย ผลงานของวอร์ฮอลก็ยังคงทำงานด้วยตัวมันเองอย่างต่อเนื่องตราบจนทุกวันนี้
ประวัติของศิลปินป็อปอาร์ตตลอดกาลคนนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1928 วอร์ฮอลลืมตาดูโลกด้วยชื่อ Andrew Warhola เขาเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกชาย 3 คนของครอบครัวผู้อพยพชาวสโลวัก ที่มาตั้งรกรากในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายหรือโชคดีกันแน่ ที่วอร์ฮอลป่วยด้วยโรคติดเชื้อที่ไขสันหลังตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่แค่เกรด 3 ส่งผลให้เกิดอาการทางระบบประสาทจนร่างกายของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง และผิวหนังซีดเผือดเนื่องจากระบบเลือดทำงานผิดปกติ
วอร์ฮอลจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงนานกว่า 2 เดือนครึ่ง และฆ่าเวลาด้วยการวาดรูป โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากการอ่านนิตยสารและหนังสือการ์ตูนเล่มแล้วเล่มเล่า จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงใหลศิลปะมากขึ้นเรื่อยๆ และมุ่งมั่นบนเส้นทางนี้เรื่อยมา
หลังได้รับปริญญาสาขา Pictorial Design จาก Carnegie Institute of Technology (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Carnegie Mellon University) เมื่อปี 1949 วอร์ฮอลก็ย้ายไปหางานทำในฐานะศิลปินเชิงพาณิชย์ศิลป์ยังมหานครนิวยอร์ค
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็ได้ออกแบบชิ้นงานให้ลูกค้าระดับท็อปๆ ตั้งแต่ Harper’s Bazaar ไปจนถึง Tiffany& Co. แถมยังมีโอกาสได้โชว์ศิลปะฝีมือตัวเองผ่านกระจกโชว์หน้าร้านในห้างสรรพสินค้าอีกด้วย
ต้นยุค 50 เขาเริ่มหันมาสร้างงานศิลปะของตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ในอดีตในฐานะนักวาดภาพประกอบ วอร์ฮอลเริ่มต้นด้วยภาพเขียนและภาพวาด ก่อนจะค่อยๆ หันมาใช้เทคนิคภาพถ่ายและภาพพิมพ์ ที่เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น
เทคนิคการโฆษณาเป็นพาหนะในการขับเคลื่อนชื่อเสียงชั้นดี ที่วอร์ฮอลใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของเขา เพราะเป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้ เขาเริ่มหยิบเอาภาพของวัฒนธรรมบริโภคนิยมในสังคมอเมริกันมาใส่ในชิ้นงานของเขา จนในที่สุด Museum of Modern Art ก็เชิญเขาเข้าร่วมแสดงงานในปี 1956
ในช่วงปี 1960 การเคลื่อนไหวในแวดวงป็อปอาร์ตถือว่าบูมสุดขีด และชื่อของแอนดี วอร์ฮอล ได้รับการพูดถึงในฐานะหัวหอกแห่งป็อปอาร์ต ผู้นิยมหยิบจับเอาข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ
สำหรับไอเดียที่อยู่เบื้องหลังผลงานป็อปอาร์ตทั้งหลาย ไม่จำกัดแค่งานของวอร์ฮอล คือ เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนได้ประเมินคุณค่าของข้าวของรอบตัวเสียใหม่ ว่ามีความหมายเชิงวัฒนธรรมอย่างไร อีกทั้งป็อปอาร์ตยังท้าทายศิลปะบริสุทธิ์ไปในตัว ด้วยการนำภาพวัฒนธรรมร่วมสมัยในขณะนั้น อย่างข่าว ภาพโฆษณา มาสะท้อนความหมายที่เสียดสีหรือสร้างความประหลาดใจในงานศิลปะ
และในช่วงปี 1960 จนถึงต้นทศวรรษที่ 70 นี่เอง ที่วอร์ฮอลผลิตผลงานสร้างชื่ออย่าง Marilyn Monroe, Campbell’s Soup Cans และ Coca-Cola Bottles ขึ้นมา
ตลอดทศวรรษ 1970 ถือเป็นสิบปีแห่งความเงียบเหงาของวอร์ฮอล อันเนื่องมาจากการที่เขาถูกนักเขียนเฟมินิสต์อย่าง Valerie Solanas พยายามฆ่า โดยใช้อาวุธปืนยิงเขาหลายนัดชนิดเฉียดตาย วอร์ฮอลจึงปลีกตัวจากงานสังคม และหันไปสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงอื่นแทน
ทศวรรษที่ 70-80 จึงเป็นยุคที่วอร์ฮอลหันมาทำนิตยสารของตัวเองที่ชื่อ Interview, ถ่ายทำหนังสั้นให้รายการ Saturday Night Live, เป็นเจ้าของโมเดลลิ่ง และออกแบบปกอัลบั้มให้วงดนตรีต่างๆ ทั้ง The Rolling Stones และ The Velvet Underground
อาร์ตเวิร์คของเขานำเสนอผ่านภาพของนักการเมือง นักกีฬา และเซเลบริตี้จากหลายวงการ หนึ่งในชิ้นงานที่ได้รับการจดจำก็คือ ภาพซีรีส์ป็อปอาร์ตของท่านประธานเหมา (Mao series) นั่นเอง
วอร์ฮอลจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 ในวัย 58 ปี ขณะพักฟื้นในโรงพยาบาลนิวยอร์ค หลังการผ่าตัดถุงน้ำดี ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งกลับจากการเปิดงานแสดงชุดสุดท้ายในชีวิต ชื่อ The Last Supper ที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี
หลังวอร์ฮอลจากไปได้ 2 ปี ได้มีการประกาศที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์แอนดี วอร์ฮอล ขึ้นที่เมืองพิตส์เบิร์ก บ้านเกิดของเขา ตามด้วยการก่อตั้ง Andy Warhol Foundation for the Visual Arts ขึ้น เพื่อยกระดับวงการศิลปะ โดยเฉพาะทัศนศิลป์ (Visual Arts) สืบต่อไป
อิทธิพลของเขายังก่อให้เกิดนักคิด นักเขียน และนักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ที่ช่วยขับเคลื่อนและต่อยอดวัฒนธรรมอเมริกันให้ยังโลดแล่นในกระแสศิลปะของโลกตราบจนทุกวันนี้
และแม้ผลงานของวอร์ฮอลจะป็อปติดตา หาชมได้ไม่ยากในโลกอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับการได้เห็นชิ้นงานของจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ดังนั้น เมื่อโอกาสอันดีเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในรูปแบบของนิทรรศการ Andy Warhol: Pop Art ที่จัดแสดงชิ้นงานจริงฝีมือแอนดี วอร์ฮอล กว่า 128 ชิ้น เราจึงไม่อยากให้คุณพลาดงานนี้ด้วยประการทั้งปวง
นิทรรศการ Andy Warhol: Pop Art นำเสนอผลงาน 4 ประเภท ได้แก่ ภาพถ่ายบุคคล – ภาพถ่ายทั่วไป, ภาพถ่ายคนดัง, นิตยสาร-ปกอัลบั้ม, การพิมพ์แบบซิลค์พรินต์ติ้งและอื่น ๆ ภาพถ่ายบุคคล อาทิ Marilyn (1984) และ Liz Taylor (1971 ) ผลงานอื่น ๆ อาทิ หน้าปก Interview Magazine และ Campbell’s Soup Can (1967)
ทั้งหมดเป็นชิ้นงานสะสมของ จันฟรังโก โรซินี (Gianfranco Rosini) ชาวอิตาเลียนผู้เกิดในตระกูลที่มีใจรักในด้านศิลปะ ที่กล่าวถึงชิ้นงานที่คัดเลือกมาจัดแสดงในครั้งนี้เอาไว้ว่า
“ผมเชื่อว่าคอลเลคชันที่จัดแสดงครั้งนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่นำเสนอความเป็น “ยุโรป” ของแอนดี วอร์ฮอล และเป็นการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของวอร์ฮอลในช่วงเวลาที่อยู่ที่อิตาลี”
Andy Warhol: Pop Art เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม – 24 พฤศจิกายน 2563 ที่ RCB Galleria ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ River City Bangkok
อ้างอิง
- Revolver Warhol Gallery.About Andy Warhol.https://bit.ly/3k7umik
- Wikipedia.Andy Warhol.https://en.wikipedia.org/wiki/Andy_Warhol