ใครก็ตาม หากโตมาในครอบครัวใหญ่ที่ได้ใกล้ชิดกับคนรุ่นเก่ารุ่นก่อน ทั้งปู่ ย่า ตา ยาย ทวด และเทียด เชื่อว่าต้องมีคำถามที่สงสัยเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ทำไมคนเฒ่าคนแก่มักเรียก ‘สีน้ำเงิน’ และ ‘สีฟ้า’ รวมกันว่า ‘สีเขียว’
อิงจากประสบการณ์ตอนยังเป็นเด็กของผู้เขียน ซึ่งจำได้แม่นว่า ยายเคยใช้ให้ไปหยิบหม้อสังกะสีเคลือบ ‘สีเขียว’ (บางคนอาจเรียกว่าหม้อเคลือบโบราณ)
เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กระทั่งเดินเข้าไปในครัวแล้วไม่เห็นหม้อสีเขียวสักใบ พยายามหาจนทั่วอยู่พักใหญ่ก็หาไม่เจอ เมื่อยายเห็นว่าหลานหายไปนานผิดสังเกต จึงเดินมาหยิบเองแทน แต่หม้อที่ยายหยิบกลับเป็นหม้อ ‘สีน้ำเงิน’ ไม่ใช่และไม่ใกล้เคียง ‘สีเขียว’ อย่างที่ยายบอก กลายเป็นเรื่องน่าฉงนผสมกับความน่าแปลกใจขึ้นมาทันที
ทั้งๆ ที่เห็นเป็นสีเดียวกัน หมายความว่า นัยน์ตายังปกติดีไม่ได้มองเห็นสีผิดเพี้ยน แต่ไม่ว่าจะเถียงกันหัวชนฝาขนาดไหน ต่างฝ่ายต่างยืนกรานชื่อสีที่ตนเรียกนั้นถูกต้องแล้ว ยายเรียก ‘สีเขียว’ ส่วนหลานงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเห็นอยู่ทนโท่ว่า ‘สีน้ำเงิน’
คำถามก็คือ เหตุใดคนต่างวัยต่างยุคถึงเรียกชื่อสีต่างกัน
คงเป็นเพราะ ‘นัยน์ตา’
คำถามนี้เคยเป็นประเด็นให้บรรดานักวิทยาศาสตร์หยิบยกมาถกเถียงกันอยู่ก่อนแล้ว สมมติฐานแรกที่นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกัน จึงพุ่งเป้าไปที่ปัญหาสุขภาพตาของคนสูงวัย ซึ่งมักจะเสื่อมสภาพและสึกหรอตามอายุ เพราะผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบันมายาวนานกว่าคนวัยหนุ่มสาว จนทำให้มองเห็นสีเพี้ยนไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ถือเป็นเรื่องเข้าใจได้ หากคนเฒ่าคนแก่จะเรียกชื่อสีผิด
ตัวอย่างการศึกษาที่ยืนยันความจริงข้อนี้ คือ การตรวจประเมินความสามารถมองเห็นสีในกลุ่มตัวอย่างคนญี่ปุ่น อายุระหว่าง 15-68 ปี ผลปรากฏว่า ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถมองเห็นสีได้เที่ยงตรงจะยิ่งเสื่อมสมรรถภาพลงเท่านั้น ทำให้คนสูงอายุมองเห็นสีเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
หรือผลการศึกษาความข้องเกี่ยวระหว่างคำเรียกชื่อสีกับระบบการมองเห็นในคนต่างเชื้อชาติ โดยมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่พบว่า ผู้คนในแถบประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร ต้องประสบกับอากาศร้อนและรังสียูวีบีที่มากับแดดตลอดวัน เลนส์ตาจึงเสื่อมเร็วกว่าคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่นของโลก ทำให้มองเห็นสีน้ำเงินเป็นสีเขียว
อีกการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การทดสอบความสามารถมองเห็นสีในผู้สูงวัยที่มีอายุระหว่าง 58-102 ปี ได้ผลลัพธ์ชัดเจนว่า ความสามารถแยกแยะสีโทนเย็น อย่างสีฟ้าอ่อน สีน้ำเงิน สีม่วง และสีเขียว จะเริ่มเสื่อมถอยลงเมื่ออายุเข้าสู่เลขเจ็ด จากนั้นจะแย่ลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น
แม้คนเฒ่าคนแก่จะมองเห็นสีบางสีคล้ายกันไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเหมือนคนตาบอดสี ยกเว้นคนสูงวัยที่มีอาชีพเป็นศิลปินหรือคนที่ต้องใช้ตาแยกแยะสี ย่อมเกิดอุปสรรคระหว่างทำงานหรือสร้างสรรค์ผลงานได้
ถึงอย่างนั้น สมมุติฐานที่น่าเชื่อถือของนักวิทยาศาสตร์ กลับมีช่องโหว่อยู่บ้าง เพราะใช้อธิบายกลุ่มคนสูงวัยที่สายตาปกติดี แต่กลับเรียกสีน้ำเงินเป็นสีเขียวไม่ได้ แสดงว่าสาเหตุจริงๆ ไม่น่าจะเกิดจากปัญหาสุขภาพนัยน์ตาอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คิดเสมอไป
หรือว่าเพราะ ‘คำเรียก’
นับตั้งแต่อดีตกาล บรรพบุรุษของเรามองเห็นสีสันต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่คำที่ใช้เรียกชื่อสีเหล่านั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์รู้จักคิดค้นระบบภาษาขึ้นมา แล้วชื่อเรียกของแต่ละสีก็ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดทีเดียว หมายความว่า ในบรรดาชื่อสีที่เราต่างคุ้นเคยดีในตอนนี้ ย่อมมีทั้งชื่อสีที่เกิดขึ้นก่อน กับชื่อสีที่เกิดตามมา
จากวิวัฒนาการของคำ ผนวกกับความรู้ด้านภาษาศาสตร์สังคม (sociolinguistics) ซึ่งศึกษาหาความแตกต่างของลักษณะภาษาที่คนในแต่ละกลุ่มสังคมเลือกใช้ ทำให้เกิดสมมติฐานใหม่ว่า เหตุผลที่คนต่างวัยต่างยุคเรียกชื่อสีต่างกัน เป็นเพราะข้อจำกัดของคำเรียกชื่อสีในแต่ละภาษา จึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับความเสื่อมสภาพของนัยน์ตา
แรกเริ่มเดิมที ภาษาส่วนใหญ่ไม่มีคำศัพท์ใช้เรียก ‘สีน้ำเงิน’ หรือ ‘สีฟ้า’ เหมือนในภาษาอังกฤษที่แยกชัดเจนระหว่าง blue (สีน้ำเงิน/สีฟ้า) กับ green (สีเขียว) จึงใช้ชื่อสีที่มีอยู่ก่อนอย่าง ‘สีเขียว’ เรียกแทน เพราะเห็นว่าสีคล้ายๆ กัน
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้นิยามคำว่า ‘สี’ หมายถึง สิ่งที่ทำให้ตาเห็นหรือลักษณะของแสงสว่างปรากฏแก่ตาให้เห็น นอกจากชื่อสีที่เข้าใจโดยทั่วไป ยังมีชื่อสีโบราณที่นิยมใช้เรียกกันมาแต่อดีต เช่น สีชาด สีขาบ สีคราม สีหงเสน
ส่วน ‘สีเขียว’ ก็นับเป็นหนึ่งในชื่อสีสมัยโบราณด้วย แม้ในปัจจุบันจะหมายถึง สีของใบไม้ แต่ในอดีตกลับหมายถึง สีเขียวครามของน้ำทะเล และสีของท้องฟ้า ซึ่งปรากฏให้เห็นในสำนวนไทยที่ว่า ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว หมายถึงไกลสุดขอบฟ้าหรือไกลมากที่สุด รวมทั้งคำบางคำอย่างคำว่า พิมพ์เขียว ที่บัญญัติมาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า blueprint
ด้วยเหตุนี้ คนไทยสมัยก่อน หรือคนเฒ่าคนแก่ จึงคุ้นชินเรียกสีฟ้าและสีน้ำเงินว่าสีเขียวโดยปริยาย ไม่แน่ ในอนาคตข้างหน้า หากมีชื่อสีใหม่เกิดขึ้นมา คนรุ่นลูก รุ่นหลาน ย่อมเรียกสีนั้นต่างจากเรา หากคนรุ่นเรายังสะดวกเรียกด้วยชื่อเดิมต่อไป
อ้างอิง
- Schneck, M. E., Haegerstrom-Portnoy, G., Lott, L. A., & Brabyn, J. A. (2014). Comparison of panel D-15 tests in a large older population. Optometry and vision science : official publication of the American Academy of Optometry, 91(3), 284–290. https://doi.org/10.1097/OPX.0000000000000152
- Yokoyama, S., Tanaka, Y., Kojima, T., Horai, R., Kato, Y., Nakamura, H., Sato, H., Mitamura, M., Tanaka, K., & Ichikawa, K. (2021). Age-related changes of color visual acuity in normal eyes. PLOS ONE, 16(11), e0260525. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0260525
- Lindsey, D. T., & Brown, A. M. (2002). Color Naming and the Phototoxic Effects of Sunlight on the Eye. Psychological Science, 13(6), 506–512. https://doi.org/10.1111/1467-9280.00489
- วิโรจน์ อรุณมานะกุล. (2563). ศาสตร์แห่งภาษา : ความเป็นมาและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- รัตติกาล ศรีอำไพ. สีโบราณ. https://bit.ly/40BpDLb