ความทุกข์อย่างหนึ่งของคนเป็นหมอ ไม่ว่าจะหมอรักษาคนหรือสัตว์ก็ตาม คือการเห็นผู้ป่วยอยู่ตรงหน้า แล้วช่วยชีวิตเขาไม่ได้
ความพยายามอย่างเต็มที่ของหมอ บางครั้งไร้ผล เพราะขาดแคลนปัจจัยบางอย่าง
และ ‘บางอย่าง’ ที่หมออยากจะเล่าในวันนี้ก็คือ ‘เลือด’
รู้หรือไม่ ทุกวันนี้มีสุนัขป่วย ที่ต้องเสียชีวิตเพราะขาดเลือดเป็นจำนวนมาก
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ถือเป็นธนาคารเลือดขนาดใหญ่ในไทย ก็เพิ่งออกมาบอกว่า ธนาคารเลือดสุนัขตอนนี้อยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างหนัก
แม้จะมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ค่อยมีคนนำสุนัขมาบริจาคเลือด หรือบางครั้งนำมาบริจาคแล้ว ก็ยังไม่สามารถช่วยเพื่อนได้เสมอไป
อุปสรรคและความยุ่งยากอยู่ตรงไหน
หมอต้าอยากเล่าให้ฟัง
“เอาเลือดออกจากตัวสุนัขแล้ว เค้าจะป่วยมั้ยหมอ”
นี่คืออุปสรรคข้อแรก ที่สำคัญมากๆ
ความเข้าใจผิดของเจ้าของสุนัข เกี่ยวกับการบริจาคเลือดที่ว่า นำเลือดออกจากตัวสุนัขแล้วเค้าจะป่วย หรือได้รับอันตราย เพราะเห็นบางตัวบริจาคมาแล้วเจ็บ หรือมีรอยช้ำเลือด ก็คิดไปเองว่าสุนัขหรือแมวจะมีสุขภาพเสื่อมโทรมเร็วขึ้น จนไม่กล้าพามาบริจาค
ข้อนี้คือความเข้าใจผิดอย่างแรง
เพราะแท้จริงแล้ว การนำสุนัขมาบริจาคเลือด นอกจากจะไม่เกิดอันตราย ยังให้ผลดีอย่างมากกับสุนัขที่เป็นผู้บริจาค ไม่ต่างจากการบริจาคเลือดของคน
เพราะการนำเลือดเก่าออกไป จะทำให้ร่างกายของเค้าได้ผลิตเม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมาหมุนเวียนใช้ในร่างกายแทน และเม็ดเลือดใหม่ที่มีออกซิเจนมาก จะทำให้สัตว์กระปรี้กะเปร่า เลือดไปเลี้ยงอวัยวะภายในได้ดีขึ้น ก็ทำให้สุขภาพดีและแข็งแรงขึ้นตามมา ซึ่งตรงนี้มีงานวิจัยออกมารองรับแล้วว่า การบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนจะทำให้สุนัขมีสุขภาพดี และอายุยืนขึ้น
นอกจากไม่อันตราย รู้มั้ยนี่คือโอกาสทองได้ตรวจสุขภาพฟรี
ทุกครั้งที่มาบริจาคเลือด ไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วหมอจะเจาะเอาเลือดใส่ถุงเลย
ต้องมีการตรวจเลือดก่อนทุกครั้ง ให้แน่ใจว่าสุนัขเลือดดีมั้ย สุขภาพดีพอที่จะสามารถบริจาคได้รึเปล่า เพราะหากมีโรคแฝงหรือสุขภาพไม่ดี ก็จะไม่สามารถบริจาคได้
ตรงนี้แหละ ที่หมอบอกว่าเป็นโอกาสทอง
เพราะเวลาเราพาสุนัขหรือแมวไปตรวจสุขภาพ ย่อมมีค่าใช้จ่าย
แต่การพาเค้ามาบริจาคเลือด หมอตรวจให้อย่างละเอียดแบบฟรีทั้งหมด
ซึ่งถ้าหากสุนัขหรือแมวของคุณมีโรคแฝง เรามีโอกาสที่จะทราบได้เร็ว และรักษาได้ทันก่อนที่จะมีอาการหนักได้เลย
ฉะนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยเพื่อนสัตว์ด้วยกันแล้ว เค้ายังได้ช่วยตัวเอง และเผื่อแผ่ไปยังเจ้าของ ที่ช่วยประหยัดเงินในการตรวจสุขภาพได้อีกต่างหาก
ให้คิดเสียว่า การบริจาคเลือดก็เหมือนการได้ตรวจสุขภาพฟรีทุกๆ 3 เดือน
เห็นมั้ยคะ ว่าดีขนาดไหน
เลือดกรุ๊ปเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะให้เลือดกันได้เลย
กรุ๊ปเลือดของสุนัขมีมากถึง 8 กรุ๊ป คือ DEA1.1, DEA 1.2, DEA 3 , DEA 4 , DEA 5, DEA 6, DEA 7, DEA 8
ลองนึกดูว่าถ้ามีสุนัขตัวหนึ่งต้องการเลือด กว่าจะหาเลือดกรุ๊ปเดียวกันได้ก็ยากพอดูแล้ว
แต่ความยากมันไม่ได้มีแค่นั้น
เพราะใช่ว่ามีแค่เลือดกรุ๊ปเดียวกัน แล้วจะให้เลือดกันได้เลย
หมอจะต้องนำมาตรวจความเข้ากันได้ (Cross Matching) ของเลือดอีก ว่าเลือดผู้รับกับผู้ให้ตีกันไหม ถ้าเลือดตีกันหรือเข้ากันไม่ได้ ให้เลือดไปก็มีโอกาสเสียชีวิตได้เลย
ไม่เหมือนคน ที่เวลาต้องการเลือด คุณแค่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันก็สามารถให้เลือดกันได้แล้ว
ฉะนั้น เวลาเห็นประกาศรับบริจาคเลือดด่วนตามโซเชียลมีเดีย แล้วเห็นว่ามีเจ้าของพาสุนัขไปบริจาค 2-3 ตัวแล้วน่าจะพอ อาจไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป
เพราะมีหลายครั้งที่เลือดเข้ากันไม่ได้ หมอก็อาจช่วยไม่ทันเหมือนกัน
ธนาคารเลือดจึงมีความสำคัญมาก เพราะกว่าเราจะเจอที่เข้ากันได้ บางครั้งต้อง cross match กับสุนัขหลายตัวมาก
ปัจจุบันธนาคารเลือดสำหรับสุนัขในไทยมีน้อย เพราะเราเพิ่งจะเริ่มกันได้ไม่กี่ปี และแต่ละที่ก็ไม่เคยมีเลือดพอกับความต้องการ เพราะสุนัขที่ต้องการเลือดนั้นมีทั้งเคสอุบัติเหตุ เป็นมะเร็งแล้วต้องผ่าตัด พยาธิเม็ดเลือด ฯลฯ เรียกได้ว่าทุกโรคที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด ต้องใช้เลือดทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ ‘คลินิคพอเพียงรักษาสัตว์’ ของหมอก็ไม่มีธนาคารเลือด หมอจึงต้องใช้วิธีให้ยาบำรุงเลือดก่อนการผ่าตัด เช่น ตรวจเลือดแล้ว ค่าเม็ดเลือดไม่ผ่าน ก็จะจ่ายยาให้ไปกิน 3 วัน บำรุงจนค่าเลือดผ่านแล้วค่อยผ่า เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียเลือดขณะผ่าตัด ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสามารถผ่าได้เลย ถ้ามีเลือดสำรอง
แต่วิธีนี้ใช้ได้กับเคสที่ไม่ฉุกเฉินเท่านั้น เพราะบางตัวเค้าก็ไม่สามารถอยู่รอกินยาได้
รู้อย่างนี้แล้ว พาสุนัขมาบริจาคเลือดกันเถอะ
เห็นแล้วใช่มั้ยว่า การพาสุนัขมาบริจาคเลือดนั้นมีแต่ข้อดี
ได้ช่วยชีวิตสุนัขตัวอื่นด้วย ผู้บริจาคก็สุขภาพดีขึ้นด้วย แถมเจ้าของยังประหยัดเงินค่าตรวจสุขภาพให้น้องด้วย
แต่ทีนี้เราจะไปบริจาคที่ไหนดีล่ะ
เพราะไม่ใช่ทุกที่จะมีธนาคารเลือด
ที่แรกที่หมออยากแนะนำ คือโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะเป็นแหล่งใหญ่ที่มีสัตว์ป่วยไปรักษาจำนวนมาก
ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัด ในหัวเมืองใหญ่ๆ มักจะมีธนาคารเลือดอยู่ในโรงพยาบาลสัตว์เอกชน เช่น อยุธยา ขอนแก่น เชียงใหม่ เป็นต้น
แต่ถ้าใครที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ หรือใกล้เคียง ตอนนี้คลินิคพอเพียงรักษาสัตว์ ของหมอต้า ได้เริ่มต้นธนาคารเลือดในคลินิกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวความรู้ และเงินค่าอุปกรณ์ต่างๆ มา 8 ปี
เป้าหมายคือเพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ต้องการเลือด ให้มีชีวิตรอด ในราคาที่เจ้าของสามารถจับต้องได้
ใครที่มีสุนัขสุขภาพแข็งแรง อายุ 1-7 ปี น้ำหนัก 20 กิโลกรัมขึ้นไป ทำวัคซีนรวมประจำปีครบ ไม่เคยได้รับเลือดมาก่อน และไม่เป็นโรคติดต่อทางระบบเลือด สามารถนำมาบริจาคเลือดที่คลินิคพอเพียงรักษาสัตว์ได้ทุกวันค่ะ
เกี่ยวกับ หมอต้า-สพ.ญ.ณัฐภัสสร ปานขลิบ
หมอต้า คือสัตวแพทย์ผู้ใจดี ที่หลายคนเรียกเธอว่านางฟ้าของบรรดาหมาแมว เพราะนอกจากจะรักษาสัตว์ด้วยราคาที่ถูกมากๆ จนผู้ป่วยล้นคลินิก ยังรักษาฟรีสำหรับหมาแมวจร (กรณีโรคติดเชื้อทั่วไป) ใครที่อยากรู้จักหมอต้าเพิ่มเติม ติดตามได้ใน “ค่ารักษาคือประตูด่านแรก ที่ทำให้สัตว์รอดชีวิต” รู้จัก ‘หมอต้า’ สัตวแพทย์คลินิกพอเพียง
FACT BOX
- แมวก็สามารถบริจาคเลือดได้เช่นกัน แต่ต้องเป็นการบริจาคเลือดสด ไม่สามารถทำธนาคารเลือดได้ เพราะถุงเลือดที่เก็บในปัจจุบันยังไม่รองรับองค์ประกอบของเลือดในแมว ส่วนความยุ่งยากอาจจะน้อยกว่าสุนัขเล็กน้อย ตรงที่มีกรุ๊ปเลือดเพียง 3 กรุ๊ปเท่านั้น โดยแมวที่จะบริจาคเลือดได้ต้องมีอายุระหว่าง 1-8 ปี น้ำหนัก 4 กิโลกรัมขึ้นไป ทำวัคซีนรวมครบ และเลี้ยงในระบบปิด (เลี้ยงในบ้าน) นะคะ