pe©ple

คลินิกพอเพียงรักษาสัตว์ เป็นคลินิกขนาดเล็ก ในทำเลหลบซ่อนของจังหวัดนครสวรรค์

มีหมอทำงานคนเดียว โดยมีคุณแม่เป็นผู้ช่วย

แต่ดูจากปริมาณเคสสัตว์ป่วยที่เนืองแน่นจนแทบจะล้นคลินิก และปฏิทินจองคิวที่แทบไม่มีที่ว่างให้เขียน  ทำเลและขนาดคงไม่ใช่อุปสรรค

ปฏิทินที่หมอต้าใช้จดคิวการรักษาในแต่ละเดือน

“มาจากหลายที่เลยค่ะ ไม่ใช่แค่ในนครสวรรค์ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี ฯลฯ เดี๋ยววันนี้จะมีหนึ่งเคส มาจากฉะเชิงเทรา”

สพ.ญ.ณัฐภัสสร ปานขลิบ หรือ ‘หมอต้า’ ของบรรดาผู้ป่วยสี่ขา เล่าให้ฟัง เมื่อเราถามว่าผู้ป่วยเหล่านี้มาจากไหนกันบ้าง

“คือเวลามีเคสติดต่อมาจากที่ไกลๆ ส่วนใหญ่หมอจะบอกว่าไม่ต้องมาหรอกค่ะ (หัวเราะ) อย่างจากเชียงใหม่เนี่ย ขับรถมาไกล เรากลัวหมาจะตาย ให้ไปที่ใกล้ๆ ดีกว่า ปรากฎว่าตอนเช้ามานั่งรอหน้าคลินิกเลย ส่วนใหญ่มักจะเป็นเคสผ่าตัด”

ในเมื่อคลินิกทั้งเล็กและอยู่ไกล คำถามคือทำไมต้องที่นี่?

น้องถ้วยฟู สาวน้อยจากฉะเชิงเทรา เดินทางมารักษาอาการมดลูกอักเสบ

“พี่มาจากฉะเชิงเทรา พาแมวมาผ่ามดลูกอักเสบ โทรไปคลินิกใกล้ๆ แทบจะทุกที่แล้ว แต่ค่าผ่า 5,000 ทุกที่เลย เราไม่ไหวจริงๆ มาที่นี่หมอต้าคิด 990 บาท” …พี่เข้ม เจ้าของน้องถ้วยฟู

“แมวจรมาอยู่กับลุง 10 ตัวแล้ว สงสารก็ให้ข้าวตลอด เลยไม่ไปไหนกันเลย ลุงพามาฉีดยากับหมอต้าตลอด หมอใจดี เก่งด้วย คิดราคาถูกกว่าเค้าหมด” …ลุงสมหวัง พ่อค้าขายโรตี

‘หมอต้า’ จบการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หลังจากเรียนจบในปี 2553 หมอต้าก็ตัดสินใจกลับมาเปิดคลินิกรักษาสัตว์ที่บ้านเกิด เพื่อทำตามความฝันวัยเด็ก  

เคยต้องกู้เงินเพื่อรักษาหมา

“คลินิกนี้เกิดขึ้นจากความฝังใจในวัยเด็กค่ะ หมอเป็นคนรักสัตว์ ตอนนั้นหมาที่เราเลี้ยงไว้ป่วย จำได้ว่าค่ารักษาแพงมาก 5,000 – 6,000 บาทต่อครั้ง แล้วที่บ้านตอนนั้นไม่มีเงิน ขนาดว่ากินมาม่ากันทุกวัน ก็ต้องไปกู้เงินมาเพื่อจ่ายค่ารักษา ถึงจุดหนึ่งแม่ก็บอกว่าเราไม่ไหวแล้วนะลูก คือหมอก็ขอร้องแม่ ว่าขอครั้งสุดท้าย ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ เราก็จะปล่อยมันไป จากตรงนั้นอ่ะค่ะ มันเข้าใจหัวอกคนที่รักสัตว์ แต่ไม่มีเงินรักษา”

ก็เลยเลือกเรียนสัตวแพทย์ บอกกับตัวเองว่าจะเป็นหมอที่มีจริยธรรม รักษาสัตว์แบบราคาไม่แพง”

เปิดคลินิกด้วยค่ารักษา 100 บาท

หมอต้าเริ่มเปิดคลินิกพอเพียงรักษาสัตว์ในปี 2554 ด้วยอุดมการณ์แรงกล้า คลินิกพอเพียงจึงเปิดค่ารักษาเริ่มต้นที่ 100 บาท ซึ่งเป็นราคาสำหรับการตรวจโรคทั่วไป ฉีดยา และจ่ายยากลับบ้านอีกต่างหาก ทำอย่างนี้อยู่เกือบ 2 ปี คุณแม่ก็เตือนตลอด  

“แม่ว่ามันอยู่ไม่ได้นะลูก”

“เพื่อนที่เป็นหมอหลายคนก็เริ่มทัก ถามว่า 100 นี่เปิดทำไม หมอก็แบบ…อ้าวหรอ อยู่ไม่ได้หรอ (หัวเราะ) เลยขึ้นเป็น 200 บาทจนถึงวันนี้ค่ะ แต่ถ้ามีกรณีพิเศษ เช่น อัลตร้าซาวด์ ตรวจเลือด ยาเฉพาะทางที่ราคาสูง หรือมีการผ่าตัด ก็เพิ่มราคาไป”

ซึ่งราคาที่ว่านั้นก็ถูกจนต้องถามซ้ำว่าราคานี้จริงหรือ

อัตราค่ารักษาของคลินิกพอเพียงรักษาสัตว์

หมายความว่าหมอไม่เคยคำนวณกำไร ขาดทุน ในการรักษา?

“ไม่เคยคำนวณเลยค่ะ แต่หมอรู้ว่าราคานี้หมออยู่ได้”

ถ้าไม่เคยคำนวณ อะไรที่ทำให้หมอต้ามั่นใจว่าค่ารักษาที่กำหนดไว้ต่ำกว่ามาตรฐานของคลินิกและโรงพยาบาลรักษาสัตว์อื่นๆ นั้นไม่ขาดทุน

“แต่ละเดือนเรามีเงินหมุนเวียนพอซื้อยาและอุปกรณ์การรักษา มีเงินกินข้าว มีเงินให้แม่ มีเงินเลี้ยงหมา พอมีเหลือเก็บ แค่นี้ยังไม่เรียกว่าอยู่ได้อีกหรอ คลินิกนี้เลี้ยงตัวเองได้ แต่อาจจะไม่มากมายขนาดทำให้หมอร่ำรวย แต่หมออยู่ได้แบบไม่ลำบาก”  

พอเพียงคือพอดี ถ้าจุดไหนที่เราเครียด จุดนั้นก็ไม่พอดี  

“ชื่อคลินิกเหมือนเป็นสิ่งเตือนใจเราในทุกวันของการทำงาน ว่าตอนเด็กเราตั้งใจไว้ยังไง

“เราอยากทำคลินิกโดยยึดถือหลักว่าจะช่วยเหลือทั้งสัตว์และเจ้าของสัตว์ ด้วยการคิดค่ารักษาในราคาย่อมเยา แบบพอเพียง”

แต่คำว่า ‘พอเพียง’ ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน สำหรับหมอที่รักษาแบบพอเพียงมากว่า 8 ปีอย่างหมอต้า นิยามคำนี้ไว้อย่างเรียบง่าย

“ใช้ชีวิตให้มีความสุข และตั้งอยู่บนความพอดี แค่นั้นเลยค่ะ”

“ต้องถอยมาถามตัวเองให้ชัดว่าความสุขเราคืออะไร หาความพอดีของชีวิตให้เจอ แล้วใช้ชีวิตอยู่บนเส้นของความพอดีนั้นแหละ มีความอยากได้ แต่ก็ขอให้เป็นความอยากที่พอดี ถ้าเรารู้ว่าอะไรพอดีกับเรา นั่นแหละพอเพียง”

“สำหรับหมอจุดไหนที่เครียดเกินไป จุดนั้นเรียกว่า ไม่พอดี”

“ถ้าอยากได้อะไรแล้วเครียดมากไป ต้องถอยกลับมาตั้งหลัก ถ้ามันเกินตัวหรือไม่มีประโยชน์ จะไม่เอา อะไรที่อยากได้มากๆ ต้องพยายามเก็บเงิน แล้วเราจะรู้คุณค่าว่ากว่าจะได้มาเป็นยังไง  แต่ถ้าพยายามจนสุดความสามารถแล้วมันเกินไขว่คว้า เราก็ต้องยอมรับความจริง”

ความ ‘พอดี’ กับอาชีพสัตวแพทย์  

“งานของหมอมันเป็นงานที่เครียดเหมือนกันนะคะ เราแบกความคาดหวังถึง 2 ต่อ

ต่อแรกก็ความคาดหวังของตัวหมอเอง ว่าเคสนี้จะต้องหาย ต้องทำให้ได้

ต่อที่สอง คือความคาดหวังของเจ้าของสัตว์ เค้าก็หวังว่าหมาแมวเค้าจะต้องหาย

ตรงนี้มันเป็นความยากพออยู่แล้ว ถ้าเรายังจะเอาปัญหาเรื่องเงินไปถมเค้าอีก มันเป็นอะไรที่ทำร้ายเค้าเกินไป

“หลายๆ เคสที่มาเป็นชาวบ้านธรรมดา ถ้าคิดแพงเกินไป เค้าจะไปหาเงินที่ไหน

“แล้วค่ารักษาที่แพงเกินไปนี่แหละ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เจ้าของไม่พาหมาแมวมารักษา ไม่ใช่ไม่รักนะคะ แต่จะให้เค้าทำยังไง เงินจะเลี้ยงตัวเองยังไม่ค่อยพอเลย

“ค่ารักษาถูก ช่วยได้เยอะเลยค่ะ พอทุกอย่างเค้าจับต้องได้ ไม่ว่าจะรักษา ผ่าตัด หรือใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ยินราคาแล้วต้องรู้สึกว่า ‘เอ้อ ฉันไหว’ แล้วเค้าจะไม่ปล่อยให้สัตว์ตาย 

“เราทำให้มันอยู่ในจุดที่พอดีกันทั้งสองฝ่าย เราอยู่ได้ เจ้าของก็ต้องอยู่ได้ แต่ถ้าสมดุลของทั้งสองด้านไม่เท่ากัน นั่นก็จะกลายเป็นธุรกิจ  

“สำหรับหมอ การคิดค่ารักษาถูก มันคือประตูด่านแรก ที่ทำให้สัตว์รอดชีวิต และการช่วยชีวิตนี่ไม่ใช่หรือ คือหน้าที่ของสัตวแพทย์”

หมาแมวจร รักษาฟรี!…“เราหยิบยื่นน้ำใจให้เค้า เค้าก็ยื่นน้ำใจต่อให้คนอื่น”

ในแต่ละวันหมอต้าจะมีเคสรักษาฟรีอย่างน้อย 3-4 เคสทุกวัน

ส่วนใหญ่คือหมาแมวจรที่คนใจบุญไปเก็บมาให้รักษา หรือหมาแมววัด ซึ่งหลวงพ่อจะพามารักษาที่นี่เป็นประจำ

“รักษาฟรีในเคสโรคทั่วไปค่ะ แต่คนที่พามาต้องรับดูแลต่อด้วย จะมาทิ้งที่คลินิกไม่ได้ 

“บางเคสก็มีคิดเงินบ้าง เช่น ผ่าตัด แต่เราคิดไม่แพง เค้าก็ยินดีจ่าย หมอรักษาเต็มที่ คนที่พามาก็ช่วยต้นทุนหมอ เหมือนเราช่วยกันคนละครึ่งค่ะ เพราะควักเนื้อตัวเองบ่อยๆ เราก็แย่เหมือนกัน แต่จะมีบางคน ที่หมอรู้ว่าเค้าเมตตาหมาจรจริงๆ ก็ไม่คิดเงินเลยทุกกรณี ขอแค่ให้เค้าช่วยเลี้ยงให้ดี”

หมอต้าจะมีกล่องบริจาคสมทบทุนรักษาหมาแมวจรไว้ในคลินิก โดยจะใช้เงินส่วนนั้นในกรณีที่เกินกำลังของหมอ

กล่องรับบริจาคในคลินิกพอเพียง

“มันคือการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หมอคิดค่ารักษาไม่แพง เค้าก็พอมีเงินเหลือช่วยคนอื่นที่ไม่มี มันคือเรื่องง่ายๆ เลยนะ เราหยิบยื่นน้ำใจให้เค้า เค้าก็ยื่นน้ำใจต่อให้คนอื่น”

แต่ที่พิเศษคือทุกวันที่ 5 ธันวาคม คลิินิกพอเพียงรักษาสัตว์ จะเปิดรักษาฟรี ไม่เฉพาะหมาแมวจร แต่ทุกเคส!

“ทำมา 4 ปีแล้วค่ะ รักษาฟรีสำหรับเคสเล็กๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินมาก เช่น อาการติดเชื้อ ฉีดยา ตรวจทั่วไป เท่าที่กำลังเราไหว คุณแม่เป็นคนชวน คิดกันว่าจะทำอะไรในวันนี้ได้บ้าง มาจบที่ใช้ความรู้ความสามารถของเรานี่แหละ ”

หมอต้าและคุณแม่ กับกิจกรรมรักษาฟรี ทุกวันที่ 5 ธันวาคม

จากปีแรกที่มีประมาณร้อยกว่าเคส ก็เพิ่มเป็น 200 – 300 เคส ในปีต่อมาจนล้นคลินิก ซึ่งหมอต้าเองก็งงเหมือนกัน ว่าตรวจคนเดียวไปได้ยังไง มากมายขนาดนั้น

“พอใกล้เดือนธันวา หลายคนเค้าจะมาบอกว่า หมอ…หนูรอวันนี้เลยนะ

“คือพอทุกคนรอ เราก็รู้สึกว่าคงต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็มาช่วยกันหมด แฮปปี้กันทุกคน”

‘โตงเตง’ หมาจรป่วยวิกฤต เคสประทับใจที่ทำให้หมอขอบคุณตัวเอง

8 ปีในการทำงาน หมอต้าขอเลือกโตงเตง เป็นเคสประทับใจ

โตงเตง เป็นหมาจรที่ลุงคนหนึ่งเก็บมาจากข้างทาง พร้อมอาการพยาธิเม็ดเลือด และก้อนเนื้อขนาดใหญ่ 1 กก. ที่แผลแตกจนส่งกลิ่นเน่า มาหาตอนบ่าย 3 ซึ่งตอนนั้นหมอเหนื่อยมาก เพราะผ่าตัดมาประมาณ 9 เคสแล้ว ประเมินจากประสบการณ์ โตงเตงไม่ไหวแน่ๆ ถ้าวางยาสลบเค้ามีโอกาสเสียชีวิต ต้องส่งไปที่โรงพยาบาลสัตว์ แต่ลุงบอกว่าไม่มีเงิน มีติดมาแค่ 2,000 หมอช่วยหน่อยเถอะ

โตงเตง ในตอนที่คุณลุงไปเจอ ก่อนพามาหาหมอต้า

“ก็เลยคุยกับลุงว่าจะยอมเสี่ยงมั้ย ถ้าเค้าเสี่ยงเราก็จะเสี่ยงไปกับเค้า มัน 50/50 นะ

สุดท้ายตัดสินใจผ่า นั่งทำงานอยู่กับกลิ่นที่สุดจริงๆ 1 ชั่วโมงเต็ม ทั้งที่ร่างกายก็ล้ามาก แล้วสุดท้ายโตงเตงก็รอด”

โตงเตง หลังผ่านการผ่าตัด 1 ชั่วโมงเต็ม

“วันนั้นหมอเกือบจะไม่ทำแล้ว เพราะคิดว่าไม่น่าไหว และหมอเองก็ร่างกายไม่พร้อม เค้ากลับไปเราก็ติดตามตลอด จนมั่นใจว่าเค้ารอดชัวร์ มันกลายเป็นความรู้สึกดีที่ได้ช่วยชีวิตเค้า และนึกขอบคุณตัวเองนะที่วันนั้นเราตัดสินใจถูก”

ตลอดการทำงาน 8 ปี ของสัตวแพทย์ตัวเล็กๆ แต่ใจไม่เล็กคนนี้ เธอซื่อสัตย์กับเสียงข้างในจิตใจตัวเอง อย่างไม่เคยสั่นคลอน ซึ่งหมอต้าบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องของการตอบคำถามข้างในใจของตัวเองมากกว่า   

 

“ทุกอย่างมันกลับมาที่เรื่องของความสุขหมดเลยค่ะ หมอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีอะไรนะ แค่รู้ว่าความสุขของตัวเองอยู่ตรงไหน แล้วลงมือทำ”

 

FACTBOX

คลินิกพอเพียงรักษาสัตว์ ตั้งอยู่ที่ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์

สามารถสอบถามปัญหาเจ็บป่วยของสัตว์เลี้ยงและจองคิวการรักษาได้ที่เดียวเท่านั้น คือ https://www.facebook.com/PP.animalclinic/ (เพราะหมอทำงานคนเดียว ไม่สะดวกรับโทรศัพท์ แต่ตอบกลับทุกข้อความแน่นอน)