ถ้าพูดถึงเมืองยอดนิยมของประเทศอินเดีย ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเต็มใจไปเช็คอินมากที่สุด ต้องยกให้ จัยปูร์ หรือชัยปุระ
เพราะมีหลายเหตุผลประกอบกัน หนึ่ง เป็นเมืองที่ถ่ายรูปสวย เพราะตึกรามบ้านช่องล้วนฉาบทาด้วยสีชมพูจนถ้วนทั่ว และมีสถานที่ไฮไลท์ให้ไปเช็คอิน โบกสะบัดส่าหรีให้ปลิวล้อเล่นลมเพื่อถ่ายรูปสวยๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นฮาวามาฮาล, ป้อมนาฮาการ์, ป้อมอาเมร์, หอดูดาวจันตาร์ มันตาร์ ฯลฯ สอง จัยปูร์มีเที่ยวบินตรงให้บริการในทุกวัน จึงเดินทางไปง่าย ในราคาสบายกระเป๋า ยิ่งไปในช่วงอากาศดีๆ อย่างปลายปีไปจนถึงต้นปี ยิ่งได้เฉิดฉายรับลมหนาวเบาๆ ถูกใจนักท่องเที่ยวเป็นที่สุด
แต่ก็เพราะจัยปูร์มีเพชรน้ำเอกประจำเมืองให้แวะเที่ยวมากมายหลายจุดนี่เอง ทำให้หลายคนพลาดโอกาสทำความรู้จักเสน่ห์ที่แท้จริงของเมือง ซึ่งแฝงอยู่ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ในย่าน Pink City ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เกือบ 300 ปีที่แล้ว เราเองก็เช่นกันที่แม้จะมาเที่ยวจัยปูร์เป็นรอบที่ 3 แล้ว ก็ยังรู้สึกว่าได้ไปเที่ยวแต่แลนด์มาร์คเด่นๆ ถ่ายรูปสวยๆ แล้วก็เดินจากไป งวดนี้เลยทำการบ้านเพิ่มเติมด้วยการซื้อทัวร์ Cultural& Heritage Walk of Pink City ที่เสิร์ชเจอใน Airbnb ให้เจ้าถิ่นพาเดินทัวร์ให้ทั่วนครสีชมพูสักรอบ
เรานัดเจอกับไกด์หนุ่มเครางามชื่อ Deepak ตอน 5 โมงเย็น ที่หน้าโรงหนัง Golcha ใกล้ๆ กับประตูเมือง New Gate ดีพัคปรากฏตัวพร้อมหมวกกันน็อคคู่ใจ แล้วพาเราไปนั่งจิบ chai tea ที่ร้าน Sahu Tea ร้านชาเก่าแก่ประจำเมืองที่จุดเตาต้มชานมรสชาติกลมกล่อมในแก้วดินเผามานานกว่า 150 ปี บรรยากาศหน้าร้านจึงเต็มไปด้วยชาวอินเดียมายืมกลุ้มรุมจิบชากันคนละแก้วสองแก้วไม่ขาดสาย เพราะการจิบไจถือเป็นชีวิตจิตใจของชาวอินเดียก็ว่าได้ ประชากรร้อยละ 99 จิบไจแทนน้ำ จิบกันทั้งวัน จิบได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ระหว่างนั่งจิบไจ ดีพัคก็เล่าถึงประวัติของเมืองจัยปูร์ให้ฟังคร่าวๆ ว่า แต่เดิมในสมัยศตวรรษที่ 16 เมืองหลวงของชัยปุระไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนี้ แต่อยู่ห่างออกไป 11 กิโลเมตร และใช้ชื่อว่า อาเมร์ (Amber) จนเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเกิดภาวะขาดแคลนแหล่งน้ำใช้ กษัตริย์ในสมัยนั้น คือ มหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 จึงวางแผนย้ายเมืองหลวง โดยได้สถาปนิกชื่อก้องในยุคนั้นออกแบบผังเมืองและออกแบบอาคารต่างๆ รวมถึงพระราชวังเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถูกต้องตามหลักวัสดุศาสตร์ (Vastu Shastra) เป๊ะ และให้ชื่อเมืองว่า Jaipur ตามพระนามขององค์มหาราชานั่นเอง
ชัยปุระเริ่มต้นก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1727 และแล้วเสร็จภายใน 4 ปี จัดเป็นเมืองแรกในอินเดียที่มีการสร้างตามหลักผังเมือง หากมองจากมุมท็อปจะเห็นชัยปุระถูกแบ่งออกเป็น 9 ส่วนเท่าๆ กันเหมือนตารางหมากรุก โดยพื้นที่ 2 ใน 9 เป็นเขตของพระราชวังต่างๆ และสถานที่ราชการ อีก 7 ส่วนที่เหลือคือ บ้านเรือนและบาซาร์ของประชาชน และในคราวนี้เองที่เราจะมาเดินทัวร์ให้ทั่วพื้นที่ 7 ส่วนของ Pink City ให้ได้มากที่สุด
บรีฟประวัติของเมืองให้ฟังคร่าวเสร็จเรียบร้อย ดีพัคก็ชวนเราออกเดินเข้าไปในตรอกที่ใกล้ที่สุด พร้อมอธิบายว่า ถ้าสังเกตดีๆ พื้นถนนที่เราเดินอยู่จะเป็นทางลาดที่มีความชันแบบต่ำๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางน้ำไหล ช่วยให้ Pink City มีระบบระบายน้ำที่ดี ไม่ต้องเจอปัญหาน้ำท่วมน้ำขัง แถมตรอกซอกซอยต่างๆ ที่เราเดินอยู่นั้นก็ทะลุถึงกันได้หมดแบบไม่มีทางตัน (ซึ่งถ้าไม่ได้มากับดีพัค รับประกันว่า หลงแน่นอน)
เดิมจัยปูร์จะมีสีอะไร เราไม่รู้ รู้แต่ว่าเมืองนี้ถูกฉาบให้มีสีชมพูเมื่อ ค.ศ. 1876 ในรัชสมัยของมหาราชาสวาอี ราม สิงห์ ที่ต้องการแต่งตัวสวยๆ ให้เมืองเพื่อต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวลส์ ที่เสด็จมาเยือนชัยปุระอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็ได้คงสีชมพูไว้บนทุกอาคารบ้านเรือนตราบจนปัจจุบัน มหาราชาเองก็คงจะไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า เมืองสีหวานของพระองค์จะทรงอิทธิพลถึงขั้นดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกในอีกร้อยปีถัดมา
ดีพัคพาเราลัดเลาะตรอกซอกซอยทะลุมายัง Sanganeri Gate หนึ่งในประตูเมืองสีชมพูที่เพนต์ลวดลายของแม่พิมพ์ไม้อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของงานผ้าพิมพ์แห่งเมือง Sanganer ที่อยู่ไม่ไกลจากนครสีชมพู โดยมีประตูเมืองแห่งนี้เป็นเข็มทิศบอกเส้นทางว่า ถ้าจะไปเมืองผ้าพิมพ์ให้ออกทางประตูนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ
เยื้อง Sanganeri Gate ดีพัคพาเราเข้าไปสักการะโบสถ์ฮินดู Tirupati Balaji Temple และเพื่อชมบรรยากาศยามค่ำคืนของถนน Johari Bazar จากบนระเบียงชั้น 2 ของ Haveli แห่งนี้ให้ชัดถนัดตายิ่งขึ้น ดีพัคชี้ให้เราเห็นถึงรายละเอียดของศิลปะที่ผสมผสานระหว่างฮินดูกับโมกุลในสัดส่วนที่กลมกลืนอย่างลงตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านแบบ Havali ทุกหลัง ที่ทอดยาวติดต่อกันไปทั่วนครสีชมพู นัยว่าเป็นทาวน์เฮ้าส์แบบดั้งเดิมของรัฐราชสถานก็ว่าได้
ออกจากโบสถ์ฮินดู ดีพัคชวนเราชิมสตรีทฟู้ดข้างทางอย่าง Pakodi อาหารกินเล่นหน้าตาคล้ายทอดมัน แต่ทำจากถั่ว lentils หลากสีสัน เอามาโขลกๆ ปั้นๆ กับเครื่องเทศ แล้วทอด จิ้มกินกับน้ำจิ้มสีเขียวซาบซ่า อร่อย กินง่าย จนต้องขอเบิ้ล เพราะยังต้องเดินเที่ยวต่ออีก 2 ชั่วโมง
เราเดินกันไปเรื่อยๆ เข้าไปในตลาดขายผักสดและผลไม้ ที่แต่ละแผงประกวดประชันกันด้วยลีลาจัดเรียงผักผลไม้ให้ลดหลั่นเรียงรายไม่แพ้กัน ด้วยความที่ประชากรเกือบร้อยละร้อยของอินเดียล้วนเป็นมังสวิรัติ เราจึงไม่มีทางเจอตลาดเนื้อสดในเขตนี้แน่นอน ด้วยอิทธิพลแห่งสีสันและความสดของผลไม้ที่ช่างเย้ายวนใจ เราเลยซื้อองุ่นพวงโตมากินเล่นระหว่างเดินทัวร์
เดินกระทบไหล่ผู้คนบนฟุตบาทต่ออีกไม่ไกล ดีพัคก็พาเราโฉบเข้าไปใน Narayan Ji Gajak Wale ร้านขนมขายดีประจำถิ่นที่มีอายุเก่าแก่นับได้ราวๆ เกือบ 70 ปี ในตู้โชว์เรียงรายด้วยขนมสารพัดชนิดที่ทำจากถั่ว งา เนย น้ำตาล สาดความหวานใส่ทุกชิ้นกันแบบไม่ยั้ง มีพ่อค้าแม่ขายรายย่อยมายืนรุมๆ แย่งกันซื้อถั่วตัดกันไปขายต่อคนละหลายกิโล ส่วนเราก็ซื้อถั่วเคลือบงาและช็อกโกแลตหวานกรุบติดมือกลับบ้านพอเป็นพิธี
จากตรงนี้ ดีพัคชี้ให้เราดูอาคารฝั่งตรงข้ามหลังหนึ่งที่ไม่ได้เป็นสีชมพู พร้อมเฉลยให้ฟังว่าในอดีต ตึกนี้เคยเป็น Royal Guest House มาก่อน เรียกว่าเป็นเรือนรับรองสำหรับให้แขกของราชวงศ์ได้มาพักอาศัย ซึ่งถ้าทาสีชมพูเฉดเดียวกับชาวเมือง อาคันตุกะอาจจะหลงทิศจนหาห้องนอนไม่เจอ เลยต้องทาสีให้แตกต่างไว้ก่อน ปัจจุบัน ตึกสีไม่เข้าพวกหลังนี้ได้กลายเป็นบ้านของเศรษฐีตระกูลหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
ถัดจาก Royal Guest House ไปอีกไม่ไกลเป็นที่ตั้งของอีกตึกที่น่าสนใจ แปะข้อความไว้ว่า LMB Hotel ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1727 หรือในปีเดียวกับกำเนิดแห่งนครสีชมพูนั่นเอง LMB ย่อมาจาก Lakshmi Mishthan Bhandar ถือเป็นร้านขนมหวานที่เก่าแก่ที่สุดในจัยปูร์ ปัจจุบันเพิ่งส่วนต่อขยายเปิดให้บริการโรงแรมไปด้วยในตัว ใครใคร่เช็คอินนอนที่นี่ก็สะดวกดีต่อการกินขนมและเดินชมเมืองทั้งวันทั้งคืน
จากจุดนี้เริ่มเข้าสู่เขตของ Jahori Bazaar หรือตลาดค้าเครื่องประดับ โดยเน้นที่เครื่องเงินเป็นหลัก แนะนำว่า ใครอยากช้อปจิวเวลรี่ที่นี่ ให้เข้าร้านใหญ่ๆ อย่างร้าน Motisons’ ที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้มากกว่าตามแผงข้างทาง และด้วยความที่เราค่อนข้างจะเชิดใส่เครื่องเงินอย่างเห็นได้ชัด ดีพัคเลยชวนพักเบรกอีกรอบ ด้วยการแวะแผงสตรีทฟู้ดข้างทาง งวดนี้จัด Kachori ร้อนๆ 1 ชิ้นถ้วน อารมณ์เหมือนกะหรี่พัฟฟ์ทอดร้อนๆ กินกับน้ำจิ้มรสเผ็ดซ่าเล็กน้อย มีวัว มีรถราวิ่งขวักไขว่ห่างไปตรงหน้าไม่ถึงหนึ่งฟุต ช่างได้อารมณ์ดีแท้
กินเสร็จปุ๊บ ดีพัคไม่รอช้า พาเดินเข้า Haveli อีกแห่ง คราวนี้ไม่ใช่โบสถ์ฮินดู แต่เป็นเคหสถานที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ และถือเป็นฮาเวลีแบบดั้งเดิมที่มีอาณาเขตกว้างขวางชนิดที่ตลอดความยาวของบ้านก็คือ ถนนสาย Jewelry ที่เราเพิ่งเดินเข้ามานั่นแหละ ดีพัคเล่าว่าฮาเวลีในแต่ละบ้านจะแบ่งสัดส่วนออกเป็นพื้นที่สวนตรงกลางบ้าน โอบล้อมด้วยส่วนของที่อยู่อาศัยของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก แยกออกจากกัน เราเดินทะลุบ้านของใครก็ไม่รู้กลับออกมายังท้องถนนตามเดิม เพื่อจะไปต่อกันที่ตลาดส่าหรี ที่อัดแน่นด้วยแพรพรรณสำหรับอิสตรีชาวภารตะหลายร้อยร้านค้าเรียงติดต่อกัน โดยมีร้านเสื้อผ้าสำหรับบุรุษแทรกตัวอยู่เพียง 4-5 ร้านเท่านั้น
หลุดออกจากตลาดค้าส่าหรีได้ก็เดินมาถึงจัตุรัส Chaupars พอดี เราเดินข้ามถนนเพื่อไปแหงนหน้ามองพระราชวังสายลม หรือ ฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) ที่ในยามค่ำคืนก็สวยสงบแปลกตา ต่างจากบรรยากาศตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง จากนั้น เราเดินเลียบสองข้างทางของ Tripolia Bazar มุ่งหน้า Tripolia Gate ตลาดในย่านนี้เน้นขายของจำพวกภาชนะอลูมิเนียม อย่างหม้อ ถาด ปิ่นโต ช้อมส้อม ฯลฯ เรียกว่าถ้าอยากจับจ่ายสินค้าประเภทไหนใน Pink City ต้องจิ้มแผนที่ไปให้ถูกย่าน ใช่ว่าจะมีห้างสรรพสินค้าที่จุทุกอย่างเอาไว้ครบทุกรายการอย่างบ้านเรา
Tripolia Gate ถือเป็นอีกหนึ่งจุดนัดพบสำคัญ ที่หากใครมาเที่ยวจัยปูร์ครั้งแรกๆ แล้วไม่รู้จะเริ่มต้นที่ไหน ก็ออกสตาร์ทที่ประตูวังแห่งนี้ก่อนได้ เพราะอาณาเขตภายในประตูหลังนี้รวมของดีแห่งนครสีชมพูเอาไว้ครบครัน ทั้ง City Palace, Jantar Mantar และ Hawa Mahal ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้เปิดให้เข้าชมในตอนกลางวัน ส่วนเราที่มายืนเก้ๆ กังๆ ในตอนกลางคืนแบบนี้ ขอจบทัวร์ City Walk กันที่วัดของพระศิวะ อายุกว่า 300 ปี เพื่อสัมผัสบรรยากาศของการล้อมวงสวดมนต์เพื่อทวยเทพของชาวฮินดู ที่ว่ากันว่าเขามี Gods มากกว่า 33 ล้านองค์! จึงไม่แปลกที่หากถามเราถามชาวอินเดียหลายๆ คนว่า คุณศรัทธาพระเจ้าองค์ไหน แล้วคำตอบที่ได้มักไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากก็จะนับถือพระศิวะ ที่จัดเป็นเทพองค์หลักก็ว่าได้
ดีพัคขอปิดท้ายแถมให้อีกหนึ่งสถานที่ ด้วยการโบกออโต้ริกชอว์ให้ไปส่งเรายังหน้าพิพิธภัณฑ์ Albert Hall ที่มีการประดับไฟโชว์สีสันสวยงามตระการตา เรียกแขก (ทั้งแขกผู้มาเยือนอย่างเรา และชาวแขกเจ้าถิ่น) ให้กดชัตเตอร์เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งพิพิธภัณฑ์อัลเบิร์ต ฮอลล์ แห่งนี้ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดในรัฐราชสถาน ส่วนจะมีงานจัดแสดงอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น เราเองก็ยังไม่รู้ เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งของดีแห่งจัยปูร์ที่เรายังเก็บแต้มได้ไม่ครบ คงต้องมาซ้ำนครสีชมพูอีกครั้งในคราวหน้า และเพราะยังมีอีกหลายบาซาร์รอให้เราเดินไปช้อปอีกเพียบ
See you again Jaipur!.