คงจะจริงที่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ย่อมเปลี่ยนผัน แต่เสน่ห์บางอย่างของตลาดที่เป็นเหมือนทุ่งดอกไม้กลางป่าคอนกรีตในมหานครแห่งนี้ยังคงอยู่
“ดอกไม้มั้ยจ๊ะดอกไม้…”
แม่ค้าส่งเสียงหวานพร้อมส่งยิ้มทักทายให้กับผู้คนแปลกหน้าที่กำลังเดินผ่านไปมาในช่วงเช้า
ขณะที่หญิงสูงวัยคนหนึ่งสวมใส่เสื้อลายดอกไม้พร้อมกับถือดอกไม้ในมือ จนดูเหมือนช่อดอกไม้เคลื่อนที่
“เดี๋ยวเย็นๆ ดอกไม้จะลงเยอะ รอเก็บภาพได้เลย” พี่มังกร คนเข็นดอกไม้ย่านปากคลองพูดขึ้น ระหว่างที่ผมมาขอนั่งพักข้างๆ ตอนกลางวัน ก่อนที่อีกไม่กี่นาทีต่อมา แม่ค้าจากร้านฝั่งตรงข้ามจะเรียกให้พี่มังกรลุกไปส่งดอกไม้
แดดเมืองไทยในเดือนนี้ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเช่นเคย ผมจึงขอหลบร้อนใต้ร่มผ้าใบร้านดอกไม้ต่อไป
“…ก็อยากให้บรรยากาศเก่าๆ กลับมาเหมือนเดิมนะ” พี่อ้อย แม่ค้าร้านกุหลาบ นึกถึงความหลังก่อน พ.ศ.2559 ในวันที่ปากคลองตลาดยังไม่ถูกจัดระเบียบ และสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านดอกไม้ จำนวนคนซื้อและคนขายแน่นขนัด ผิดกับวันนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูบางตา
แต่นี่แหละคือชีวิต ชีวิตที่เที่ยงแท้ต่อความเปลี่ยนแปลง เหมือนกับตลาดปากคลองแห่งนี้ที่ในสมัยหนึ่งเคยเป็นตลาดขายปลา แต่เมื่อล่วงสู่สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเห็นว่าที่นี่ไม่เหมาะสม จึงโปรดให้ย้ายตลาดปลาไปอยู่หัวลำโพง แล้วเปลี่ยนปากคลองตลาดเป็นตลาดผัก ผลไม้ และต่อมาภายหลังได้กลายเป็นตลาดดอกไม้ที่คึกคักที่สุดในกรุงเทพฯ ก่อนจะถูกจัดระเบียบอีกครั้งเมื่อสองปีก่อน เพื่อปรับภูมิทัศน์บนทางเท้า แล้วให้ผู้ค้าบางส่วนย้ายไปอยู่ตลาดที่จัดสร้างขึ้นใหม่ย่านฝั่งธนบุรี
ผมเดินเล่นดูดอกไม้และพูดคุยกับพ่อค้าแม่ขายในปากคลองจนบ่ายคล้อยแม้ปริมาณแผงดอกไม้ที่เคยอยู่ริมทางเดินจะไม่บานสะพรั่งเหมือนเมื่อก่อนแต่ผมก็ได้เห็นความสวยงามสดชื่นบางอย่าง
ผู้คนที่ดูเป็นมิตรเมื่อทักทาย ผู้คนที่ยิ้มให้ก็ยิ้มตอบ ผู้คนที่ไม่เคยทำให้เสน่ห์ที่งดงามจางหายไป
ใช่ครับ พวกเขาหยิบยื่นดอกไม้ที่ชื่อว่า ’รอยยิ้ม’ ให้กัน.