คุณรู้จัก ‘ปั๊มน้ำมันเชลล์’ ดีแค่ไหน?
เชื่อว่าคนไทยทุกคนที่ใช้รถใช้ถนนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต้องรู้จักกับปั๊มน้ำมันของเชลล์เป็นอย่างดี เพราะ ‘เชลล์’ คือปั๊มน้ำมันของบริษัทต่างชาติ (International Oil Company) แห่งแรกที่อยู่คู่กับคนไทยในทุกยุคทุกสมัยมาอย่างยาวนานที่สุด รวมระยะเวลาได้มากกว่า 130 ปี
becommon จึงอยากท้าทุกคนมาทบทวนความทรงจำและความคุ้นเคยที่มีต่อปั๊มน้ำมันเชลล์ ผ่านการตอบคำถามน่ารู้ทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ เพื่อทำความรู้จักกับเชลล์ให้มากขึ้นกว่าเดิม นับตั้งแต่ก้าวแรกของ ‘เชลล์’ ในประเทศไทยจนถึงก้าวต่อไปในอนาคต
ก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่
คำถามข้อ 01: สัญลักษณ์ของ ‘เชลล์’ รูปเปลือกหอยสีแดงเหลืองมีที่มาจากอะไร?
(1) หอยที่พบบ่อยบริเวณแหล่งขุดเจาะน้ำมัน
(2) ธุรกิจเริ่มต้น ซึ่งเคยเปิดร้านขายเปลือกหอยก่อนมา
(3) หอยที่เสิร์ฟระหว่างเจรจาธุรกิจบนโต๊ะอาหาร
คำตอบข้อ 01:
น่าจะเป็นเรื่องที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง เพราะแท้จริงแล้ว สัญลักษณ์ของเชลล์ รูปเปลือกหอยสีแดงเหลือง ที่มาจาก ‘ธุรกิจเริ่มต้นของเชลล์ในอดีต’
ย้อนเวลากลับไป 200 ปีก่อนหน้านี้ เชลล์เคยเป็นร้านค้าขายวัตถุโบราณ สินค้าน้ำเข้า และเปลือกหอยสวยงามจากประเทศโลกตะวันออก ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะคนยุโรปสมัยนั้น ถือว่าเปลือกหอยเป็นของหรูหราที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง จึงนิยมนำเปลือกหอยมาตกแต่งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอาคารบ้านเรือน
จนกระทั่งความต้องการใช้น้ำมันเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากแวดวงยานยนต์สามารถผลิตรถยนต์เพื่อออกขายสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) นั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เชลล์หันมาเริ่มต้นกิจการค้าขายน้ำมันแทน และกลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานรายใหญ่ของโลกอย่างในปัจจุบัน
ก้าวสำคัญแห่งความสำเร็จในประเทศไทย
คำถามข้อ 02: น้ำมันของ ‘เชลล์’ เดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งแรกด้วยวิธีใด?
(1) ขนส่งมาทางอากาศด้วยเครื่องบิน
(2) ขนส่งมาทางบกด้วยรถไฟ
(3) ขนส่งมาทางน้ำด้วยเรือ
คำถามข้อ 03: น้ำมันชนิดแรกที่ ‘เชลล์’ นำเข้ามาในประเทศไทย คือน้ำมันชนิดใด?
(1) น้ำมันดีเซล
(2) น้ำมันก๊าด
(3) น้ำมันปาล์ม
คำถามข้อ 04: น้ำมันของ ‘เชลล์’ ที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยช่วงแรก ใช้ชื่อว่าตราอะไร?
(1) ตราหอย
(2) ตราเรือ
(3) ตรามงกุฎ
คำถามข้อ 05: คลังน้ำมันแห่งแรกของ ‘เชลล์’ ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ใด?
(1) ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ
(2) อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
(3) ท่าน้ำนนท์ จังหวัดนนทบุรี
คำตอบข้อ 02-05:
ด้วยข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ทั้งขนาดของยานพาหนะที่เล็กเกินกว่าจะบรรทุกน้ำมันปริมาณมหาศาลได้ และเส้นทางขนส่งที่ยังไม่ดีพอ ทำให้ต้องอ้อมหลายประเทศจนเสียเวลาเดินทางนานเกินไป จึงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก หากจะต้องขนส่งน้ำมันข้ามประเทศที่อยู่คนละซีกโลกโดยเครื่องบินหรือรถไฟ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว การขนส่งน้ำมันด้วย ‘เรือ’ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่เชลล์ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) คือวันที่ ‘เอส เอส มิวเร็กซ์’ (S S Murex) ซึ่งเป็นชื่อเรียกเรือบรรทุกน้ำมันลำแรกของโลกที่บริษัทเชลล์ตั้งใจสร้างขึ้นมาเอาไว้ใช้ขนส่งน้ำมันไปยังประเทศต่าง ๆ ได้เข้าเทียบท่าที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก
โดยบรรทุก ‘น้ำมันก๊าด’ เข้ามาทำการค้าในประเทศไทยเป็นจำนวนมากถึง 1,250 ตัน (ปริมาณเทียบเท่าน้ำในสระมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกประมาณสระครึ่ง) เพราะสมัยนั้น คนไทยเพิ่งเริ่มหันมาใช้น้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับจุดตะเกียงให้แสงสว่างตามบ้านและถนนหนทางแทนการใช้น้ำมันพืชและไขสัตว์ได้ไม่นาน ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันก๊าดของคนไทยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ภายในปีเดียวกันนั้นเอง เชลล์ได้สร้างคลังน้ำมันแห่งแรกในประเทศไทย นั่นคือ ‘คลังน้ำมันปากลัด’ ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ส่วนชื่อเรียกทางการค้าของน้ำมันก๊าดของเชลล์ในตอนแรกเริ่ม กลับไม่ใช่ น้ำมันก๊าด ตราเชลล์ หรือตราหอย แต่เป็น ‘ตรามงกุฎ’ เพราะเป็นการตั้งชื่อตามสัญลักษณ์ของบริษัทรอยัลดัตช์ปิโตรเลียม ก่อนจะควบรวมกิจการกับบริษัทเชลล์ทรานสปอร์ตแอนด์เทรดดิ้งในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) เป็นบริษัทใหม่ในชื่อ เอเชียติกปิโตรเลียม (สยาม) และเพิ่มการนำเข้าน้ำมันหลากหลายชนิดมากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการ พร้อมกับเริ่มสร้างคลังน้ำมันเพิ่มในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) ซึ่งกระจายอยู่ตามต่างจังหวัด ได้แก่ โคราช เชียงใหม่ แพร่ สุราษฎร์ธานี ลำปาง และ พิษณุโลก
คำถามข้อ 06: เหตุการณ์ใดสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้ ‘เชลล์’ ก่อตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ ‘เชลล์แห่งประเทศไทย’
(1) สงครามโลกครั้งที่สอง
(2) การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
(3) อุบัติเหตุเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เกยขวางคลองสุเอซในประเทศอียิปต์
คำตอบข้อ 06:
เมื่อเวลาผ่านไป บริษัท เอเชียติกปิโตรเลียม (สยาม) สามารถดำเนินธุรกิจค้าขายน้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในประเทศไทยมาได้ด้วยดี จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ‘สงครามโลกครั้งที่สอง’ ความไม่สงบในภาวะสงครามทำให้เชลล์ต้องหยุดดำเนินธุรกิจทั้งหมด และตัดสินใจปิดบริษัทลงในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939)
แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามกว่าเสมอ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ด้วยวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลของเชลล์ ซึ่งยังคงมองเห็นโอกาสและหนทางประสบความสำเร็จของธุรกิจน้ำมันในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) เชลล์จึงกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งเป็นเจ้าแรก โดยก่อตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ ‘เชลล์แห่งประเทศไทย’
ส่วนชื่อเรียกน้ำมัน จากเดิมที่เคยเรียกกันว่า ตรามงกุฎ ก็เป็นเปลี่ยน ‘เชลล์’ ตามชื่อบริษัท กลายเป็นคำเรียกติดปากของคนไทยว่า ‘ปั๊มเชลล์’ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ก้าวแห่งการเติบโตต่อไปไม่หยุดนิ่ง
คำถามข้อ 07: ผลิตภัณฑ์ของ ‘เชลล์’ ในข้อใด เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะและช่วยดูแลเครื่องยนต์ได้ นอกเหนือจากน้ำมันคุณภาพสูง
(1) น้ำมันเกียร์
(2) น้ำมันเครื่อง
(3) ผลิตภัณฑ์กันรั่วกันซึม
คำตอบข้อ 07:
เชลล์ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับเครื่องยนต์อื่นๆ ที่ผู้ขับขี่นิยมเลือกใช้ควบคู่ไปกับน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เชลล์คิดค้นมาเพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะ บำรุงรักษา และยืดอายุการใช้เครื่องยนต์ได้ในผลิตภัณฑ์เดียว นั่นก็คือ ‘น้ำมันเครื่องเชลล์’
เดิมทีเชลล์มีชื่อเสียงด้านน้ำมันคุณภาพสูงอยู่ก่อนแล้ว จนกระทั่งเชลล์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘เชลล์เอ็กซ์ 100’ น้ำมันเครื่องที่มีสารผสมเข้าสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ยิ่งทำให้เชลล์มีชื่อเสียงเสียงในด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ตามไปด้วย
ตลอดเวลาที่เชลล์ธุรกิจน้ำมัน เชลล์พยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องมีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ‘เชลล์เฮลิกส์’ ที่ปฏิวัติวงการน้ำมันเครื่องนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยขั้นสูงและการพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ จึงไม่ได้แค่ช่วยให้ขับขี่ได้แรงและไหลลื่นอย่างเดียว แต่ยังช่วยในการรักษาเครื่องยนต์ให้สะอาดอยู่เสมอด้วย
ทุกผลิตภัณฑ์ของเชลล์ จึงสะท้อนให้เห็นการไม่หยุดพัฒนาของเชลล์ เป็นความตั้งใจที่อยากมอบประสบการณ์ใหม่ด้านการขับขี่ให้กับทุกๆ คน
คำถามข้อ 08: เชลล์ค้นพบแหล่งน้ำมันเชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทยที่จังหวัดใด?
(1) จังหวัดสตูล
(2) จังหวัดนครปฐม
(3) จังหวัดกำแพงเพชร
คำตอบข้อ 08:
ผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก (Oil Shock) ในอดีตถึงสองครั้ง คือ ในปี พ.ศ. 2516-2617 (ค.ศ. 1973-1974) และในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) สร้างความหวั่นวิตกด้านพลังงานให้กับผู้คนในทุกประเทศว่าถ้าหากไม่สำรองน้ำมันหรือหาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ อาจประสบปัญหาเดิมเป็นครั้งที่สาม
เพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เชลล์ได้ตั้งบริษัทเพิ่มในชื่อ ‘ไทยเชลล์เอ็กซพลอเรชั่น แอนด์ โปรดักชั่น’ เพื่อสำรวจหาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทย นำไปสู่การค้นพบแหล่งน้ำมันในเชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศ ที่อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร และได้รับพระราชทานนามว่า ‘แหล่งน้ำมันสิริกิติ์’ ช่วยสร้างความมั่งคั่งด้านพลังงานให้ประเทศไทย และสร้างความมั่นใจกับคนไทยว่าจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงใช้อย่างเพียงพอกับความต้องการ
ก้าวแห่งความมั่นคงสู่อนาคตที่ยั่งยืน
คำถามข้อ 09: น้ำมันพรีเมียมคุณภาพระดับโลกที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่าน้ำมันทั่วไป คือข้อใด?
(1) เชลล์ วี-เพาเวอร์
(2) เชลล์ ดี-เพาเวอร์
(3) เชลล์ เอ-เพาเวอร์
คำตอบข้อ 09:
สิ่งสำคัญที่พิสูจน์ได้ถึงความตั้งใจจริงของเชลล์ที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงที่มีคุณภาพสูงมาตลอด คือ ความสำเร็จของ ‘เชลล์ วี-เพาเวอร์’ ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเกรดพรีเมียมหนึ่งเดียวที่ทีมสคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ (Scuderia Ferrari) หรือทีมแข่งรถฟอร์มูลาวัน (F1) ให้ความไว้วางใจ เลือกใช้ และแนะนำ ก่อนพัฒนาต่อเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์ส่วนบุคคลบนท้องถนนในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งยังคงประสิทธิภาพไว้ได้อย่างครบถ้วน
สำหรับในประเทศไทย น้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ มียอดขายอันดับ 1 เพราะมีสารที่ช่วยทำความสะอาดชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดและวาวล์ไอดีได้ถึง 100% และป้องกันการสะสมของคราบตะกรันได้ถึง 100% เช่นเดียวกัน ที่สำคัญน้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ ยังดีต่อโลก เพราะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (net-zero emissions) ได้ดีกว่าน้ำมันทั่วไป
คำถามข้อ 10: สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดใด?
(1) กรุงเทพฯ
(2) จังหวัดสมุทรปราการ
(3) จังหวัดนนทบุรี
คำตอบข้อ 10:
ล่าสุด เชลล์ได้เปิดตัว ‘Shell Recharge’ หรือ สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแห่งแรกในไทย บนถนนกาญจนาภิเษก อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ให้บริการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขนาด 180 กิโลวัตต์ ที่เร็วและแรงที่สุดเป็นการขยายเครือข่ายสถานีการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ระหว่างประเทศที่ยาวที่สุดของเชลล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเชื่อมการเดินทางระหว่างประเทศไทย มาเลเซียและสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง โดยเชลล์ตั้งใจยกระดับประสบการณ์การขับขี่ข้ามพรมแดนที่ราบรื่นและไร้ขีดจำกัด
Shell Recharge เกิดจากความร่วมมือของบริษัทชั้นนำระดับโลก ซึ่งผู้นำในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์และพลังงาน อย่างเชลล์และปอร์เช่ โดยมีจุดหมายร่วมกันในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและการดำเนินธุรกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อขับเคลื่อนสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ก้าวไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ปัจจุบัน เชลล์พร้อมให้บริการ Shell Recharge ที่สถานีปั๊มน้ำมันและศูนย์บริการปอร์เช่ทั่วประเทศไทยทั้งหมด 13 สถานี ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Shell Recharge
อ้างอิง
- Shell Thailand. ประวัติเชลล์ในประเทศไทย. https://bit.ly/3Rvesjj
- Shell Thailand. ความเป็นมาของเชลล์ในประเทศไทย. https://bit.ly/3GNJGx5