pe©ple

“อีฟเป็นแค่คนบันทึกโลกในแบบที่เป็น ถ้าใครเห็นว่าภาพถ่ายของอีฟสวย ไม่ได้หมายความว่าอีฟถ่ายรูปเก่ง แต่โลกนี้สวยอยู่แล้ว ต้องขอบคุณโลกที่สวยงามแบบนี้”

อีฟ-มาริษา รุ่งโรจน์ เอ่ยไว้ เมื่อเราถามว่า ทำไมภาพถ่ายของเธอมีเสน่ห์จนทำให้เพจ Above The Mars ที่เธอทำร่วมกับเพื่อน (หยก-อุดมพร หงษ์ลัดดาพร) ที่มียอดโฟลโล่วมากกว่า 100,000 คน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอบอกว่ามาไกลเกินฝัน

eve

ล่าสุดอีฟเปิดตัวนิทรรศการภาพถ่ายเดี่ยวครั้งแรกของตัวเองในชื่อ The Temporary Observer หลังจากที่เป้าหมายการถ่ายรูปจากการเดินทางของเธอเปลี่ยนไป และอยากให้คนที่ชื่นชอบภาพของเธอมีโอกาสได้มาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยตรงแบบเห็นหน้าค่าตา  

eve

“อีฟรู้สึกดีที่ได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากกว่าการดูภาพบนเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม เป็นเรื่องดีที่เราจะได้ถามตอบหรือพูดคุยกัน”

หากใครได้เจออีฟขณะเดินชมนิทรรศการครั้งนี้ อย่าลืมถามไถ่ถึงความรักในการถ่ายภาพของเธอ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละช่วงเวลา เพราะเธอค้นหา ทดลอง และพร้อมเปิดกว้างเรียนรู้โลกอยู่เสมอ

eve

แต่หากไม่มีโอกาสได้สนทนากับเธอ common ขอชวนทำความรู้จักศิลปินสาวคนนี้ผ่านบทสัมภาษณ์ที่เธอเล่าหลายอย่างให้ฟัง ทั้งเรื่องวัยเด็ก มุมมองการถ่ายภาพที่เปลี่ยนไป รวมทั้งความฝันที่เธออยากใช้ศิลปะทำประโยชน์ให้สังคม

เริ่มชอบถ่ายรูปตั้งแต่ตอนไหน

ไม่ค่อยมีใครถามคำถามนี้ จริงๆ อีฟชอบถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ชอบศิลปะมาตั้งแต่จำความได้ และเชื่อว่าตัวเองทำงานศิลปะได้มาตลอด จำได้ว่า ตอนอยู่ป.3 ต้องวาดรูปให้พี่สาวที่อยู่ป.6 (หัวเราะ) แล้วเรียนด้านศิลปะมาโดยตลอด และตอนมหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนภาพพิมพ์ ซึ่งงานภาพพิมพ์ก็ออกมาคล้ายๆ ถ่ายภาพ มีเรื่องของเลเยอร์ เรื่องการวางคอมโพสิชั่น เรื่องของการใช้สี ซึ่งเราเอาตรงนั้นมาใช้กับงานภาพถ่ายด้วย

eve

จุดเริ่มต้นในการลงรูปสวยๆ ในโซเชียลมีเดียของคุณเกิดขึ้นเมื่อไร

อีฟเริ่มจากใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูป และชอบจัดหน้าอินสตาแกรมมานานประมาณ 6-7 ปีก่อน ทำมาเรื่อยๆ อีฟไม่ชอบให้อินสตาแกรมของตัวเองรก เพราะถือเป็นแกลเลอรี่ส่วนตัว เราซีเรียสกับมัน ถึงขั้นที่ว่าลบรูปที่คิดว่าไม่สวยออกไปเลย เพื่อนๆ ก็ถามว่าทำแบบนี้ทำไม เราก็ตอบว่า แค่ไม่อยากให้ดูรก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครสนใจไอจีของเรา เห็นอยู่คนเดียว

eve

คุณเคยพูดถึงการเดินทางว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น

อย่างแรกอีฟคิดว่าตัวเองโชคดีตรงที่รู้ว่าอยากทำอะไรมาตั้งแต่ต้น และโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าอยู่กับมันได้ตลอดเวลา เราเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้นาน และไม่ชอบอยู่ในระบบมาก อาจเพราะอีฟคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กประเภทที่ผู้ใหญ่เอ็นดูมาก เพราะเป็นคนไม่ค่อยพูด เงียบๆ ไม่ใช่คนตลกแบบยิงมุกกับใครได้ เราชอบอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว ขอแค่มีพาร์ทเนอร์อีกสักคนที่เข้าใจกันมากๆ ทำให้อีฟไม่เคยทำงานประจำ อีฟไม่เคยกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะชีวิตมันก็คือความไม่แน่นอน แต่อาจจะเป็นแค่ช่วงอายุนี้ก็ได้ที่ทำให้เราคิดแบบนี้ แต่ความสดทำให้เราได้สร้างสรรค์ผลงาน ความสดในความคิดที่ไม่ค่อยกลัวอะไร ทำให้เราอยากทำอะไรก็ทำ

eve

พอเดินทางมากๆ มีจุดอิ่มตัวบ้างไหม

จริงๆ หลังจากเดินทางได้ 2 ปี เราเห็นความสวยงามจนชินทำให้เริ่มเห็นความสวยงามยากขึ้น ไม่มีความตื่นเต้นอะไรแล้ว ถ่ายรูปแล้วไม่สนุก มันส่งผลไปถึงมุมมองต่อการถ่ายภาพเหมือนกัน เพราะเมื่อเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราเห็น หรือเราไม่พยายามหามุมมองใหม่ๆ มันก็ย่อมส่งผลให้ภาพถ่ายของเราเริ่มไม่มีชีวิต อีฟไม่ชอบให้ตัวเองอยู่ในสภาวะแบบนี้ คิดได้ว่าต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง

eve

แก้ปัญหานี้อย่างไร

พยายามกลับไปรักการถ่ายรูปใหม่อีกครั้ง โดยลองอยู่กับตัวเองและหยุดเดินทาง แต่ยังอยากไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ๆ อีฟจึงตัดสินใจไปอยู่อังกฤษ คือหยุดเดินทาง แต่ไปอยู่ในที่ใหม่ๆ นานขึ้น แล้วไปพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ไปงานดนตรี ไปเจอคนใหม่ๆ ไปให้เพื่อนวิจารณ์งาน ไปหาแรงบันดาลใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้มีความรู้สึกอยากถ่ายรูปอีกครั้ง

eve

ไม่ได้คิดอยากหยุดถ่ายรูป แล้วไปลองทำอย่างอื่น?

ไม่เลย เพราะถ้าหยุดถ่ายรูป เราไม่รู้จะทำอะไร มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรายังมีตัวตนอยู่ การถ่ายภาพเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเรามีเรื่องสื่อสารกับคนอื่น เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อีฟมีเรื่องคุยกับคนอื่น เพราะปกติอีฟคุยไม่เก่ง เรียกได้ว่าภาพถ่ายเสมือนเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เราได้เชื่อมโยงกับผู้คน

หากมองภาพถ่ายในฐานะสิ่งที่ทำให้คุณเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ เวลาลงภาพแต่ละใบ คุณแคร์ยอดไลก์ แชร์ มากน้อยแค่ไหน

อีฟมองว่าเราใกล้เข้าสู่ยุคของการที่ไม่สนใจเรื่องของจำนวนการโพสต์ แต่คนจะหันมาสนใจเรื่องคุณภาพกันมากขึ้น และสิ่งที่จะทำให้อีฟกับหยกอยู่ได้คือ การทำให้เพจของเราเป็นเหมือนวันแรกที่เราทำ นั่นคือ ทำอย่างจริงใจ และต้องทำให้ดีขึ้น

ทุกวันนี้เพจมีเยอะมาก เหมือนคาเฟ่หรือร้านอาหาร ซึ่งผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น เราจะทำเพจกันแบบไม่ตั้งใจ ไม่ได้ ปีที่แล้วเพจก็เงียบไปมาก เพราะอีฟกับหยกก็ต่างแยกย้ายไปทำงาน แล้วพอไปเจออะไรในชีวิตจริงเยอะๆ แล้วรู้สึกว่าเราต้องอัพเดตทุกอย่างในทุกวันไหม

eve

มีช่วงเวลาที่รู้สึกแบบนี้ด้วย

ใช่ๆ แต่อีฟคิดได้ว่าถ้าไม่มีเพจนี้ คนอื่นจะไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ หรือคิดอะไร อีฟกับหยกจึงพยายามกลับมาตั้งใจทำเพจมากขึ้น อีฟเชื่อว่าคนที่ตั้งใจทำอะไร เค้าจะอยู่ได้ ส่วนคนที่ไม่ใช่ เค้าจะค่อยๆ หายไปในแบบของเขาเอง เวลาจะช่วยทำให้คนรู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริง หรือไม่ชอบอะไร รวมทั้งช่วยให้คนที่ติดตามเห็นด้วยว่า เขาต้องการอะไร

อย่างตัวอีฟเองจริงๆ ไม่ค่อยเปิดไอจีเท่าไร 2 เดือนที่แล้วไม่อัพอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูด ก็เลยเลือกเงียบๆ ไป และมีความคิดว่า การถ่ายภาพของเราอาจเปลี่ยนไปตามความชอบของคนในไอจี เพราะตัวเราถูกตัดสินตลอดเวลาด้วยยอดไลก์และยอดแชร์ ทำให้บางครั้งเราเปลี่ยนทิศทางการถ่ายรูปไปตามสิ่งที่คนชอบ

eve

แสดงว่ายอดไลก์ยอดแชร์มีส่วนในการกำหนดทิศทางของเนื้อหา และอาจทำให้คนสูญเสียความเป็นตัวเอง ซึ่งคุณก็เคยตกอยู่ในภาวะแบบนั้น

เคย อีฟคิดว่าหลายคนอาจเป็นอยู่ หลายคนยอมหยุดโพสต์ในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วโพสต์ในสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นแทน ซึ่งอีฟเคยเป็นแบบนี้ เราชอบถ่ายภาพอะไรก็ไม่รู้ เช่นอะไรที่ตกตามพื้น แล้วเมื่อลองโพสต์ไป คนไม่ชอบ คนไลก์น้อย ทำให้เรารู้สึกเฟลและรู้สึกแย่กับตัวเอง คิดว่ารูปนี้อาจจะไม่ดี ถ่ายแนวนี้ไม่เวิร์ค ลองกลับมาถ่ายในแนวทางที่คนอื่นชอบ ซึ่งความคิดทั้งหมดนี้ ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังตามกระแสหลัก โดยที่ลืมความชอบของตัวเอง 

คือความคิดเราถูกทำให้เปลี่ยนไปโดยโซเชียลมีเดีย ช่วงหลังอีฟเลยใช้มันน้อยลง เรายังเปิดดูบ้าง แต่ไม่ได้จำกัดความคิดว่างานของเราต้องลงอินสตาแกรมเท่านั้น มันไม่ใช่แกลเลอรีเดียวที่เรามี

eve

พูดถึงแกลเลอรี่และการมีนิทรรศการเดี่ยวของตัวเอง มันคือการทำงานในฐานะศิลปินหรือเปล่า

คำว่าศิลปินเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ แต่วันนึงก็อยากไปถึง ณ ตรงนั้น ตอนนี้ตัวเองเป็นเหมือนเป็นคนที่สนใจงานถ่ายภาพ แต่ปัจจุบันคงไม่ใช่บล็อคเกอร์ท่องเที่ยว เพราะถึงแม้ว่าเราเริ่มต้นมาจากตรงนั้นแต่มันเป็นเหมือนพาร์ทหนึ่งของการทำงานในช่วงที่ผ่านมา อาจเพราะบล็อคเกอร์เป็นอาชีพที่ทำงานหนักมาก เขียนรีวิวได้เป็นเรื่องยาวๆ และเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เราจึงเลือกแสดงออกเป็นภาพถ่ายเพื่อสื่อสารแทน

eve

ได้ลองทำสารคดีอะไรบ้างตอนไปเรียนต่อด้านนี้

อีฟมีโอกาสได้ทำเรื่องคนที่ใช้ชีวิตบนเรือ ตอนนั้นเราอยากพูดถึงปัญหาของพวกเขา มันเริ่มต้นจาก ความอยากเข้าไปเห็นบ้านคนอื่น อยากเห็นว่าการใช้ชีวิตในเรือเป็นอย่างไร อยากทำเรื่องนิยามความเป็นบ้านของพวกเขา มันเกี่ยวกับพื้นที่ไหม จำเป็นต้องมีสวนหลังบ้านหรือเปล่า เพราะเรือมีขนาดเล็กมากๆ การใช้ชีวิตก็จะมีข้อจำกัดเยอะ เราอยากนำเสนอเรื่องตรงนั้น

แต่ท้ายที่สุดดันลามไปถึงเรื่องของเศรษฐกิจในลอนดอน ซึ่งเศรษฐีชาวเอเชียไปกว้านซื้อบ้านแล้วไม่ไปอยู่ ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น เลยถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำสารคดี อีฟอยากจะทำสารคดีโดยไม่ใช้เส้นเรื่องแบบเดิมๆ ซึ่งอาจมีความจริงมากเกินไปคล้ายข่าว หรือบันทึกมันในแบบเดิมๆ เล่าแบบตีแผ่ร้อยเปอร์เซนต์ อาจทำให้คนเสพไม่มีโอกาสได้คิดต่อ และส่วนตัวรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ เลยอยากลองเล่าเรื่องแบบใหม่ให้คนตีความ คือเล่าไม่หมดและให้คนได้คิดต่อตามประสบการณ์ตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ฝึกฝนอยู่

eve

นอกจากความรู้ การไปเรียนด้านนี้ได้อะไรบ้าง

มันเปลี่ยนเราเยอะเลย อีฟถ่ายรูปได้น้อยลง แต่ว่าชอบรูปตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนเวลาเราเดินทางทริปหนึ่ง อาจได้ภาพถ่ายประมาณ 2-3 พันภาพ หรือมากถึง 6 พันภาพ แต่ว่าพอไปเรียนและอยู่ที่นั่น นานประมาณ 7 เดือน แต่กลับมีภาพไม่กี่พันภาพ ซึ่งน้อยมากเลยสำหรับคนที่แบกกล้องออกไปทุกวัน เลยคิดว่าการถ่ายภาพมันไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ที่เราชอบมันมากแค่ไหน

eve

แล้วอยากพัฒนาตัวเองไปด้านไหนอีก

เราอยากพัฒนาตัวเองไปในแนวศิลปะบำบัด (Atr Therapy ) ส่วนตัวอีฟคิดว่าโลกนี้วุ่นวาย ถ้าได้มีโอกาสทำงานกับคน ทำให้ผู้คนมีจิตใจสงบสุขหรือมีจิตใจดีขึ้นได้ เราอยากทำตรงนั้น เพราะเราเชื่อว่า ถ้าคนเราใจเย็นขึ้นหรือมีความสุขมากขึ้น จะช่วยให้โลกนี้มันน่าอยู่ขึ้นตามไปด้วย

eve

ตามไปทำความรู้จักศิลปินสาวคนนี้ให้มากขึ้นได้ในนิทรรศการ The Temporary Observer ที่ The Jam Factory ตั้งแต่วันนี้ถึง 22 มีนาคม 2563.

ขอบคุณ Featherstone Bistro Café & Lifestyle Shop เอื้อเฟื้อสถานที่สำหรับถ่ายภาพ