pe©ple

“ฉันเป็นสายลับ”

วิเวียนมักจะตอบแบบนี้ เมื่อใครสักคนอยากทำความรู้จักกับเธอ เธอแสร้งทำเป็นพูดภาษาอังกฤษสำเนียงคอนเนตทิคัต ปกปิดเรื่องชาติกำเนิด วิเวียนเป็นคนลึกลับเช่นนี้มาเสมอ จึงไม่มีใครเลยแม้สักคนเดียวที่ได้เข้าไปเยือนโลกของเธอ จนกระทั่งในปี 2007 มีคนพบฟิล์มเนกาทีฟราวๆ แสนภาพ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานภาพถ่ายฝีมือวิเวียน

จอห์น มาลูฟ เป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปเยือนโลกของวิเวียน ในปีนั้นเขาเป็นนักเขียนที่กำลังจะเขียนหนังสือ Portage Park โปรเจ็คต์ที่อยากเล่าเรื่องเมืองเก่าในชิคาโก เขาและเพื่อนจึงพยายามรวบรวมภาพฟิล์มเก่าๆ ของชิคาโก จนกระทั่งไปประมูลได้ฟิล์มเนกาทีฟในยุค 60 ปริศนากล่องหนึ่งมาในราคา 400 เหรียญฯ พอมานั่งดูภาพแล้วเขาพบว่ามันยังไม่ตอบโจทย์โปรเจ็กต์นี้ เขาจึงเก็บมันไว้อย่างเดิม

June 25, 1961

2 ปีผ่านไปจอห์นเริ่มสนใจเรื่องการถ่ายภาพ เขาจึงหยิบกล่องฟิล์มเก่ามานั่งดูอีกครั้ง แล้วพบว่าภาพเหล่านั้นมีชีวิตชีวา มีมิติและบอกเรื่องราวของยุคสมัยได้อย่างงดงาม เขาจึงเริ่มตามหาช่างภาพ โดยที่มีเบาะแสเพียงอย่างเดียวคือชื่อ ‘วิเวียน ไมเออร์’ ที่กำกับอยู่ในกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แสดงความเป็นเจ้าของม้วนฟิล์มเหล่านั้น

หลังจากตามหาอยู่นาน เขาก็พบว่าวิเวียนเพิ่งจากโลกนี้ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ในบ้านพักคนชรา และเธอคนนี้ไม่ใช่ช่างภาพที่โด่งดังอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้แต่อย่างใด แต่เธอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งดูไม่มีจุดไหนเชื่อมโยงกับการถ่ายภาพได้เลย

1954. New York, NY

นอกจากฟิล์มกว่าแสนภาพ จอห์นใช้เวลาเป็นปีๆ รวบรวมงานของวิเวียนได้เกือบทั้งหมด ภาพพิมพ์อีก 3,000 ภาพ ฟิล์มอีกหลายร้อยม้วน ม้วนวิดีโอ เทปเสียงที่อัดเอาไว้ และของสะสมจุกจิกอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหนังสือพิมพ์ ใบเสร็จที่เธอเก็บใส่แฟ้มพลาสติกไว้อย่างดี รวมถึงจดหมายจ่าหน้าซองถึงเธอ จากครอบครัวที่วิเวียนเคยไปทำงานด้วย ซึ่งหลักฐานชิ้นสำคัญเหล่านี้ทำให้จอห์นค่อยๆ ปะติดปะต่อชีวิตของวิเวียนได้ และสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่รู้จักวิเวียนสงสัยมาเสมอคือ ทั้งๆ ที่รักการถ่ายภาพขนาดนี้ แต่ทำไมเธอถึงเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และไม่เคยอวดผลงานตัวเองสู่สายตาชาวโลกเลยสักครั้ง

วิเวียนเป็นชาวอเมริกันที่เกิดในนิวยอร์ก ปี 1926 แม่เป็นชาวฝรั่งเศส ส่วนพ่อเป็นชาวออสเตรีย ในวัยเด็กเธออาศัยอยู่กับแม่และจีนน์ เบอร์ทรานด์ (Jeanne Bertrand) ช่างภาพหญิงที่ได้รับการขนานนามให้เป็นสุดยอดช่างภาพคอนเนตทิคัตในยุคนั้น โดยไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นพ่อ ว่ากันว่าความรักในการถ่ายภาพของวิเวียนได้รับอิทธิพลมาจากเธอคนนี้ 

แม้จะเกิดในนิวยอร์กแต่วิเวียนใช้ชีวิตวัยรุ่นของเธอส่วนใหญ่ในฝรั่งเศส เธอเริ่มถ่ายภาพด้วยกล้อง Kodak Brownie ซึ่งเป็นกล้องสำหรับมือใหม่ ใช้งานง่าย ไม่ค่อยซับซ้อนมากนักเพราะมีออโต้โฟกัสและปรับรูรับแสงไม่ได้ 

Self-Portrait, May 5th, 1955

เธอกลับมายังอเมริกาอีกครั้งในปี 1951 มาอยู่ในเมืองเซาธ์แทมป์ตันและเพื่อเริ่มต้นเป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครรู้ว่าเธอรักอาชีพนี้หรือไม่ แต่สำหรับวิเวียนแล้วงานนี้จะทำให้เธอมีที่อยู่ มีเงินใช้สำหรับท่องเที่ยวเพื่อถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เธอไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของอะไร แล้วย้ายถิ่นฐานไปได้เรื่อยๆ ตามที่ต้องการ

ในปี 1956 วิเวียนย้ายมาปักหลักที่ชิคาโก เธอมักจะสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์ หมวกฟล็อปปี รองเท้าบูตแบบผู้ชาย ผมสั้นทะมัดทะแมง กระโปรงตัวยาว เธอมักจะสะพายกล้อง Rolleiflex ตัวโปรดซึ่งมีราคาสูงและคุณภาพดีกว่าตัวเก่าไปด้วยทุกที่ ไม่ใช่แค่กล้องที่คุณภาพดีขึ้นเพียงอย่างเดียวแต่สายตาของเธอที่มองอยู่หลังเลนส์ก่อนจะกดชัตเตอร์ก็เฉียบแหลมขึ้นด้วยเช่นกัน

เธอมักจะเดินลัดเลาะตรอกซอกซอย ตระเวนไปตามถนนแล้วถ่ายภาพของผู้คนไปเรื่อยๆ พาเด็กๆ ไปเก็บสตรอว์เบอร์รี เดินเตร็ดเตร่ตามถนน ไปดูโรงฆ่าสัตว์ โดยที่บ่อยครั้งเธอจะเจอสิ่งที่น่าสนใจจนปล่อยเด็กๆ ให้หลงทางอยู่คนเดียว ครั้งหนึ่งเธอหายตัวเข้าไปในซอยเล็กๆ แล้วทิ้งเด็กในความดูแลเอาไว้ จนตำรวจต้องตามหาตัวผู้ปกครองกันจนวุ่น

วิเวียนไม่ได้แต่งงาน ไม่มีคนรัก และไม่มีเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว เธอเก็บตัวและหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวเป็นที่สุด ไม่มีใครเลยที่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องของเธอ เพราะมันจะถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาจากคำบอกเล่าของหลายๆ คนที่เคยบังเอิญเข้าไปเห็น พวกเขาเผยว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยกองหนังสือพิมพ์ที่สูงท่วมหัว รวมถึงข้าวของจุกจิกที่เธอสะสมเอาไว้แน่นขนัด ชนิดที่ว่ามีพื้นที่พอให้ขยับตัวเพียงเท่านั้น

ของสะสมที่เธอหวงที่สุดคงจะเป็น ‘พาดหัวข่าว’ บนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ชนิดที่ว่าเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนเสียสติ เมื่อครั้งหนึ่งเคยมีคนหยิบกองหนังสือพิมพ์ของเธอไปรองพื้นขณะทาสี ข่าวที่ว่ามักจะเป็นข่าวร้ายที่เกิดขึ้นในเมือง ข่าวที่ท้าทายศีลธรรม หรือเผยให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเผชิญกับอะไรมาบ้าง จนทำให้คลั่งไคล้การสะสมของพรรค์นี้ แต่หลายๆ คนที่รู้จักวิเวียนบอกว่าที่เธอเป็นนักเสรีนิยมหัวก้าวหน้าที่เฉลียวฉลาด มองเห็นความบิดเบี้ยวในสังคม และมักจะชี้ชวนให้เรามองเห็นความโหดร้ายผิดมนุษย์มนาที่โชว์หราอยู่บนพาดหัวข่าวตลอดเวลา

สิ่งนี้ไม่ได้แสดงออกเฉพาะสิ่งที่เธอสะสมเท่านั้น แต่ยังถูกเล่าผ่านภาพถ่ายของเธอด้วย สิ่งที่เธอถ่ายมักแสดงออกถึงสังคมที่บิดเบี้ยว ด้านที่ไม่งดงามของมนุษย์ ความชรา สกปรก ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แบบ เด็กกำลังร้องไห้ คนเจ็บป่วย ในหลายๆ ภาพของเธอมักจะฉายให้เห็นแต่ความไม่สมบูรณ์แบบของโลกใบนี้ นั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ภาพของเธอมีเสน่ห์

September 24, 1959. New York, NY

นอกจากเดินถ่ายภาพทั่วเมืองในชิคาโก ช่วงปี 1950 – 1960 วิเวียนยังเดินทางไปถ่ายภาพยังหลายประเทศทั่วโลกเพียงลำพัง ทั้งแคนาดา อเมริกาใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง ฟลอริดา หมู่เกาะแคริบเบียน เอเชีย รวมถึงประเทศไทย ภาพของเธอจึงบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ไว้มากมายทั้งตอนที่ชาวยูสโลวาเกียกำลังฝังศพจักรพรรดิซาร์ หรือภาพของชาวชิคาโก้ที่กำลังต้อนรับลูกเรือยานอวกาศอะพอลโลกลับบ้าน

Self-Portrait in Bangkok, Thailand – June 15, 1959

ในช่วงทศวรรษ 1980 วิเวียนออกจากงานพี่เลี้ยงและเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน เธอหยุดถ่ายภาพไปพักหนึ่งแล้วย้ายมาอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ โดยได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวที่เธอเคยทำงานด้วย เธอเคยประสบอุบัติเหตุลื่นล้มศีรษะกระแทกแผ่นน้ำแข็งใจกลางสวนสาธารณะในเมืองชิคาโก จนกระทั่งมีคนไปพบเธอเข้าและพาส่งโรงพยาบาล วิเวียนรักษาตัวอยู่ในบ้านพักคนชราเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วยสุขภาพที่ทรุดโทรม เธอจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่ทิ้งข้าวของมหาศาล รวมถึงภาพถ่ายที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เอาไว้

“ก่อนอื่นเลย ฉันคิดว่ามันไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป เราจึงต้องสร้างพื้นที่ให้กับคนอื่นด้วย ซึ่งนั่นมันเหมือนกับชิงช้าสวรรค์ ที่เราขึ้นไปแล้วต้องรอให้หมุนจนจบ และขณะที่มันหมุนอยู่ คนที่มีโอกาสเหมือนกับเราก็จะได้ขึ้นมาอยู่ในวัฏจักรเดียวกันและมุ่งไปยังจุดจบแบบนี้ไปเรื่อยๆ” วิเวียนเคยกล่าวเอาไว้เช่นนี้

คำถามที่ไม่เคยมีใครรู้คำตอบคือ ‘ทำไมเธอถึงถ่ายภาพ’ ไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้ นอกจากตัวของวิเวียนเอง แม้ว่าวันนี้เธอจะต้องลงจากชิงช้าสวรรค์ โบกมือลาจากโลกใบนี้และกล้องถ่ายภาพไป แต่ถึงอย่างนั้นภาพถ่ายของเธอก็ถือเป็นผลงานที่โลกต้องจดจำ และนอกจากทั้งชีวิตที่อุทิศให้กับอาชีพพี่เลี้ยงเด็กแล้ว วิเวียนยังถูกจดจำในฐานะช่างภาพที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ที่ทิ้งผลงานภาพถ่ายสตรีทที่น่าประทับใจเอาไว้อีกด้วย

อ้างอิง