w©rld

กรกฎาคม 2564 เป็นเดือนที่โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดในรอบ 142 ปี 

องค์การบริหารด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration-NOAA) เปิดเผยข้อมูลจากการคำนวณค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิบนพื้นผิวดินและผิวน้ำ พบว่า ตัวเลขอุณหภูมิสูงกว่าเมื่อศตวรรษที่ 20 ไปถึงเกือบ 1 องศาเซลเซียส และร้อนกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 0.01 องศาเซลเซียส 

heatwave
Photo: Valery HACHE / AFP
คลื่นความร้อนที่แผ่ไปทั่วทวีปยุโรปส่งผลให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวในเฟรนช์ริเวียร่าพากันมาพักผ่อนคลายร้อนริมชายหาดอย่างเนืองแน่น
heatwave
Photo: Alberto PIZZOLI / AFP
องศาที่เดือดจัดกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี ทำให้สาวๆ กลุ่มนี้พากันยืนจ่อหน้าพัดลมไอเย็นเพื่อคลายความร้อนที่ยิ่งวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกแม้เพียงเสี้ยวทศนิยมสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติระดับมหาศาล ชนิดที่มนุษย์คาดไม่ถึง 

และโดยไม่ต้องคาดการณ์อีกต่อไป โลกก็ได้ส่งสัญญาณให้เราเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะในรอบหนึ่งเดือนเดียวที่ผ่านมาก็ชี้ชัดแล้วว่า ดาวเคราะห์สีฟ้าของเรากำลังเข้าขั้นโคม่า 

wildfire
Photo: Ryad KRAMDI / AFP
สภาพของบ้านกลางป่าในภูมิภาคคาบิลลี ทางตะวันออกของเมืองหลวงของแอลจีเรีย ถูกเพลิงเผาวอดเป็นจุณไปพร้อมกับพื้นที่ป่าที่หายไปเป็นวงกว้าง

 

ไล่มาตั้งแต่ไฟป่าที่โหมทำลายหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา รัสเซีย กรีซ อิตาลี แอลจีเรีย ตุรกี และแคนาดา โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ ที่แม้ปกติแล้วจะเกิดไฟป่าทุกปี แต่ปีนี้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม โดยมีพื้นที่ป่าถูกเผาไหม้แล้วกว่า 8.8 ล้านไร่   

ส่วนที่กรีซนั้นเกิดไฟป่ามากถึง 586 จุดทั่วทุกมุมของประเทศ เผาผลาญบ้านเรือนไปหลายร้อยหลังคาเรือน ทำให้ต้องอพยพประชาชนถึง 63 ครั้งในช่วงเวลาไม่กี่วัน โดยเกาะเอเวีย ซึ่งเป็นเกาะใหญ่อันดับสองของกรีซ ได้ถูกไฟป่าเผาผลาญพื้นที่ของเกาะไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง 

wildfire
Photo: ANGELOS TZORTZINIS / AFP
ชาวบ้านในหมู่บ้านเพฟกีบนเกาะเอเวีย ประเทศกรีซ กำลังช่วยนักผจญเพลิงถือสายยางเพื่อเร่งดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564

 

เช่นเดียวกับตุรกี ที่ต้องเผชิญฤดูไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยเกิดไฟป่าขึ้นกว่า 500 แนว บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของประเทศ ผลาญพื้นที่ป่าของตุรกีไปกว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เมืองรีสอร์ตริมทะเลต้องอพยพหนีไฟป่าที่ลามเข้าประชิด โดยใช้เวลานานร่วม 2 สัปดาห์ถึงจะควบคุมสถานการณ์ได้เป็นส่วนใหญ่ 

wildefire
Photo: JOSH EDELSON / AFP
หน้าจอโทรศัพท์ของประชาชนที่พักอาศัยในเมืองกรีนวิลล์ แสดงข้อความเตือนให้รีบอพยพออกจากที่พักอาศัย เนื่องจากไฟป่าดิกซีที่กำลังโหมทำลายพื้นที่ป่าทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังลามมาสู่เขตที่อยู่อาศัยของชาวเมือง
wildfire
Photo: JOSH EDELSON / AFP
แม้จะได้รับการแจ้งเตือนให้รีบย้ายออกจากที่พักอาศัย แต่ชายวัยเลยเกษียณอย่าง จอน แคปเปิลแมน (Jon Cappleman) ยืนยันว่าจะยืนหยัดต่อสู้กับไฟป่าดิกซีด้วยตนเอง โดยไม่ขอย้ายออกจากบ้านเด็ดขาด

 

ทางด้านยุโรปตะวันตกก็ประสบกับอุทกภัยขนาดใหญ่ ที่ถือเป็นภัยพิบัติรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีครอบคลุมพื้นที่ประเทศเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม ส่งผลให้บ้านเรือนและถนนเสียหายอย่างหนัก โดยเยอรมนีได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด นักวิจัยเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฝนตกอย่างต่อเนื่อง จนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ขึ้น 

flood
Photo: STR / AFP
ภาพถ่ายจากมุมสูงแสดงให้เห็นถึงซากตึกในเมืองโบซเคิร์ท ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอีซีนใกล้ทะเลดำในประเทศตุรกี ที่พังทลายจากการถูกกระแสน้ำป่าไหลบ่าเข้าทำลายอย่างรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที
flood
Photo: Yasin AKGUL / AFP
ซากรถยนต์จำนวนมากที่ถูกพัดมากองรวมกับดินโคลนหลังถูกถล่มโดยอุทกภัยครั้งใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติตุรกี
flood
Photo: François WALSCHAERTS / AFP
สภาพทิวแถวของรถยนต์ในเมืองแวร์วิเยร์ ประเทศเบลเยียม ที่ถูกความรุนแรงของกระแสน้ำที่ท่วมขึ้นอย่างฉับพลันจากน้ำล้นตลิ่งซัดจนเกยซ้อนกันอย่างที่เห็น โดยทางการเบลเยียมประกาศให้วันที่ 20 กรกฎาคม เป็นวันรำลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตและสูญหายจากอุทกภัยในครั้งนี้
flood
Photo: JOHN THYS / AFP
เด็กน้อยชาวเบลเยียมกำลังช่วยทำความสะอาดบ้าน หลังเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
flood
Photo: SEBASTIEN BOZON / AFP
สภาพบนทางหลวงสาย B265 ทางตะวันตกของเยอรมนี ที่ระดับน้ำสูงจนท่วมรถยนต์พังเสียหายจนเกือบมิดคัน
flood
Photo: CHRISTOF STACHE / AFP
ชายหนุ่มกำลังเข็นรถสาลี่ผ่านซากตึกที่เพิ่งถูกพังถล่มจากเหตุน้ำท่วมครั้งรุนแรงทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี

 

ประเทศจีนเองก็ประสบเหตุน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 1,000 ปี พังทั้งเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ดินถล่ม รวมถึงท่วมลงในรถไฟใต้ดิน ทำให้ต้องอพยพผู้คนกว่า 376,000 คนออกจากพื้นที่ สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและเศรษฐกิจขนาดหนัก 

flood
Photo: NOEL CELIS / AFP
ชาวเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน โดยสารบนรถตักดินเพื่ออพยพออกจากพื้นที่น้ำท่วม หลังเผชิญพายุฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงเกิน 200 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดกระแสน้ำท่สมไหลเชี่ยวกรากทั่วทั้งเมือง

 

และล่าสุดเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศเฮติต้องเผชิญโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในรอบสิบปี จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ทางตะวันตกของประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 300 คน และไร้ที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก 

earthquake
Photo: REGINALD LOUISSAINT JR / AFP
สภาพของโบสถ์ในเมืองเลสคาเยส ประเทศเฮติ ที่พังถล่มหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ ในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
earthquake
Photo: REGINALD LOUISSAINT JR / AFP
ชาวเฮติจำนวนมากที่บ้านเรือนถูกพังถล่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ ต้องใช้ชีวิตกลางดินกินกลางทราย ในขณะการค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในซากอาคารหลายแห่งยังดำเนินต่อไป

 

นับวันธรรมชาติยิ่งส่งสัญญาณเตือนชาวโลกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัญหาในอนาคตหรือเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป

อ้างอิง