แพลตฟอร์มแอพเรียกรถอย่าง Grab และ Uber ตีญี่ปุ่นไม่แตก ทั้งๆ ที่ค่าแท็กซี่แสนแพง…เพราะอะไร?
สรุปแบบรวบยอดง่ายๆ เลย ก็คือ รถแท็กซี่ญี่ปุ่น…
- ระบบขนส่งสาธารณะดีและถูก
- ภายในรถสะอาด คนขับสุภาพ ขับรถปลอดภัย ที่สำคัญไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร
- มีบริการออกใบเสร็จรับเงิน ใบเสร็จนี้จะมีชื่อนามสกุลของคนขับอยู่บนนั้น ซึ่งถ้าหากว่าเราลืมของไว้บนรถแท็กซี่ก็สามารถตามหาของได้
- แท็กซี่ญี่ปุ่นทอนเงินเป๊ะ ไม่มีการปัดขึ้น การเตรียมเศษเงินทอนให้ผู้โดยสารเป็นหน้าที่ของคนขับ
หลายข้อที่กล่าวมา เพื่อนๆ บางคนอาจจะรู้อยู่แล้ว วันนี้เราจะมาเจาะลึกว่า เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงให้ความเชื่อมั่นและตัดสินใจเลือก “แท็กซี่” มากกว่าจะใช้แอพ Grab หรือ Uber กัน?
คำตอบง่ายๆ เลยคือคนญี่ปุ่นมั่นใจในตัวของ “คนขับแท็กซี่” ในบ้านเขา เพราะว่ากว่าจะมาเป็นคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
1. ต้องสอบใบขับขี่ 2 ประเภท
คนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นจะต้องถือใบอนุญาตขับขี่ 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 คือใบอนุญาตขับขี่แบบธรรมดา (สำหรับคนทั่วไป) และประเภทที่ 2 ใบอนุญาตขับขี่สำหรับผู้ที่จะขับรถสาธารณะอย่างแท็กซี่ รสบัส ฯลฯ โดยเฉพาะ
สำหรับบุคคลธรรมดา การจะสอบเอาใบอนุญาตก็ต้องเสียเงินค่าสอบอบรม หากไม่เรียนไม่อบรมโอกาสผ่านน้อยมาก แต่หากคุณไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้และไม่ได้มีงบในการออกรถ บางคนก็ใช้วิธีเข้าไปเป็นพนักงานตำแหน่งคนขับแท็กซี่ แล้วบริษัทแท็กซี่ก็จะรับผิดชอบพวกค่าอบรม และค่าทำใบขับขี่ประเภทที่สองให้ แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนนั้น บริษัทก็จะทำการฝึกสอนอย่างเข้มงวดเลยทีเดียว
2. ต้องมีประสบการณ์ขับรถ 3 ปีขึ้นไป
ไม่ใช่ว่าทำใบขับขี่ประเภทที่ 1 ได้แล้ว ก็จะมาทำประเภทที่ 2 ต่อได้ทันที เพราะญี่ปุ่นกลัวว่าหากคุณยังขับไม่คล่อง ก็ไม่ควรมาทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตคน ดังนั้นจึงมีกฎว่า คุณจะต้องถือใบขับขี่ประเภทที่ 1 ให้ครบ 3 ปีก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติเข้ารับการสอบเพื่อเอาใบขับขี่ประเภทที่ 2
3. ต้องสอบผ่านวิชาภูมิศาสตร์
คนขับแท็กซี่ต้องผ่านข้อสอบวิชาภูมิศาสตร์ หากเป็นแท็กซี่ที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดโตเกียว เช่น เมืองโตเกียว มุซาชิโนะ มิตากะ โอซาก้า คานาซาว่า (โยโกฮาม่า, คาวาซากิ, โยโกสึกะ และมิอุระ) คุณต้องผ่านข้อสอบวิชาภูมิศาสตร์นี้
ว่ากันว่าวิชานี้ยากมาก ความยากคือ คุณต้องมีความรู้ความชำนาญในเส้นทางอย่างละเอียด ต้องรู้ชื่อถนน ไฟแดง แยกไหนตัดแยกไหน อาคารต่างๆ สถานีรถไฟ รวมไปถึงพื้นที่สำคัญต่างๆ
ตัวอย่างคำถามของข้อสอบวิชานี้ เช่น จากนิชินิปโปริไปโตเกียวใช้เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด (เทียบของไทยก็คงอารมณ์ประมาณจากลาดพร้าวมาอโศก คุณจะขับรถโดยใช้เส้นทางไหนที่สั้นที่สุด)
คือวัดเลยว่าคุณรู้จักเส้นทางจริงหรือไม่ ซึ่งคำถามมีทั้งหมด 45 ข้อ ต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 36 ข้อ คุณถึงจะผ่านวิชานี้
ว่ากันว่ามีผู้สมัครสอบมากมาย แต่สอบแล้วสอบเล่าก็ยังไม่ผ่านสักที เรียกว่าถ้าอยากเป็นคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นต้องใช้ความพยายามไม่น้อยทีเดียว
4. ต้องมีสุขภาพที่ดี
หากคุณผ่านวิชาภูมิศาสตร์ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือตรวจร่างกาย เนื่องจากเป็นอาชีพที่มีความปลอดภัยของผู้โดยสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าหากว่าผลตรวจสุขภาพออกมาไม่ดี เส้นทางการเป็นคนขับแท็กซี่ของคุณคงจะถึงทางตัน เพราะที่ผ่านมามีหลายคนที่บากบั่นสอบวิชาภูมิศาสตร์จนผ่าน แต่ต้องมาตกเพราะสาเหตุนี้ก็มีไม่น้อย
5. ต้องผ่านการอบรมมารยาท
รับการอบรมมารยาทและการบริการลูกค้า อบรมการโต้ตอบกับลูกค้า มีเวิร์คช็อปจำลองสถานการณ์การคุยกับลูกค้า และวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเว็บไซต์ของบริษัทแท็กซี่ในญี่ปุ่นจริงจังถึงขั้นระบุไว้เลยว่าคนที่มีบุคลิกแบบไหน ถึงจะเหมาะกับอาชีพนี้!
หากผ่านด่านอรหันต์ทั้งหมด ขอแสดงความยินดีด้วยเพราะคุณจะสามารถประกอบอาชีพคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นได้อย่างเป็นทางการ และไม่ต้องคอยกังวลว่าคุณจะต้องตกงานเพราะแอพเรียกรถใดใด
เนื่องจากการคัดเลือกและอบรมที่เข้มงวดโหดหินนี้เอง ทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อมั่นในคนขับแท็กซี่ของพวกเขา.
*ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นในมุมลึกที่คุณไม่รู้ ได้ที่เพจ WA-Japan
อ้างอิง:
- CareerGarden. タクシー運転手になるには. http://careergarden.jp/taxi-untenshu/naruniha
- TaxiJobHowTo. タクシードライバーになるための道のり. http://www.taxijobhowto.com/howto/flow.html