สำรวจ ‘พรมแดน’ โลกจริงในโลกยุคไร้พรมแดน

w©rld

ตั้งแต่ค.ศ. 1969 ที่สหรัฐอเมริกาให้กำเนิดอินเทอร์เน็ต โลกดูเหมือน ‘ไร้พรมแดน’ มากขึ้น และกำแพงการสื่อสารลดลงในทุกวัน

แต่โลกออนไลน์สวนทางกับโลกออฟไลน์ เพราะพรมแดนในโลกความเป็นจริงที่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์ กลับสูงขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น หลังจากเกิดปัญหาการเมืองอันร้อนแรงและดุเดือดระหว่างประเทศในหลายพื้นที่

ทุกวันนี้มีพรมแดนแบ่งอาณาเขตประมาณ 70 แห่งทั่วโลก เพื่อป้องกันคนลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมาย พ่อค้ายาเสพติด และผู้อพยพ โดยถูกกั้นทั้งรูปแบบรั้วไม้ รั้วตาข่าย กำแพงอิฐและปูนแตกต่างกันไป

เขตแดนเหล่านี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว และไม่ใช่สถานที่ทางธรรมชาติอันสวยงาม มีน้อยคนที่อยากไปแล้วจะมีโอกาสได้ไป

common จึงขออาสาพาสำรวจหน้าตาของกำแพงที่กั้นเขต ‘พรมแดน’ ทั่วโลก

border world country — (photo: https://en.wikipedia.org)

พรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก มีความยาวประมาณ 930 กิโลเมตร พื้นที่บางส่วนเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

พรมแดนกลางระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกบางส่วนในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ

ภาพพรมแดนมุมสูงระหว่างประเทศฮังการีและเซอร์เบีย มีระยะทางความยาวทั้งหมดมากกว่า 300 กิโลเมตร

ภาพพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดนในเขตเวสต์แบงก์ ถ่ายจากฝั่งจอร์แดนในวันที่สงบวันหนึ่ง

พรมแดนรั้วเหล็กกั้นตามไหล่เขาระหว่างอิสราเอลตอนใต้และอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบเดดซี

พรมแดนกั้นระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เต็มไปด้วยริบบิ้นสีสันสดใสที่มีข้อความเรียกร้องความสันติภาพระหว่างสองประเทศ

พรมแดนระหว่างประเทศจีนในเมืองเชินเจิ้นและฮ่องกง ตั้งอยู่ท่ามกลางเขตธุรกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งแตกต่างจากพรมแดนประเทศอื่นที่อยู่ในแถบห่างไกลความเจริญ

พรมแดนระหว่างประเทศสโลวาเนียและโครเอเชียเป็นรั่วเหล็กและมีลวดหนามตลอดทั้งพรมแดน เพื่อป้องกันคนลักลอบเข้าเมือง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสองประเทศ

พรมแดนระหว่างประเทศมาซิโดเนียและกรีซเป็นรั่วกั้นแน่นหนาและมีทหารรักษาความปลอดภัยตลอดทั้งวัน เพราะเป็นประตูใหญ่ของผู้อพยพที่หนีเข้าสู่ยุโรป

หนึ่งในพรมแดนที่แปลกตาที่สุดในโลกบริเวณอัตตาริ เมืองชายแดน ในแคว้นปัญจาบทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งอยู่ติดพรมแดนประเทศปากีสถาน ที่หมู่บ้าน วาการ์ ของเมืองลาฮอร์ เพราะมีพิธีลดธงสุดปิดชายแดนเร้าใจ ซึ่งต้องปฏิบัติก่อนช่วงพระอาทิตย์ตกดินทุกวัน โดยดทหารของทั้งสองฝั่งจะตะโกนเชียร์ประเทศตัวเองให้ดังและนานกว่าอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความฮีกเหิม ในฐานะประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างกันมายาวนาน