โลกนี้กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจ รอให้ผู้คนเดินทางไปสัมผัส
เมื่อเร็วๆ นี้ นิตยสาร TIME คัดเลือก 100 สถานที่ที่นักท่องโลกควรไปเยือนในปี 2019
มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ โรงแรมใหม่ ที่ภูมิใจเสนอโดยนักเขียน นักข่าว และผู้เชี่ยวชาญหลายวงการจากทั่วโลก
common คัดสรร 10 สถานที่ทีเด็ดที่อยากให้ทุกคนลองไปเปิดหูเปิดตากันสักครั้งในชีวิต
1.เขตสงวนน่านฟ้ามืดสากล Mata Ki Te Rangi – เกาะพิตแคร์น
คุณเคยไปเที่ยวที่ที่มืดที่สุดในโลกกันไหม
หากยังไม่เคยสัมผัส ลองเดินทางไป Mata Ki Te Rangi International Dark Sky Sanctuary บนหมู่เกาะพิตแคร์น (Pitcairn Islands) กันสักครั้ง
ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีโรงแรมให้พัก แต่นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลไปยังดินแดนกลางมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้
เพราะที่นี่เป็นเขตสงวนน่านฟ้ามืดสากล (international dark-sky sanctuary) ที่ได้รับการจดทะเบียนโดยสมาคมอนุรักษ์ฟ้ามืดสากล (International Dark-Sky Association) ซึ่งทั่วโลกมีเขตสงวนฟ้ามืดสากลระดับเดียวกันเพียง 10 แห่งเท่านั้น
ที่เขตสงวนแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ในช่วงกลางคืนจึงมืดสนิทจนเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าและทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวที่อยากดื่มด่ำกับบรรยากาศคล้ายอยู่นอกโลกแบบนี้ ต้องลงทะเบียนขออนุญาตกับทางเขตอนุรักษ์เสียก่อน พร้อมจองโฮมสเตย์ส่วนตัวในเมือง และต้องเดินเท้าไปตามเส้นทางสุดท้าทายในความมืดไปยังเกาะแห่งนี้
2. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาตาร์ (The National Museum of Qatar) – กาตาร์
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาตาร์ คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ล่าสุดของโลกที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลาสร้างนานกว่า 8 ปี
สถาปัตยกรรมในคอนเซปต์กุหลาบแห่งทะเลของมิวเซียมแห่งนี้ คือสิ่งที่ทั่วโลกจับตามอง เพราะออกแบบโดย ฌอง นูแวล (Jean Nouvel) สถาปนิกชาวฝรั่งเศสผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่อาบูดาบี และ Burj Doha หรือ Doha Tower ตึกทรงข้าวโพดสัญลักษณ์ของเมืองโดฮา
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาตาร์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ทั้งหมดของกาตาร์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโบราณ วิถีชีวิตตลอดพันกว่าปี และเก็บรักษาโบราณวัตถุล้ำค่าของประเทศหลายชิ้น
ทั้งหมดถูกจัดแสดงด้วยเทคโนโลยีทันสมัย สมกับเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยวิทยาการล้ำยุคอย่างทุกวันนี้
3. หอคอย Camp Adventure – เดนมาร์ก
ทางใต้ของของโคเปนเฮเกนมีผืนป่าอนุรักษ์ชื่อ Gisselfeld Klosters และเหนือป่าผืนนั้นมี Camp Adventure หอคอยขนาดยักษ์ตั้งอยู่โดดเด่นเตะตา
ที่นี่เป็นจุดปีนเขาใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนเดินขึ้นไปชมความเขียวชอุ่มของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีทั้งทะเลสาบและลำธาร
Camp Adventure มีความสูงถึง 45 เมตร เป็นทางเดินวนรอบขึ้นไปด้านบนยาวเกือบ 1 กิโลเมตร เมื่อเดินขึ้นไปถึงด้านบนสุด สามารถมองเห็นวิวเมืองโคเปเฮเกนและเมืองมัลโมในประเทศสวีเดน ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
สถาปัตยกรรมใหม่ของเดนมาร์กแห่งนี้ ตัวโครงสร้างรีไซเคิลจากเหล็กขึ้นสนิมที่ถูกทิ้ง ส่วนตัวทางเดินทำขึ้นจากไม้โอ๊คในป่าแถวนั้น ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกสัญชาติเดนนิชชื่อดังอย่าง Effekt
นักท่องเที่ยวและผู้คนในท้องถิ่นรอคอยโปรเจกต์นี้กันมานานหลายปี เห็นได้จากในวันแรกที่เปิดให้เข้าชม มีคนรักธรรมชาติแวะมาเยี่ยมเยียนหลายพันคนเลยทีเดียว
4.ห้องสมุดกลางอูดี (Helsinki Central Library Oodi) – ฟินแลนด์
ห้องสมุดกลางอูดี ถือเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่รัฐบาลฟินแลนด์มอบให้ประชาชนเมื่อเดือนธันวาคม 2018 เนื่องในวันฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพของประเทศ
รัฐบาลตั้งใจให้ห้องสมุดใจกลางกรุงเฮลซิงกิแห่งนี้ที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐสภา เป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ของผู้คนในชุมชน
เมื่อชาวฟินแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่รักการอ่าน ด้านในห้องสมุดใหม่แห่งนี้จึงอัดแน่นไปด้วยหนังสือหลายแสนเล่ม ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้อื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเทคโนโลยีอันทันสมัย อย่างบรรณารักษ์หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ขนหนังสือไปตามชั้นหนังสือต่างๆ
ที่สำคัญคือ ประชาชนทุกคนมีสิทธิหยิบยืมหนังสือทุกเล่มจากห้องสมุดแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะรัฐบาลฟินแลนด์ถือว่าการเรียนรู้และการศึกษา เป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศ
5. คาจิลอดจ์ (Kachilodge) – โบลิเวีย
สำหรับคนที่อยากไปสัมผัสชีวิตนอกโลกสักครั้ง ลองไปพักที่คาจิลอดจ์ ในประเทศโบลิเวียแก้ขัดกันไปก่อน
เพราะที่นี่มีแลนด์สเคปรอบล้อมที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น
แท้จริงแล้วภูมิประเทศอันแสนห่างไกลเมืองแห่งนี้เป็นเกลือที่หลงเหลือจากทะเลสาบโบราณ มีพื้นผิวสะท้อนแสง
คาจิลอดจ์เป็นที่พักอันโดดเด่นแห่งเดียวในแถบนั้น เปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แม้สภาพด้านนอกจะมีความกันดาร แต่โดมอันหรูหราทั้งหกหลังนี้จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรงแรม 5 ดาว
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร Gustu หนึ่งในร้านอาหารชั้นนำของละตินอเมริกาให้บริการบริเวณเล้าจน์ของโรงแรม ซึ่งจัดให้แขกได้ดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์อันตื่นตาได้แบบ 360 องศา
กิจกรรมของโรงแรมก็ไม่ธรรมดา มีตั้งแต่เทรกกิ้งหรือขี่จักรยานไปยังปล่องภูเขาไฟ เดินตามรอยเส้นทางฝูงสัตว์ท้องถิ่น และมีกล้องโทรทรรศน์ให้ดื่มด่ำกับดวงดาวที่เต็มท้องฟ้าในยามค่ำคืน
อัตราค่าที่พักเริ่มต้นที่ 1,980 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 63,000 บาท สำหรับสองคืนต่อแขกหนึ่งคน ถือว่าคุ้มค่าสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ สักครั้งในชีวิต
6.The Shed- สหรัฐอเมริกา
ช่วงนี้ใครมีโอกาสได้แวะไปเที่ยวมหานครใหญ่อย่างนิวยอร์ก ขอแนะนำให้แวะไป Hudson Yards
เพราะที่นี่นอกจากเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของนิวยอร์กแล้ว ยังมี The Shed สถาบันศิลปะการแสดงที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
The Shed กลายเป็นศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยแห่งใหม่ที่รวมหลากหลายศาสตร์สุดอาร์ตเข้าด้วยกัน มีทั้งแกลเลอรี่ โรงละคร สถานที่จัดงานคอนเสิร์ตอยู่ในตึกเดียว อีกทั้งยังทำหน้าที่จัดหาเงินทุนสนับสนุนศิลปะหลายด้าน สร้างผลงาน รวมถึงจัดแสดงงานอาร์ตทุกแขนง
ที่นี่โดดเด่นด้วยตัวสถาปัตยกรรมที่มีขนาดใหญ่ถึง 200,000 ตารางฟุต และตัวโครงสร้างตึกด้านนอกที่ถูกดีไซน์ให้เลื่อนเข้าออกได้ เพื่อขยายพื้นที่ใช้งานให้กว้างขึ้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากหอยที่ขยับตัวเข้าออกจากเปลือก
หลังจาก The Shed เปิดตัว ศิลปินชื่อดังต่างแวะเวียนมาเปิดการแสดงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อาทิเช่น สตีฟ แม็กควีน, เซีย, และบียอร์ก
7. เส้นทางเดินภูเขาเรดซี (Red Sea Mountain Trail) – อียิปต์
สำหรับนักเดินป่าที่กำลังมองหาสถานที่ผจญภัย เราขอแนะนำเส้นทางเดินภูเขาเรดซี ในประเทศอียิปต์
ดินแดนโบราณแห่งนี้เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าไปเดินตามป่าและภูเขาเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเส้นทางเดินที่ยาวที่สุดในอียิปต์ราวๆ 170 กิโลเมตร
นักเดินป่าหรือปีนเขาไม่ต้องกลัวหลงทางในแถบทะเลทราย เพราะมีคนเลี้ยงอูฐชาวเบดูอินในท้องถิ่นเป็นไกด์นำทางและคอยดูแลเรื่องการกิน โดยพวกเขาจะจัดอาหารพื้นบ้านให้ได้ชิม รวมทั้งพาไปดื่มด่ำกับวัฒนธรรมโบราณในแถบนั้น
โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลองใช้ชีวิตแบบชาวเบดูอิน ชนกลุ่มที่มักเร่ร่อนไปตามทะเลทรายอาหรับพร้อมอูฐ พักอาศัยตามกระโจมที่ปูด้วยขนม้าหรือขนแกะ และที่สำคัญไม่มีไฟฟ้าให้ใช้
ถึงแม้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวในแถบนี้จะไม่ได้สบาย แต่ถือเป็นประสบการณ์สุดคุ้มค่าที่ควรลองสักครั้งในชีวิต
8.นิวเซียม (Newseum) – สหรัฐอเมริกา
นิวเซียม เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของอเมริกาที่จัดแสดงผลงานเกี่ยวกับข่าวและหนังสือพิมพ์ ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
นักข่าวทั่วโลกจับตามองและให้ความสนใจมิวเซียมแห่งนี้ เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับข่าวที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 500 ปีที่ผ่านมา จัดแสดงทั้งหมด 15 โซนด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
นอกจากนี้ ยังมีสื่อและอุปกรณ์การทำงานในแวดวงข่าว โรงหนังสารคดี ห้องส่งจำลองสถานีโทรทัศน์และวิทยุ งานแสดงเสรีภาพของสื่อ และนิทรรศการการต่อสู้เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เช่น งานแสดงภาพถ่ายเทศกาล Picture of the Years ครบรอบ 75 ปี จัดแสดงภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลระดับโลก ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์รุนแรงหรือภาพสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง เชื้อชาติ และสงคราม
ถือเป็นหนึ่งในมิวเซียมที่เก็บรักษาและถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคใหม่
9. ร้าน 80/20 (Eighty Twenty) – กรุงเทพฯ
ร้านอาหารในกรุงเทพฯ หนึ่งเดียวที่ติดสถานที่แนะนำของนิตยสาร TIME
80/20 คือร้านอาหารสไตล์ไฟน์ไดน์นิ่งชื่อดังของ เชฟโจ – ณพล จันทรเกตุ และเชฟซากิ โฮชิโนะ ภรรยาสาวชาวญี่ปุ่น สองเชฟผู้มากประสบการณ์ที่สร้างสรรค์เมนูไทยโมเดิร์น
พวกเขาเน้นการใช้วัตถุดิบของไทยในการปรุงอาหาร 80% และของต่างประเทศอีก 20% ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้าน
จุดเด่นของร้านนี้คือ เมนูที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามวัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน ซึ่งเป็นสไตล์ของร้านที่สองสามีภรรยาคู่นี้ใฝ่ฝันตั้งแต่เป็นนักศึกษาและฝึกงานเชฟอยู่ที่แคนาดา
ความพิถีพิถันในการปรุงและการเลือกวัตถุดิบของเชฟทั้งสองคนสัมผัสได้ผ่านรสชาติอาหารแสนอร่อย และพิสูจน์คุณภาพได้จากคิวจองที่ยาวหลายเดือน รวมทั้งเครดิตจากมิชลิน ไกด์ กรุงเทพฯ
10. เรือสำราญกันทู (Guntu) – ญี่ปุ่น
เรือกันทู เป็นมากกว่าเรือสำราญล่องทะเลทั่วไป
เพราะเรือลำนี้ยกที่พักสไตล์เรียวกังสุดหรูของญี่ปุ่นมาไว้กลางมหาสมุทร และแล่นไปในทะเลเซโตะอุจิ ซึ่งเป็นทะเลที่เต็มไปด้วยตำนานและประวัติศาสตร์ อยู่แทรกกลางระหว่างเกาะใหญ่ ฮอนชู ชิโกะกุ และคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น
เรือกันทูออกแบบโดย Yasushi Horibe สถาปนิกระดับมือรางวัล ซึ่งเขาดีไซน์ห้องพักสไตล์เรียวกังสุดหรูให้มีระเบียงและหน้าต่างที่หันหน้าสู่ทะเล ทำให้แขกที่พักผ่อนอยู่บนเรือลำนี้ไม่อึดอัดเหมือนเรือสำราญทั่วไป
ไฮไลต์ของเรือลำนี้ นอกจากมีห้องซาวนา สปาและแช่น้ำร้อน บนเรือยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างห้องชงชาที่คัดสรรชารสเลิศจากทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเมนูอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากแถบทะเลเซโตะอุจิมาปรุงโดยเชฟมากฝีมือ
เรือกันทูเริ่มเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2017 ราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 2 วัน 1 คืนอยู่ที่ 400,000 เยน หรือราวๆ 117,000 บาท!
อ้างอิง:
- TIME.The World Greatest Places 2019.https://time.com/collection/worlds-greatest-places-2019/