เช็คระดับความหลงใหลในกาแฟของตัวคุณ ว่าเทียบเท่าความคลั่งไคล้ในคาเฟอีนของ 10 คนดังในประวัติศาสตร์เหล่านี้สักกี่มากน้อย
ไม่ใช่แค่เราๆ ท่านๆ ที่ตื่นเต้นและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเยือนคาเฟ่เปิดใหม่ แต่คาเฟ่เป็นสถานที่ดึงดูดผู้คนให้ไปดื่ม กิน สังสรรค์ และแลกเปลี่ยนบทสนทนาอย่างออกรสมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แล้ว
นั่นทำให้ คาเฟ่เป็นเหมือนต้นธารของการให้กำเนิดวรรณกรรม บทเพลง ภาพยนตร์ ภาพเขียน ภาพถ่าย ไปจนถึงจุดประเด็นทางการเมือง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนโลกมาแล้วทุกยุคสมัย
becommon เลยอยากชวนคุณขึ้นไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเริ่มต้นสำรวจพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนดังในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงปัจจุบัน ว่านักดื่มคาเฟอีนตัวกลั่นเหล่านี้ เขามอบกายถวายชีวิตให้กาแฟแบบสุดขั้วถึงขั้นไหน
VOLTAIRE
ไม่แน่ว่าเบื้องหลังของการที่ François-Marie Arouet หรือในชื่อที่เรารู้จักกันดีว่า วอลแตร์ กลายเป็นปราชญ์และนักประวัติศาสตร์คนสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญาของฝรั่งเศสได้ ก็เพราะเขาดื่มกาแฟผสมช็อกโกแลตวันละ 40-50 แก้ว และยอมจ่ายภาษีในราคาแพงระยับ เพื่อนำเข้ากาแฟชั้นดีอย่างหรูมาต้มกินทุกวัน
ต่อให้หมอจะทัดทานว่า กิจวัตรการกินแบบนี้เสี่ยงถึงชีวิต แต่วอลแตร์ก็ยังยืนหยัดในการเป็นนักดื่มคาเฟอีนตัวกลั่น และมีอายุยืนยาวถึง 83 ปี
LUDWIG VAN BEETHOVEN
ในความเป็นอัจฉริยะทางดนตรีผู้โดดเดี่ยว เกรี้ยวกราด และเข้าใจยากของลุดวิก ฟาน บีโธเฟน อาจจะต้องรวมกิจวัตรยามเช้าอย่างการบรรจงนับเมล็ดกาแฟให้ได้ 60 เม็ดพอดีไม่ขาดไม่เกิน ในการชงกาแฟดื่มแต่ละแก้ว เพื่อเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นทำงาน
JOHANN SEBASTIAN BACH
ด้วยสถานะของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในแวดวงดนตรีคลาสสิค โยฮัน บาค จึงแสดงออกถึงความรักที่เขามีต่อกาแฟ ด้วยการแต่งเพลงอุทิศให้รสชาติชวนหลงใหลของกาแฟ ในชื่อ The Coffee Cantata โดยแต่งขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1732- 1735
The Coffee Cantata มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตัดพ้อต่อรองระหว่างพ่อผู้เข้มงวด กับลูกสาวติดกาแฟ ที่อ้อนวอนผู้เป็นพ่อว่า ถ้าจะห้ามไม่ให้เธอกินกาแฟวันละ 3 แก้ว ก็ขอให้เธอได้จิบกาแฟสักถ้วยเล็กๆ ก็ยังดี
LOUIS XV
กษัตริย์ผู้ปกครองฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 ผู้ทรงนิยมปลูกเมล็ดกาแฟด้วยพระองค์เองในเรือนกระจกภายในพระราชวังแวร์ซายส์
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงโปรดปรานการบรรจงเลือกเก็บเมล็ดกาแฟทีละเมล็ด ก่อนนำไปคั่วบด และต้มกาแฟเสิร์ฟอาคันตุกะด้วยพระองค์เอง
MARCEL PROUST
เพราะโมงยามส่วนใหญ่ในชีวิตของ มาร์เซล พรูสต์ นักเขียนคนสำคัญในวงการวรรณกรรมฝรั่งเศสแห่งศตวรรษที่ 20 ต้องอยู่บนเตียงเป็นหลัก เนื่องด้วยโรคประจำตัวอย่างหอบหืดมักเล่นงานเขาจนอ่วม อาจส่งผลให้พรูสต์ไม่อยากอาหาร
วันๆ เขาจึงดื่มแค่กาแฟดำ 2 ถ้วย นมร้อน และครัวซองต์ 2 ชิ้น หรือบางวันก็แค่ชิ้นเดียว แต่ถ้าค่ำไหนที่พรูสต์มีเรี่ยวแรงพอที่จะออกไปข้างนอก เขาจะจัดหนักดินเนอร์มื้อใหญ่ชดเชยให้ตัวเอง
HONORE DE BALZAC
กิจวัตรในการทำงานของบัลซัค นักเขียนผู้บุกเบิกการเขียวแนวสัจนิยม (Realism) ประกอบด้วยการทำงานให้เต็มที่และผ่อนคลายให้เต็มคราบ โดยมีคาเฟอีนเป็นขุมพลังงานหลักในการขับเคลื่อนมันสมอง
บัลซัคชอบทำงานตอนกลางคืน หลังกินข้าวเย็นตอน 6 โมง เขาจะเข้านอน แล้วตื่นตอนตี 1 จากนั้นก็เริ่มเขียนงานนานต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง แล้วค่อยงีบหลับตอน 8 โมงเช้า
หลังจาก 9 โมงครึ่ง พาเหรดกาแฟก็เริ่มตั้งขบวน บัลซัคจัดหนักโดยซัดกาแฟมากถึง 50 แก้วต่อวัน! บางครั้งถึงขั้นตบท้ายด้วยการกินกากกาแฟ
แน่นอนว่าวิธีกินแบบนี้ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยตามมา ตั้งแต่อาการเป็นตะคริวในช่องท้อง เป็นลมชัก ปวดหัว ความดันโลหิตสูง ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่ออายุได้ 51 ปี
หนึ่งในมรดกเกี่ยวกับกาแฟที่นักเขียนนามระบือคนนี้ทิ้งไว้ต่างหน้า ก็คือ วรรคทองประโยคที่ว่า
“Were it not for coffee one could not write, which is to say one could not live.”
“หากไม่ใช่เพราะกาแฟ นักเขียนคงไม่อาจเขียนงานได้ อันที่จริง หากโลกไร้กาแฟ นักเขียนจะไม่สามารถมีชีวิตได้อีกต่อไป”
NAPOLEON BONAPARTE
คำสั่งเสียสุดท้ายของ นโปเลียน ผู้นำทางการเมืองและผู้นำกองทัพอันเกรียงไกรของฝรั่งเศส คือ ขอกินกาแฟสักช้อน ก่อนที่ผลชันสูตรในภายหลังพบกากกาแฟจำนวนหนึ่งในช่องท้องของเขา
นโปเลียนยังเป็นเจ้าของวาทะดัง ที่มักถูกสกรีนบนแก้วกาแฟอย่าง
“I would rather suffer with coffee than be senseless.”
ฉันยอมเป็นทาสกาแฟ ดีกว่าเป็นคนเขลา
BENJAMIN FRANKLIN
ในบรรดารัฐบุรุษของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน ถือเป็นผู้ที่มีรสนิยมในการดื่มกาแฟอย่างพิถิพิถันเข้าขั้น coffee snob และเป็นคนดังขาประจำร้านกาแฟ ทำให้แฟรงคลินมักใช้ร้านกาแฟเป็นสถานที่จัดประชุม เล่นหมากรุก หรือแฮงเอาท์กับเพื่อนๆ อยู่เสมอ
ยามที่แฟรงคลินใช้ชีวิตอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นอกจากจะไปแวะเวียนไปดื่มกาแฟที่ Birchin Lane Shop คาเฟ่ชื่อดังในยุคนั้นเป็นประจำแล้ว เขายังต้องไปรับจดหมายที่ส่งมาจากอเมริกาที่นั่น เพราะร้านกาแฟสมัยนั้นเป็นที่ทำการไปรษณีย์ไปในตัว
THEODORE ROOSEVELT
ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกาผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตหลากหลายด้าน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้คาเฟอีนและน้ำตาลที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา
ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ดื่มกาแฟวันละประมาณ 1 แกลลอน และมักเติมน้ำตาล 5-7 ก้อนในทุกแก้ว แม้ภายหลังเขาจะยอมเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเทียมแล้วก็ตาม
ลูกชายของรูสเวลท์นิยามปริมาณกาแฟผู้เป็นพ่อดื่มได้อย่างเห็นภาพว่า เยอะจนเหมือนนอนแช่ในอ่างอาบกาแฟ
DAVID LYNCH
แหล่งกำเนิดไอเดียของ เดวิด ลินช์ ผู้กำกับเจ้าของลายเซ็นในการสร้างสรรค์พล็อตเรื่อง และภาพสุดแหวกแปลกตาในภาพยนตร์อย่าง Twin Peaks, The Elephant Man, Mullholland Drive ฯลฯ เกิดขึ้นในร้าน Bob’s Big Boy ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ที่เขาผูกปิ่นโตทุกวันต่อเนื่องนานกว่า 7 ปี ในช่วงทศวรรษ 80
“หลังกินมื้อเที่ยงแบบเร็วๆ เสร็จแล้ว ผมมักไปถึงร้านบ็อบส์ตอนบ่าย 2 โมงครึ่ง สั่งช็อกโกแลตปั่นมากิน ตามด้วยกาแฟ 4-7 แก้ว ใส่น้ำตาลเยอะๆ อย่างในช็อกโกแลตปั่นเองก็ใส่น้ำตาลเยอะจนข้นคลั่ก ซึ่งนี่แหละที่มาของไอเดียพลุ่งพล่านในหัวของผม ที่ทำเอาผมต้องรีบจดใส่กระดาษเช็ดปากแผ่นแล้วแผ่นเล่าจนเกลื่อนโต๊ะ
“ดังนั้น สิ่งที่ห้ามขาดเลยก็คือ ผมต้องพกปากกาไปด้วยทุกครั้ง แต่สาวเสิร์ฟก็มักจะนำปากกามาให้ยืมใช้ ถ้าผมไม่ลืมที่จะคืนเธอก่อนกลับ ผมได้ไอเดียจากร้านบ็อบส์เยอะมากจริงๆ”
และในทศวรรษปัจจุบัน เดวิดก็ได้ต่อยอดความชอบด้านกาแฟของเขาออกมาเป็นเบลนด์กาแฟส่วนตัว 7 สูตรด้วยกัน ใครอยากชิมกาแฟในรสชาติที่ผู้กำกับสุดเซอร์รังสรรค์มาให้ ลองเข้าไปเลือกซื้อกันได้ที่ allegrocoffee.com/
อ้างอิง:
- Caitlin Scheider.15 Famous Coffee Fiends.https://bit.ly/2Y2eKma
- Colin Marshall.How David Lynch Got Creative Inspiration? By Drinking a Milshake at Bob’s Big Boy, Every Single Day, for Seven Straight Years.https://bit.ly/37gVAxb