ชีวิตของนักเขียนโนเบลสาขาวรรณกรรมอย่าง อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) อาจเป็นสิ่งว่างเปล่าไร้ความหมายจริงๆ เหมือนปรัชญาว่าด้วยความไร้สาระ (absurdity) ของเขา หากกามูส์ไม่ได้เจอกับครูคนหนึ่ง
เราจะใช้ชีวิตอย่างไรท่ามกลางความไร้แก่นสาร (absurdity) ของโลก? นั่นคือคำถามที่เจ้าของผลงานชื่อดัง เช่น คนนอก (L’Étranger), ความตายอันแสนสุข (La Mort heureuse), มนุษย์สองหน้า (La Chute) และอีกมากมาย เฝ้าใคร่ครวญมาตลอดชีวิต
สงครามโลกทั้งครั้งที่ 1 และ 2 ส่งผลต่อชีวิตของกามูส์อย่างหนัก เขาเห็นการฆ่าฟันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เคยเกือบเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 (สมัครเป็นทหาร แต่ถูกปฏิเสธเพราะเป็นวัณโรค) เห็นผู้คนที่สละชีวิตให้แก่ความเชื่อความศรัทธา แต่สุดท้ายชีวิตก็ช่างเบาหวิวไร้ค่าราวปุยนุ่นที่ปลิดปลิว เมื่อเรา—เหล่ามนุษย์ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากการเกิดมามีลมหายใจ ถูกสาปให้ทำสิ่งไร้แก่นสารตามค่านิยมของสังคมวนเวียนไปจนกระทั่งตายลง
แม้ปรัชญาของกามูส์จะว่าด้วยความไร้แก่นสารของชีวิตเพียงใด แต่หลังจากเขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในเดือนตุลาคมปี 1957 เขาก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึง ‘ครู’ ของเขาในวัยเด็ก ผู้ทำให้ชีวิตอับเฉาไร้ความหมายของกามูส์สร้างความหมายให้ผู้คนมากมายผ่านวรรณกรรมของตนในกาลถัดมา
เรื่องราวความผูกพันธ์ระหว่างกามูส์ และครูของเขาที่ชื่อ หลุยส์ เจอเมน (Louis Germaine) เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ่อแท้ๆ ของกามูส์ถูกฆ่าในสนามรบระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 จนทำให้เขาและพี่ชายต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจน และถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยแม่ผู้อ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ และยายจอมเผด็จการ
ชีวิตของกามูส์แทบมองไม่เห็นอนาคตอันสว่างไสว จนกระทั่งได้เจอกับเเมอซิเออร์ เจอเมน ครูผู้มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเด็กชายตัวน้อย คอยส่งเสริม และกระตุ้นให้กามูส์ค้นพบจุดประสงค์บางอย่างของการมีชีวิตอยู่ และด้วยการดูแลของเมอซิเออร์ เจอเมนนี่เอง ที่ทำให้กามูส์ฉายแววของอัจฉริยะ และกลายมาเป็นนักเขียนคนสำคัญของโลกได้ในที่สุด
กามูส์เป็นนักเขียนโนเบลที่มีอายุน้อยที่สุดคนหนึ่ง เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ในวัยเพียง 44 ปีเท่านั้น แม้จะน่าเสียดายที่หลังจากได้รับรางวัลโนเบลเพียง 3 ปี ชีวิตของกามูส์จะต้องคืนกลับสู่ความไร้สาระของความตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก่อนจากไป กามูส์ก็ได้สร้างผลงานไว้มากมาย และในผลงานชิ้นสุดท้ายที่เขาเขียนไม่จบชื่อ Le premier homme หรือ The First Man ในภาคผนวก ก็มีจดหมายของเขาที่เขียนถึงครูนาม หลุยส์ เจอเมน อยู่ด้วย ซึ่งหากผู้อ่านได้มีโอกาสอ่านงานชิ้นนี้ ที่มีบทแรกของเรื่องชื่อ ‘การตามหาบิดา’ (Search for the Father) ก็คงพอจะทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดจดหมายถึงครูคนหนึ่ง ซึ่งเปรียบดั่งพ่อคนที่สองของกามูส์ ถึงถูกนำมาบรรจุอยู่ในงานเขียนชิ้นสุดท้ายของเขา
และเนื่องในโอกาส ‘วันครูแห่งชาติ’ ของไทยที่จะเวียนมาในวันที่ 16 มกราคมของทุกปี becommon จึงขออนุญาตแปลจดหมายของกามูส์ถึงครูของเขามาให้อ่าน
ราวหนึ่งเดือนหลังได้รับรางวัลโนเบล กามูส์เขียนจดหมายถึงหลุยส์ เจอเมนไว้แบบนี้….
19 พฤศจิกายน 1957
เมอซิเออร์ เจอเมนที่รัก,
ผมปล่อยให้ความอลม่านรอบตัวในช่วงนี้ตกตะกอนนอนก้นสักเล็กน้อย ก่อนจะเขียนถึงคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมเพิ่งได้รับเกียรติที่ยิ่งใหญ่เกินไปซึ่งผมไม่เคยแสวงหาหรือเรียกร้อง แต่เมื่อผมได้รับข่าว (ว่าจะได้รับรางวัลโนเบล—ผู้แปล) ความคิดแรกนอกจากการคำนึงถึงแม่ มันก็คือคุณ โดยปราศจากคุณ ปราศจากความเมตตาที่คุณยื่นให้เด็กยากไร้คนหนึ่ง โดยปราศจากคำสั่งสอนและตัวอย่างที่คุณมอบให้ ทั้งหมดนี้คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ผมไม่มีความเห็นมากนักเกี่ยวกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ แต่อย่างน้อยมันก็มอบโอกาสให้ผมบอกกล่าวต่อคุณในสิ่งที่คุณเป็น และยังเป็นอยู่สำหรับผม เพื่อที่ผมจะยืนยันว่าความพยายาม งานที่คุณทุ่มเท และหัวใจอันไพศาลที่คุณมอบให้ยังคงสถิตอยู่ในตัวเด็กนักเรียนตัวน้อยของคุณ ผู้ที่ยังคงเป็นนักเรียนที่ระลึกถึงคุณงามความดีของคุณเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด ผมยอมรับในตัวคุณอย่างสุดหัวใจ
อัลแบร์ กามูส์
อ้างอิง
- Albert Camus. The First Man (translated by David Hapgood).