“30 แล้วทำไมยังไม่แต่งงานอีก” อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปกับมนุษย์โลกยุคนี้
ตั้งแต่ปี 1973 จนมาถึง 2013 ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษระบุว่าอัตราอายุเฉลี่ยในการแต่งงานของหนุ่มสาวชาวอังกฤษเพิ่มขึ้นถึง 8 ปี โดยผู้ชายจะอยู่ที่ 32.5 และผู้หญิงอยู่ที่ 30.6 ปี
ช่วงวัยรุ่น ขยายจากช่วงอายุจาก 19 ไปเป็น 24 ปี
ศาสตราจารย์ซูซาน ซอว์เยอร์ (Susan Sawyer) ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพวัยรุ่นที่โรงพยาบาลเด็กรอยัลในเมลเบิร์นระบุเช่นนั้น แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปี แต่บทบาทของผู้ใหญ่และความรับผิดชอบต่างๆ จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา วัยรุ่นก็ขับรถยนต์น้อยลง และยังพบอีกว่าพวกเขาไม่สนใจจะทำกิจกรรมอย่างที่ผู้ใหญ่ทำกัน อย่างออกเดท มีเซ็กส์ หรือดื่มแอลกอฮอล์
สิ่งนี้เกิดขึ้นจาก ‘สภาพเศรษฐกิจ’ ที่เปลี่ยนไป
เศรษฐกิจ มีผลกับการขยายช่วงเวลาของวัยรุ่นในหลายด้าน หากอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยทฤษฏี ‘Life history theory’ จะสรุปได้ว่าเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนมักจะโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กที่โตมาในครอบครัวที่มั่นคงด้านการเงิน เพราะพวกเขาต้องรับมือกับความเสี่ยงในชีวิตหลายๆ ด้าน
ยิ่งไปกว่านั้นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ทำให้โลกเป็นเหมือนสนามแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิด ‘Slow-life strategy’ วิถีชีวิตแบบช้าๆ มีลูกจำนวนน้อยๆ และเลี้ยงให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แบบ จึงต้องเตรียมความพร้อมด้านการเงินให้มั่นคง อาจทำให้หลายคนแต่งงานช้า และเป็นการยืดระยะเวลาให้ช่วงวัยรุ่นยาวนานขึ้นอีก
ต่างจากสัก 20 ปีก่อนที่เรายังใช้ชีวิตกันแบบ ‘Fast-life strategy’ รีบสร้างครอบครัว มีลูกเยอะๆ ให้โตทันใช้ เด็กจบใหม่ต้องรีบทำงานเพื่อเก็บเงิน เมื่อเข้าสู่วิถีชีวิตนี้เมื่อไหร่ ก็ราวกับเป็นการประกาศเป็นนัย ว่าชีวิตวัยรุ่นได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ
เมื่อช่วงชีวิตวัยรุ่นยาวนานขึ้น ความฝันของพวกเขาก็เปลี่ยนไป สิ่งที่ตอบสนองความต้องการในชีวิตอาจไม่ใช่การเติบโตในหน้าที่การงาน หรือทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว แต่อาจหมายถึงการได้ลองใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำไปหลายๆ แบบเพื่อค้นหาตัวเองก่อนจะเริ่มลงหลักปักฐานกับงานใดๆ
สิ่งสำคัญของปรากฏการณ์นี้ คือ เราต้องต้องหยุดกำหนดวัยด้วยเลข 18 และควรขยายสวัสดิการต่างๆ ให้ครอบคลุมกับเยาวชนที่อาจมีอายุเพิ่มขึ้น
เช่น การรักษาด้านจิตเวชสำหรับวัยรุ่น ควรงดใช้เกณฑ์อายุมาวิเคราะห์หาวิธีการรักษาแบบตายตัว หรือใช้วิธีการรักษาแบบผู้ใหญ่กับใครก็ตามที่อายุเกิน 18 ปี เพราะนั่นคงไม่ได้ผลในสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะมนุษย์เรามีความแตกต่างหลากหลาย และมีพัฒนาการทางจิตใจไปตามช่วงเวลาและช่วงวัยที่ไม่เหมือนกัน
โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและได้เปลี่ยนนิยามของ ‘วัยรุ่น’ ไปแล้ว
อ้างอิง
- Bret Stetka.Extended Adolescence: When 25 Is the New 18.https://bit.ly/3t3IQUa
- Jean Twenge.Why today’s teens are taking longer to grow up.https://cnn.it/3vbojPr
- Katie Silver.‘Adolescence now lasts from 10 to 24’.https://bbc.in/30y0gw1