life

การตกอยู่ในวังวนการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่สอง อาจทำให้การเฝ้าระวังอันตรายจากโรคอุบัติใหม่ครั้งนี้ไปบดบังอีกหนึ่งภัยเงียบที่ยังคงเดินหน้าทวีความรุนแรงต่อไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นคลื่นใต้น้ำลูกมโหฬาร 

นั่นคือ สภาวะโลกร้อน ที่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักหน่วงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ 

ไล่มาตั้งแต่ปี 2018 ที่เกิดคลื่นความร้อนพัดผ่านยุโรปตามหลังฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ทำให้มีผู้สูงอายุเสียชีวิตนับพันคน และในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน เกิดไฟไหม้ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาในรัฐแคลิฟอร์เนีย

Climate Change
โคอาลาที่ได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิตจากเหตุไฟป่าในออสเตรเลียเมื่อต้นปี 2020
Photo: PETER PARKS / AFP

ปี 2019 ออสเตรเลียเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเกิดสภาพอากาศแห้งแล้งติดต่อกันยาวนานถึง 4 ปี รวมถึงผู้คนในประเทศอินเดียที่ต้องทนทุกข์กับอุณหภูมิที่สูงถึง 50 องศาเซลเซียส 

และในเดือนสิงหาคม ปี 2019 เกิดไฟป่าในบราซิลที่เผาผลาญเป็นอาณาบริเวณกว้างกว่าปีก่อนถึงสองเท่าตัว 

Climate Change
นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลออกมาตรการดูแลผืนป่าแอมะซอนให้ดีกว่านี้
Photo: KENZO TRIBOUILLARD / AFP

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนักวิทยาศาสตร์ต่างก็เคยคาดการณ์กันล่วงหน้าไว้แล้วว่าสภาพอากาศของโลกจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าสภาวะการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ 

โดยเฉพาะเมื่อนักธรณีวิทยาธารน้ำแข็งออกมายอมรับ ว่าในปัจจุบันน้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เมื่อสิบปีก่อนถึงสามเท่า โดยในศตวรรษนี้ ระดับน้ำทะเลไม่ได้สูงขึ้นแค่ 2-3 เซ็นติเมตร แต่สูงขึ้นเป็นเมตร! 

หากจะคำนวณให้เห็นภาพยิ่งขึ้น นักธรณีวิทยาธารน้ำแข็งคาดการณ์ว่า เมื่อน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 70 เมตร 

Climate Change
ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ถ่ายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2021
Photo : SAUL LOEB / AFP

แน่นอนว่าพื้นที่ของท้องทะเลก็จะเพิ่มขึ้น และประเทศที่มีอาณาเขตติดทะเลก็จะค่อยๆ จมน้ำลงไปเรื่อยๆ 

จากตัวอย่างที่ยกมาคนไทยอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะต่อให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรคงได้รับผลกระทบช้ากว่าใครเพื่อน 

แต่ยังมีอีกหนึ่งความลับที่เราอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ ที่จริงแล้วประเทศไทยอยู่ใกล้ขั้วโลกในระดับที่ห่างแค่ปลายจมูก 

Climate Change
เทือกเขาหิมาลัยในแคว้นแคชเมียร์ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย
Photo: TAUSEEF MUSTAFA / AFP

ขั้วโลกดังกล่าว ก็คือ ขั้วโลกที่สาม หรือที่ราบสูงทิเบต ที่ได้รับสมญาว่าเป็นดินแดนแห่งหลังคาโลก เพราะเป็นเขตที่ราบสูงที่มีภูเขาล้อมรอบถึง 3 ด้าน ได้แก่ เทือกเขาคุนหลุน เทืองเขาคาราโครัม และเทือกเขาหิมาลัย 

นักนิเวศวิทยาของจีนจึงนิยามพื้นที่บริเวณนี้ว่าไม่ต่างอะไรจากขั้วโลก เพราะเป็นดินแดนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามที่มีน้ำแข็งปกคลุมรองจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ 

ดังนั้น อิทธิพลจากภาวะโลกร้อนในที่ราบสูงทิเบตย่อมส่งผลกระทบไปยังผู้คนกว่า 1.5 พันล้านชีวิต หรือคิดเป็นจำนวนหนึ่งในห้าของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ และพึ่งพาแม่น้ำสายสำคัญๆ ที่มีต้นน้ำอยู่ในที่ราบสูงทิเบตในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำคงคา กรรณลี พรหมบุตร สินธุ สัตเลช อิรวดี สาละวิน ฮวงโห แยงซี และแม่น้ำโขง 

ลองจินตนาการว่าที่ราบสูงทิเบตเปรียบเสมือนถังน้ำใบใหญ่ที่สุดของโลกที่ใส่น้ำไว้เต็มปรี่ แล้ววันดีคืนดีจู่ๆ ถังน้ำใบยักษ์ก็คว่ำลง จะเกิดอะไรขึ้น 

Climate Change
ทะเลสาบยัมดร็อกโช (Yamdrok-Tso) หนึ่งในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต
Photo: FREDERIC J. BROWN / AFP

แม้ในความเป็นจริง การละลายของธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงทิเบตจะไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ไหลบ่าลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยแบบฉับพลัน แต่อุณหภูมิบนที่ราบสูงทิเบตที่เพิ่มสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยทั่วโลกเท่าตัว ก็ทำให้ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกที่สามกำลังละลายในอัตราความเร็วเพิ่มขึ้น ทำให้นอกจากธารน้ำแข็งสายเล็กๆ กว่า 500 สายจะละลายหายไปจนหมดแล้ว ผลการวิจัยยังรายงานว่าบรรดาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดก็กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

นอกจากนี้ การตัดไม้ทำลายป่าเป็นวงกว้างบนที่ราบสูงทิเบตยังทำให้ปริมาณแสงอาทิตย์สะท้อนจากหิมะขึ้นไปในอากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงลมมรสุมต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในทิเบตเท่านั้น แต่กินอาณาบริเวณในหลายประเทศโดยรอบทั้งหมด 

สภาวะการณ์ดังกล่าวย่อมสะเทือนใจชาวทิเบตมากกว่าใครในโลก เมื่อบ้านที่เคยสงบสุขอย่างสันโดษและเพียบพร้อมด้วยธรรมชาติอันอุดมของพวกเขาถูกทำลายจนพลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือ 

Climate Change
จามรีหรือแย็ก (Yak) สัตว์ท้องถิ่นประจำที่ราบสูงทิเบต
Photo: GOH CHAI HIN / AFP

ก่อนที่จะถูกจีนยึดครอง ทิเบตเป็นดินแดนที่สวยสดงดงาม มีธรรมชาติซึ่งยังไม่ถูกทำลายท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ช่างน่าเศร้าที่ในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมานี้ สัตว์ป่าและระบบนิเวศที่เปราะบางของทิเบตได้ถูกทำลายไปเกือบหมดภายใต้การยึดครองของจีน สิ่งน้อยนิดที่ยังพอหลงเหลืออยู่จะต้องได้รับการปกป้อง เราจะต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของทิเบตให้กลับมามีสภาพสมดุลดังเดิม”  

องค์ทะไลลามะที่ 14 ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่เมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ทรงเอ่ยถึงบ้านเกิดของพระองค์ไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ ฟรันซ์ อัลท์ ผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมชาวเยอรมัน ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือ บ้านหลังเดียวของเรา คำวิงวอนเพื่อโลกและภูมิอากาศ (Our Only Home: A Climate Appeal to the World by H.H. The 14th Dalai Lama and Franz Alt) 

Climate Change
องค์ทาไลลามะที่ 14 เมื่อครั้งเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตา บาร์บารา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2009
Photo: JEWEL SAMAD / AFP

เมื่อแรกที่อาตมาลี้ภัยจากทิเบตเข้ามายังอินเดีย อาตมาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งแรกที่อาตมาได้ยินคนบอกว่า “น้ำนี้ดื่มไม่ได้” อาตมาแปลกใจที่น้ำสกปรก ในประเทศทิเบต เวลาที่เดินผ่านลำธาร เราจะดื่มน้ำจากลำธารอย่างไม่มีปัญหาเลย ต่อมา อาตมาถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับมลภาวะ และค่อยๆ รู้มากขึ้นเกี่ยวกับระบบนิเวศ”  

Climate Change
การก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ในกรุงลาซา เมืองหลวงของทิเบต
Photo: HECTOR RETAMAL / AFP

ดังนั้น จากเดิมที่องค์ทะไลลามะทุกพระองค์ในอดีตทรงมีภารกิจหลักในฐานะผู้นำของพุทธศาสนาสายทิเบต พันธกิจขององค์ทะไลลามะที่ 14 ผู้ต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายปัญหาแห่งศตวรรษที่ 20 ทั้งการทำลายล้างและความทุกข์จากภัยสงคราม และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงผนวกหน้าที่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วยอย่างเต็มพระทัย 

และพระองค์เชื่อมั่นว่า จริยธรรมจะเป็นอาวุธสำคัญในการต่อกรกับปัญหานี้ได้ดีที่สุด 

จริยธรรมดังกล่าวเป็นจริยธรรมแบบโลกวิสัย หรือ ‘จริยธรรมเชิงนิเวศน์’ ซึ่งเป็นแนวคิดในการสลายพรมแดนของประเทศชาติ ศาสนา รวมถึงวัฒนธรรม แล้วมุ่งเน้นให้มนุษย์ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าภายในจิตใจของตนเอง เช่น สติ ความกรุณาต่อสรรพสัตว์ การฝึกอบรมจิต ฯลฯ 

การจะทำให้โลกสงบสุขขึ้นและมีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น บางครั้งเรากลับชี้นิ้วไปที่คนอื่น แล้วบอกว่าเขาควรทำนั่นทำนี่ แต่ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเริ่มที่ตัวเราในฐานะปัจเจก 

หากคนหนึ่งคนมีความกรุณามากขึ้น ความกรุณาของเขาก็จะส่งอิทธิพลต่อไปถึงคนอื่นๆ แล้วเช่นนี้เอง เราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโลก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าธรรมชาติพื้นฐานของเราคือ ความกรุณา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก” พระองค์ทรงขยายความถึงการเริ่มต้นงานอนุรักษ์ที่ควรเกิดขึ้นจากการเกิดความกรุณาเป็นพื้นฐานสำคัญ

Climate Change
หนังสือ บ้านหลังเดียวของเรา
Photo: www.suanspirit.com

ประชากรโลกเจ็ดพันล้านคนจะต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน เราไม่มีเวลาจะมัวมาคิดว่านี่ประเทศของฉัน นั่นทวีปของเธอ อีกต่อไป แต่เราจำเป็นจะต้องมีสำนึกรับผิดชอบระดับโลกให้มากกว่าเดิม” องค์ทะไลลามะยังได้ส่งสาส์นไปถึงบรรดานักการเมืองทั่วโลกว่า ควรลงมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเด็ดขาดได้แล้ว หลังจากที่มีการประชุมว่าด้วยปัญหาสภาพภูมิอากาศกันมาแล้วกว่า 20 ครั้ง 

แค่ออกมาแสดงทัศนะหรือจัดการประชุมนั้นยังไม่พอ แต่เราจะต้องเขียนตารางเวลาเอาไว้เลยว่าจะลงมือเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรและเมื่อใด 

Climate Change
การใช้พลังงานลมในประเทศอิสราเอล
Photo: MENAHEM KAHANA / AFP

ในหนังสือ บ้านหลังเดียวของเราฯ ได้เสนอทางออกสำหรับภาครัฐไว้ 5 ประการ ได้แก่ 

  1. เปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานจากลม จากน้ำ จากชีวมวล และพลังงานความร้อนใต้พิภพ 
  2. งดใช้พลังงานจากถ่านหินและจำกัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 
  3. เปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะไฟฟ้า เช่น จักรยานไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น  และเพิ่มขนส่งสาธารณะขึ้นอีกเท่าตัว 
  4. ปฏิเสธการใช้ยาฆ่าแมลงและสารกำจัดวัชพืชแล้วเปลี่ยนไปทำเกษตรอินทรีย์ 
  5. ปลูกป่าและฟื้นฟูผืนดินที่แห้งแล้งให้กลับมาเขียวขจีในทุกประเทศทั่วโลก
Climate Change
เด็กๆ ชาวเอธิโอเปียร่วมปลูกต้นไม้ในโครงการ มรดกสีเขียว (Green Legacy) เมื่อปี 2019 โดยเป้าหมายคือ ปลูกป่าไม้นานาชนิดทั่วประเทศให้ได้มากถึง 4,000 ล้านต้น
Photo: MICHAEL TEWELDE / AFP

แต่ก็อย่างที่อ้างถึงข้างต้น ที่แม้แต่พระองค์เองยังทรงต้องสะกิดไปยังนักการเมืองทั่วโลก ที่ยังคงรีๆ รอๆ ในการออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่ลงมือปฏิบัติเสียที จนทำให้เด็กสาววัยเพียง 16 ปีอย่าง เกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) เหลืออด และเดินหน้าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมเต็มตัว โดยเธอยังคงออกมาเคลื่อนไหวให้บรรดาผู้นำทางการเมืองได้สะดุ้งสะเทือน และมุ่งเน้นให้ชาวโลกตระหนักถึงปัญหานี้ร่วมกัน 

องค์ทะไลลามะจึงทรงเน้นย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลหรือนักการเมืองขยับตัว แต่สามัญชนก็เริ่มลงมือกู้โลกด้วยตัวเองได้ทันที แข่งกับแต่ละวินาทีที่ทุกขั้วโลกกำลังละลาย 

ในระดับปัจเจก เราควรเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต ควรใช้น้ำและไฟฟ้าให้น้อยลง ปลูกต้นไม้ และลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (ถ่านหินที่ต้องอาศัยเวลานับล้านปีในการก่อตัว เราควรใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากลม หรือจากความร้อนใต้พิภพ 

หรือถ้าจะเริ่มต้นในแบบเดียวกับพระองค์ก็ไม่ทรงหวงวัตรปฏิบัติแต่อย่างใด 

เวลาออกจากห้อง อาตมาจะปิดไฟ อาตมาอาบน้ำฝักบัวแทนที่จะลงไปแช่ในอ่าง อาตมาฉันเนื้อสัตว์แต่น้อย และสนับสนุนให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน”  

อ้างอิง 

  • องค์ทะไลลามะที่ 14 กับฟรันซ์ อัลท์ เขียนนัยนา นาควัชระ แปลบ้านหลังเดียวของเราสวนเงินมีมา, 2564.