©ulture

ความเศร้าและความตายสั่นไหวอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม ผู้คนทำได้เพียงปลอบประโลมกันและกันผ่านสัญญาณใยแก้ว ปี 2020 การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนมากมายต้องห่างไกลคนรัก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสกันครั้งสุดท้าย เมื่อใครสักคนในชีวิตต้องลาจากไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

โรดริโก การ์เซีย (Rodrigo García) สูญเสียแม่ของเขาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2020 ต่อมาเขาเขียนลงในหนังสือบันทึกความทรงจำของตน ซึ่งถูกตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคมของอีกหนึ่งปีให้หลังว่า

“เพราะไม่อาจเดินทางได้ ผมจึงเห็นแม่มีชีวิตครั้งสุดท้ายผ่านหน้าจอโทรศัพท์แตกๆ ของตัวเอง และอีกห้านาทีต่อมาเธอก็หายไปตลอดกาล หน้าจอวิดีโอไลฟ์สั้นๆ สองหน้าจอถูกแยกออกจากกันชั่วนิรันดร์ จากความสามารถในการเล่าเรื่องของผมที่ยังไม่ย้อนกลับหวนคืน”

โรดริโก การ์เซีย

ในหน้าเดียวกัน เขาเขียนถึงความตายของแม่ต่อว่า 

“ผมจะเล่าเรื่องใดให้มีพลังได้มากกว่านี้ หลังจากเธอตาย ผมหวังว่าเธอจะโทรมาถามว่า ‘ความตายของฉันเป็นอย่างไร? ไม่ ใจเย็นไอ้ลูกชาย นั่งลงก่อน และค่อยๆ เล่าให้แม่ฟัง’ และเธอจะฟัง ผมจินตนาการ เธอจะหัวเราะ พลางสูบบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นผู้ร้ายฆ่าเธออย่างตะกละตะกลาม”

แม่ของเขามีนามว่า เมซิเดซ บาร์ชา เปโดร (Mercedes Barcha Pardo) ก่อนหน้านั้นในปี 2014 เขาสูญเสียพ่อผู้เป็นที่รัก พ่อผู้มีนามว่า กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel García Márquez) หรือที่ถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อ กาโบ (Gabo) นักเขียนรางวัลโนเบลผู้ยิ่งใหญ่ เขาคือนักเขียนผู้เป็นต้นธารสำคัญในการสร้างงานเขียนแนว ‘สัจนิยมมหัศจรรย์’ (Magical Realism) ที่งานวรรณกรรมไทยในยุคปัจจุบันหลายชิ้นได้อิทธิพลมา จนสะท้อนให้เห็นร่องรอยของนักเขียนจากลาตินอเมริกาผู้นี้อย่างไม่อาจปิดบัง เขาคือเจ้าของงานเขียนเล่มหนา Cien años de soledad หรือ One Hundred Years of Solitude หรือ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ในภาคภาษาไทย ที่กล่าวกันว่าคืองานเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดชิ้นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก

ภาพครอบครัวมาร์เกซ / photo: https://sites.utexas.edu/ransomcentermagazine/files/2017/02/family-portrait.jpg

หนังสือบันทึกความทรงจำที่ชื่อ A Farewell to Gabo and Mercedes ขนาด 176 หน้าเล่มนี้ บอกเล่าช่วงปีท้ายๆ ในชีวิตของนักเขียนผู้ทรงอิทธิพล และภรรยาผู้เป็นเงาใต้ปีก ขีดเขียนขึ้นโดยลูกชายผู้เติบโตมาภายใต้ความยิ่งใหญ่ของพ่อ เขาเขียนถึงความตายของคู่รักผู้โด่งดังในสายตาของแฟนวรรณกรรมทั่วโลกด้วยการเพ่งมองความตายอย่างสงบ เปิดเผยความเจ็บปวดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เล่าถึงการเผชิญหน้ากับโรคสมองเสื่อมของพ่อ เล่าถึงความกังวลและความหวาดกลัวของแม่ และเหนืออื่นใด เขาเล่าชีวิตของพ่อและแม่ของตนออกมาอย่างที่มนุษย์ควรเป็น ไม่ได้สูงส่งล้ำเลิศจับต้องไม่ได้อย่างประวัติบุคคลสำคัญบางคน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่างานเขียนชิ้นนี้มีแผลอยู่บ้าง แม้โรดริโก การ์เซียจะเติบโตมาเป็นผู้กำกับที่มีผลงานในระดับประดับรางวัล แต่ความโด่งดังของเขาก็ยังห่างชั้นกับพ่ออยู่ไกลโข ดังนั้น เมื่อเขาต้องเขียนถึงความตายพ่อของตน มันจึงหลีกเหลี่ยงไม่ได้ที่กระบวนการเขียนจะกลายเป็นความกดดันแสนหนักอึ้ง

“การเขียนถึงความตายของคนรักเก่าแก่พอๆ กับการกำเนิดของงานเขียน กระนั้น ความสนใจที่จะเขียนมันก็พันธนาการผมไว้กับความกังวลทันที ผมตื่นตระหนกที่คิดว่าตัวเองจะต้องจดบันทึก รู้สึกอับอายเมื่อลงมือเขียน และผิดหวังกับตัวเองเมื่ออ่านทวนบทบันทึกเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้จิตใจของผมสั่นไหวนั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่า พ่อของผมเป็นคนดัง ภายใต้ความจำเป็นที่ผมต้องเขียน มันอาจแอบซ่อนความปรารถนาที่จะพัฒนาชื่อเสียงของตัวเองในยุคสมัยอันสามานย์ขึ้นมาด้วย บางทีมันคงจะดีกว่าถ้าผมปฏิเสธและรักษาความนอบน้อมเอาไว้ แต่บางครั้ง ความถ่อมตน มันก็คือรูปแบบหนึ่งของความทะนงตนที่ผมโปรดปราน”

ดังนั้นนอกจาก A Farewell to Gabo and Mercedes จะเป็นคำไว้อาลัยต่อบิดา-มารดาแล้ว อีกแง่หนึ่งมันคือการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะกะเทาะเปลือกและทำความเข้าใจตัวตนของผู้เขียนเองด้วย ตัวตนที่เติบโตมากับความยิ่งใหญ่ของพ่อ ตัวตนที่ทั้งต้องเสแสร้ง ปฏิเสธ และแอบโอบรับ ก่อเกิดเป็นทั้งความรักและความชิงชังภายใต้น้ำเสียงราบเรียบเหล่านี้

กาโบยืนยันว่า “ทุกคนมีสามชีวิต: ชีวิตสาธารณะ, ชีวิตส่วนตัว, และชีวิตอันเป็นความลับ” ส่วนเมซิเดซ บาร์ชา บอกลูกของเธออยู่เสมอว่า “เราไม่ใช่บุคคลสาธารณะ” นั่นคือเหตุผลที่โรดริโก การ์เซียเขียนบทบันทึกนี้ขึ้นเพื่อเผยแพร่หลังจากที่แม่ของเขาตายไปแล้ว

แน่นอน ความสามารถในการเขียนของเขาไม่ได้ดีเลิศเทียบเท่าบิดา แต่ความประดักประเดิด ภาพแตกหักในช่วงสุดท้ายของชีวิตของมนุษย์ผู้เป็นที่รัก ความกังวลที่ถาโถม จังหวะที่ไม่สม่ำเสมอของความทรงจำ การร้อยเรียงเรื่องราวด้วยบทตอนสั้นๆ ที่กระโดดไปมา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของคนทั้งคู่ที่แทรกเข้ามาอยู่เนืองๆ มันก็กลับให้ความรู้สึกทั้งดิบและสด เป็นชีวิตจริงมีเลือดเนื้อ ไม่พยายามขยายความโศกเศร้าจนกลายเป็นดราม่าเกินควร แค่เล่า และบันทึกสิ่งที่นึกขึ้นได้ แค่เล่า และบอกกล่าวมันออกมาอย่างแผ่วเบา แค่เล่าเรื่องของพ่อและแม่ผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาของลูก

“การตายหนที่สองของผู้ให้กำเนิดเหมือนการมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ในค่ำคืนหนึ่ง ที่ผมพบว่าดวงดาวที่เคยอยู่ตรงนั้นเสมออันตรธานไปแล้ว มันหายไป พร้อมกับศาสนา พร้อมกับวัฒนธรรม พร้อมกับนิสัยและพิธีกรรมอันแปลกประหลาดของผู้คนบนดาวดวง ทั้งเล็กและใหญ่ ทว่าเสียงสะท้อนยังคงอยู่ ผมยังนึกถึงพ่อของผมทุกเช้าเวลาที่ผมเช็ดแผ่นหลังของตัวเองด้วยผ้าขนหนูตามวิธีที่พ่อเคยสอน หลังจากท่านเห็นผมทุลักทุเลกับมันในตอนหกขวบ คำแนะนำของพ่อมากมายเหลือเกินที่ยังอยู่ในตัวผม​”

ทว่าเสียงสะท้อนยังอยู่… แม้จากไปแต่เสียงสะท้อนของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซยังอยู่ในตัวของลูกชายอย่างโรดริโก การ์เซียเสมอ เขาไม่ได้โด่งดังเท่าพ่อก็จริง แต่เขาก็เป็นนักเล่าเรื่องที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน เมื่อเสียงสะท้อนในตัวของเขาถูกเล่าออกมาได้อย่างสง่างาม และไม่ใช่แค่นักอ่านเดนตายของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซเท่านั้นที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่นักอ่านทั่วไปที่แม้จะไม่เคยอ่านงานของกาโบสักเล่มก็สามารถอ่านได้เช่นกัน เพราะแม้จะเป็นเรื่องราวของนักเขียนคนดัง มีความเขินอายให้เห็นอยู่บ้างเมื่อถูกเล่าผ่านปากคำลูกชาย แต่ท้ายสุดมันก็เป็นเรื่องของพ่อแม่ลูกธรรมดาสามัญทั่วไปที่จับใจคนอ่าน เป็นเรื่องเล่าของชีวิตของโรดริโก การ์เซียผู้เขียนมันขึ้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เมซิเดซ บาร์ชา เปโดร และ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ / Photo: ALEJANDRA VEGA / AFP

ในตอนหนึ่งของหนังสือ โรดริโก การ์เซียเล่าถึงการเผชิญหน้ากับโรคสมองเสื่อมของผู้เป็นพ่อโดยบอกว่า กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซหยิบหนังสือของตัวเองมาอ่านและคล้ายเขาเพิ่งอ่านมันเป็นครั้งแรก

“เรื่องเล่าพวกนี้มาจากไหนกัน” กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซถาม

ก็คงเหมือนกับที่นักอ่านของเขาทั่วโลกสงสัย ถึงเรื่องราวมหากาพย์เจ็ดชั่วคนของครอบครัวบวนเดียแห่งเมืองมาก็อนโดจากนิยาย หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว นั่นแหละ ว่าเรื่องราวมากมายหลายร้อยหน้าที่น่าหลงใหลเช่นนี้มาจากไหนกัน

ทว่าเสียงสะท้อนยังอยู่… นั้นคือธรรมชาติของเรื่องเล่าและการเล่าเรื่อง หรือถึงที่สุดอาจกล่าวได้ว่ามันคือธรรมชาติของชีวิต แม้จะตายจากไป แต่เสียงสะท้อนของเรื่องเล่าในชีวิตเหล่านั้นจะสะท้อนก้องไปมาตราบนานเท่านาน และบ่อยครั้งที่มันสะท้อนสะเทือนจนกลายเป็นบันทึกเกี่ยวกับความตายของคนรัก ดังเช่น A Farewell to Gabo and Mercedes เล่มนี้