“สังคมมีความรู้สึกต่อข้อห้ามทางเพศที่ง่ายดายมาก ข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง โลกทั้งโลกล้วนรู้สึกว่าเป็นความผิดของเธอเอง แม้แต่เธอก็ยังคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง”
ข้อความที่ยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ สวนสนุกแห่งการลงทัณฑ์ รักในฝันของฝางซือฉี หรือ Fang Si Qi’s First Love Paradise นวนิยายเขย่าสังคมที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในไต้หวัน ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำถึง 5 ครั้งภายในปีเดียว เป็นผลงานชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายของ หลินอี้หาน (Lin Yi-Han) นักเขียนสาวชาวไต้หวัน อายุ 26 ปี ผู้ตัดสินใจจบชีวิตลงหลังจากหนังสือตีพิมพ์ได้ไม่นาน
“แต่งจากเรื่องจริงและบุคคลจริง” คือประโยคที่เขียนกำกับไว้ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาบทแรก ก่อนจะทราบภายหลังว่าเรื่องราวที่ตัวละครเอกเผชิญเขียนขึ้นจากชีวิตจริงของเธอเอง
สวนสนุกแห่งการลงทัณฑ์ฯ กล่าวถึงความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างเด็กสาววัยรุ่นกับครูสอนพิเศษ ที่อายุห่างกันถึง 37 ปี เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ ฝางซือฉี เด็กสาววัย 13 ผู้เพียบพร้อมทั้งรูปกายและฐานะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวและเพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนฝาแฝดทางจิตวิญญาณ ก่อนที่ทุกอย่างจะพลิกผันเมื่อเธอได้พบกับ หลี่กั๋วหัว อาจารย์สอนพิเศษวิชาภาษาจีนที่เพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยในคอนโดเดียวกับเธอพร้อมด้วยภรรยาและลูกสาว
ฝางซือฉีและ หลิวอี๋ถิง เพื่อนสนิทของเธอ สนใจในวรรณกรรมเป็นทุนเดิม เมื่ออาจารย์หลี่อาสาเป็นครูสอนพิเศษโดยให้เขียนเรียงความไปส่งที่ห้องเขาสัปดาห์ละครั้ง เด็กสาวทั้งคู่จึงตอบตกลงทันที หารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของ 5 ปีแห่งความทรมาน ที่เขาข่มขืนบังคับให้เธอสมยอมในฐานะชู้รัก หลี่กั๋วหัวค่อยๆ ดึงฝางซือฉีเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยตัณหาและคำลวง หลอกล่อว่าสถานที่ที่เธออยู่คือสวนสนุก หว่านล้อมให้เธอเชื่อว่าความรักที่เขามอบให้คือรักในฝัน ครอบครองร่างกายและโยนความผิดให้เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งจิตใจของเด็กสาวแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
นอกจากประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศ หนังสือเล่มนี้ยังสอดแทรกเรื่องความรุนแรงในครอบครัวผ่านคู่สามีภรรยาอย่าง เฉินอีเหวย และ สวี่อีเหวิน เพื่อนบ้านที่ฝางซือฉีเคารพและได้เข้าไปคลุกคลีด้วยบ่อยๆ ชีวิตหลังแต่งงานที่คนภายนอกมองว่าน่าอิจฉากลับต้องพบจุดเปลี่ยน เมื่อสามีผู้แสนดีกลายเป็นปีศาจทุกครั้งที่เหล้าเข้าปาก อีเหวินต้องทนทุกข์จากการถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจเมื่อฝ่ายชายมึนเมาขาดจนสติ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เธอกลับยอมก้มหน้ารับความเจ็บปวดเพราะทั้งรัก ทั้งหวาดกลัว และคาดหวังลึกๆ ว่าวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างฝางซือฉีและอาจารย์สอนพิเศษนั้นเรียกได้ว่าเป็นการถูกล่อลวง เพราะก่อนหน้านี้ หลี่กั๋วหัวได้ใช้คำว่า “รัก” ล่วงละเมิดเด็กนักเรียนมาแล้วหลายคน ด้วยความเชี่ยวชาญทางวรรณกรรมบวกคารมคมคายเขาจึงชักจูงหลอกล่อให้เหยื่อคล้อยตามและคิดว่าการกระทำของเขาคือความรักที่แท้จริง
“…เธอจะตำหนิฉันก็ได้ที่เดินมาไกลเกินไป เธอตำหนิฉันก็ได้ที่ทำเกินไป แต่เธอตำหนิความรักของฉันได้หรอ เธอตำหนิความสวยของตัวเองได้หรอ ยิ่งไปกว่านั้นนะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครูแล้ว เธอคือของขวัญวันครูที่ดีที่สุดในโลกเลย”
คำว่า “นี่คือวิธีที่อาจารย์ใช้รักเธอ” ถูกยกขึ้นมาใช้นับครั้งไม่ถ้วน ราวกับจะตอกย้ำให้ฝังลงในสมองคนอ่าน ช่างเป็นการเอ่ยคำรักที่ชวนให้ขนลุกขนพองเหลือเกิน
นักเขียนเล่าเรื่องผ่านบรรยากาศอันน่าอึดอัดตั้งแต่ต้นจนจบ การล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนหลายต่อหลายคนไม่ได้ทำให้หลี่กั๋วหัวประสบปัญหาหรือได้รับผลกระทบจากการกระทำเหล่านั้นเลย และสาเหตุที่ผู้กระทำผิดอย่างเขาอยู่ในสภาวะลอยตัวเช่นนี้ได้ก็ล้วนเป็นผลพวงจากระบบทางสังคมนั่นเอง
สังคมของฝางซือฉีขาดการปลูกฝังเรื่องความรักที่ถูกต้อง เรื่องเพศเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ครอบครัวของเธอหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง อีกทั้งพวกเขายังด่วนตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกและบทบาทหน้าที่ทางสังคม เพียงเห็นว่าหลี่กั๋วหัวเป็นอาจารย์ ก็วางใจฝากฝังให้ดูแลลูกสาว โดยหารู้ไม่ว่านี่คือการเปิดโอกาสให้คนร้ายล่วงละเมิดทางเพศลูกของตน
ขณะเดียวกันสังคมของสวี่อวีเหวินเต็มไปด้วยความเมินเฉย แม้คนรอบข้างจะรู้ว่าเธอถูกสามีตบตีแต่ยังเลือกที่จะไม่ใส่ใจ มากสุดก็แค่จับกลุ่มนินทา ไม่มีการตักเตือนหรือแจ้งข้อหาเอาผิดฝ่ายชาย ไม่มีการยื่นมือเข้าช่วยเหลือฝ่ายหญิง ราวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป
ความเจ็บปวด ความอึดอัดของผู้เขียนถ่ายทอดออกมาในทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบถึงกับนั่งตัวชาไปพักใหญ่เพราะเรื่องตัดจบได้อย่างโหดร้ายแต่ก็สมจริงเหลือเกิน เพราะหลงใหลวรรณกรรมมาตั้งแต่เด็กทำให้งานเขียนของหลินอี้หานเต็มไปด้วยความงดงามด้านวรรณศิลป์ การอุปมาอุปไมยที่นักเขียนและนักแปลเลือกใช้ช่วยขยายภาพให้คนอ่านจินตนาการตามและเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ครั้งหนึ่งหลินอี้หานเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการเขียนนิยายเรื่องนี้ทำให้เธอทุกข์ทรมานอย่างไร “มันไม่ใช่แค่นิยายธรรมดาๆ แต่เป็นหนังสือที่ทำลายชีวิตฉัน ตลอดทั้งเรื่องแสดงเหตุการณ์ถูกทำร้ายซ้ำไปซ้ำมา พูดถึงเตียงนั้น ห้องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเจ็บปวด…” เธอต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการตีแผ่ประสบการณ์อันเลวร้ายเหล่านี้ ด้วยความหวังว่าในสังคมจะไม่มีฝางซือฉีเพิ่มขึ้นอีกคน
ในสังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้ ข่าวข่มขืน กระทำชำเรา พรากผู้เยาว์ และความรุนแรงในครอบครัวยังมีให้เห็นอยู่เสมอ แต่ไม่บ่อยนักที่ผู้ตกเป็นเหยื่อจะออกมาเรียกร้องความยุติธรรม เพราะนอกจากความเห็นอกเห็นใจ กฎหมายมักกดดันให้เจรจายอมความกับอาชญากรที่สร้างตราบาปให้พวกเขาไปชั่วชีวิต การถูกตั้งคำถามและเสียงต่อว่าจากสังคมคือสิ่งที่ผู้เสียหายหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นที่ได้ยินประจำ เช่น ไม่รักนวลสงวนตัวบ้าง แต่งตัววาบหวิว ยั่วยวนบ้าง หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกำลังผลักความผิดให้ผู้ถูกกระทำ
บางฉากในนิยายแสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนของฝางซือฉี สวี่อวีเหวิน และบรรดาเด็กสาวที่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อพวกเธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือก็มักจะถูกโจมตีเสมอ บางคนถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สาม เป็นคนเลวที่เข้าไปทำให้ครอบครัวชาวบ้านแตกแยก โดนหาว่าเป็นผู้หญิงสกปรก น่ารังเกียจ แต่คนที่สมควรจะถูกประนามจริงๆ กลับยังได้รับความเคารพนับหน้าถือตาในสังคม
มีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังทุกข์ทรมานเพราะความรุนแรงในครอบครัวและถูกล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องราวของฝางซือฉีทำให้เรารู้สึกราวกับตัวเองได้เข้าไปเป็นหนึ่งในตัวละครที่เฝ้ามองเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่มีความสามารถพอจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลย
พวกเขาต้องเผชิญความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ แม้จะอยากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองมากแค่ไหนแต่การปลูกฝังของสังคมยังคงทำให้เหยื่อรู้สึกผิดและเลือกเก็บงำเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ ซึ่งสวนสนุกแห่งการลงทัณฑ์ฯ นำเสนอแง่มุมของผู้ตกเป็นเหยื่อออกมาได้อย่างลึกซึ้งสะเทือนใจ
แต่ที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าคือความโหดร้ายเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในสังคมของเรา
*หมายเหตุ : เนื้อหาในหนังสือมีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงทางเพศ