©ulture

วัตถุดิบที่ทำให้ต้นไม้สักต้นผลิดอกออกผลมีอะไรบ้าง ?

ต่อให้ดินดี อากาศเป็นมิตร มีคนเอาใจใส่ ก็คงไม่สำคัญเท่าพืชต้นนั้นพอใจกับสิ่งเหล่านี้และพร้อมจะหยั่งรากของตัวเองลงในผืนดินเบื้องล่างแค่ไหน

ชายหนุ่มเอามือกอบดินในทุ่งกว้างขึ้นมาอวดภรรยา

“ที่นี่ดินดี” เขาเชื่อแบบนั้นจนทำให้ภาพสวนผักขนาด 50 เอเคอร์ฉายชัดเจนอยู่ในดวงตา ดินดีๆ อาจทำให้เมล็ดพันธุ์จากเกาหลีใต้บ้านเกิดผลิดอกออกผล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันเพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวของเขายืนต้นได้อย่างมั่นคงในแผ่นดินอเมริกา

มินาริ (Minari) เป็นเรื่องราวของครอบครัวชาวเกาหลีใต้ที่จากบ้านเกิด อพยพมาตั้งรกรากบนแผ่นดินอเมริกา เจค็อป อี (สตีเฟน ยอน) และ โมนิก้า อี (ฮันเยรี) สองสามีภรรยาหาเลี้ยงชีพด้วยการคัดแยกเพศลูกไก่มานานกว่า 10 ปี ก่อนที่พวกเขาจะเก็บเงินได้ก้อนใหญ่แล้วตัดสินใจพา แอนน์ (โนเอล โช) ลูกสาวคนโต และ เดวิด (อลัน คิม) ลูกชายวัย 6 ขวบที่เป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด ย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในรัฐอาร์คันซอ ชนบททางตอนใต้ของอเมริกา

พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านตู้คอนเทนเนอร์ยกสูงอันคับแคบ ตั้งอยู่บนคานรถบรรทุกเก่าๆ จนพี่น้องตระกูลอีพากันเรียกตลกๆ ว่า ‘บ้านติดล้อ’ เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นที่ดินเปล่าผืนกว้างที่เจค็อปผู้เป็นพ่อตั้งใจจะเนรมิตรให้เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ ปลูกพืชสายพันธุ์เกาหลีส่งขายให้กับชาวเกาหลีที่อพยพมาอยู่อเมริกาเช่นเดียวกับเขา ไม่นานนัก ซุนจา (ยูนยอจอง) แม่ของโมนิกา ยายของเด็กๆ ก็บินลัดฟ้าจากเกาหลีมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

รถซีดานคันใหญ่ที่ดูซอมซ่อ แฟชันกางเกงเอวสูงของโมนิก้า เฟอร์นิเจอร์วินเทจในบ้านขอครอบครัวอีทำให้เราพอจะเดาได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากหลังเป็น ปี 1980 ซึ่งเป็นช่วงปีเดียวกันที่ครอบครัวของ ลี ไอแซ็ค ชอง (Lee Isaac Chung) ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อพยพจากเกาหลีใต้มามาลงหลักปักฐานเป็นชาวไร่ที่อาร์คันซอเช่นเดียวกัน

ลี ในวัย 42 ปี หวนนึกถึงชีวิตวัยเด็กและหยิบช่วงเวลาเหล่านั้นมาเป็นหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาตั้งใจให้มินาริเล่าเรื่องราวของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่เข้ามาลงหลักปักฐานในอเมริกา ไม่ได้เล่าสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญจากโลกภายนอกมากนัก แต่กลับเลือกพาเราเข้าไปนั่งในบ้าน เงี่ยหูฟังเสียงร้าว มองความขัดแย้งที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เสียงนี้อาจไม่เคยเล็ดลอดออกไปให้ใครได้ยิน แต่กลับดังก้องอยู่ในบ้านและในในความรู้สึกของพวกเขาเสมอมา

หยั่งรากลงบนดินผืนใหม่

มินาริ (Oenanthe javanica) มีหลายชื่อที่เรียกกันไปตามท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็น มิซูน่า ผักชีน้ำเวียดนาม ผักชีล้อม นี่เป็นพืชคลุมดินที่ถือกำเนิดขึ้นในเอเชียตะวันออก แพร่พันธุ์ได้ไวหากปลูกในที่อากาศอบอุ่นไปจนถึงร้อน ชื่นชอบดินชื้นๆ ริมลำธาร คนเกาหลีนิยมเก็บไปกินสดๆ หรือปรุงอาหาร

คุณยายของลีเองก็ปลูกต้นมินาริไว้ในสวนหลังบ้าน ทำให้เขาคุ้นเคยและหยิบเอาพืชชนิดนี้มาเป็นตัวเล่าเรื่องที่สำคัญใน มินาริ ภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน

ไม่ใช่แค่รากของต้นมินาริที่ค่อยๆ หยั่งลงในผืนดิน แต่ครอบครัวอีผู้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่ก็เช่นเดียวกัน พวกกำลังพยายามเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเล็กๆ แห่งนี้

ภาพยนตร์ชวนให้เรามองเห็นความพยายามของครอบครัวอีที่ค่อยๆ หยั่งรากอ่อนเพื่อยืนต้นให้มั่นคงในแผ่นดินอเมริกา เมื่อที่นี่คือบ้านใหม่ และพวกเขาคือคนแปลกหน้า ยิ่งกว่าต้องปรับตัวให้เข้ากับชุมชน ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องปรับตัวเข้าหากันด้วย

อะไรกันที่ทำให้เมล็ดพันธุ์ตระกูลอีปลูกลงดินได้ยากยิ่ง?

อาจเพราะ เจค็อป – เป็นเหมือนไม้ต้นไม้ใหญ่ที่โค่นได้ง่าย

แม้จะทิ้งทุกอย่างไว้ที่เกาหลี แต่เจค็อปผู้เป็นพ่อยังเชื่อมั่นในชาติกำเนิดของเขาอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะมีความฝันแบบ ‘อเมริกันดรีม’ ที่เชื่อว่าทุกชีวิตในอเมริกาจะประสบความสำเร็จได้อย่างเท่าเทียม แต่เขาไม่เคยสลัดความคาดหวังของชาติกำเนิดออกไปไม่เคยได้เลยสักครั้ง

‘เราต้องทำตัวให้มีประโยชน์’ อย่าทำตัวให้เหมือนลูกไก่ตัวผู้ เขาบอกกับลูกชายคนเล็ก ขณะที่ทำงานในโรงคัดแยกไก่ เจค็อปให้ความสำคัญกับการทำงานหนักแบบฉบับคนเกาหลีที่เติบโตมากับการสร้างชาติ เขาเชื่อว่าคนเกาหลีฉลาดและเก่งกาจเกินกว่าจะพึ่งพาใคร เมื่อหวังจะเปลี่ยนที่ดินเปล่าให้เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ เขาจึงเริ่มลงมือขุดดินด้วยตัวเอง และปฏิเสธทุกความช่วยเหลือจากคนในท้องถิ่น

เจค็อปมองว่าเขาจำเป็นต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นพ่อที่ต้องประสบความสำเร็จให้ลูกๆ เห็นให้ได้สักครั้ง ความทะเยอทะยานของเจค็อป ทำให้เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แข็งกระด้างเกินกว่าจะหย่อนลงดินแล้วปล่อยให้เติบโตได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ลำต้นจะแข็งแรงมากแค่ไหน แต่เขาเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านแต่ไร้ซึ่งรากแก้ว ไม่เคยโอนอ่อนตามแรงลมและโค่นล้มได้ง่าย เมื่อเสาหลักไม่มั่นคง ความตึงเครียดก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นในครอบครัวอย่างช้าๆ โมนิก้าผิดหวังที่ต้องใช้ชีวิตในบ้านคอนเทนเนอร์ท่ามกลางชนบท อีกทั้งต้องคอยรับมือกับฝันที่ดูใหญ่เกินเอื้อมของสามี

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังการมาเยือนของซุนจา แม้โมนิก้าจะดีใจที่แม่ย้ายเข้ามาอยู่ในชายคาเดียวกัน แต่ซุนจากำลังทำให้มวลในครอบครัวเปลี่ยนไป และแน่นอนว่าคนที่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างออกนอกหน้าคือเดวิด ลูกชายวัย 6 ขวบ

ในขณะที่เจค็อปหมกมุ่นอยู่กับผักในฟาร์ม โมนิก้าคอยประคับประคองค่าใช้จ่ายให้ทุกชีวิตอยู่รอด เดวิดกับซุนจากลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา ส่วนแอนน์เฝ้าดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ ความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นทำให้สมาชิกแต่ละคนไม่ต่างอะไรกับปลาช็อกน้ำ ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ยังไม่รู้วิธียึดตัวเองลงในดินให้มั่นคง

 

ปรับตัวเพื่อผลิบาน

“…มีนารี มีนารี วันเดอร์พุล วันเดอร์พุล…”

ซุนจาผู้เป็นยายกล่อมเดวิดให้นอนหลับ ด้วยเพลงมินาริที่หลานชายเป็นคนแต่ง เธอออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงเกาหลีอย่างไม่ขัดเขิน หลังจากที่ฝึกพูดกับเดวิดอยู่บ่อยๆ

ซุนจาเป็นคนพกเมล็ดมินาริมาจากเกาหลี แล้วนำมาปลูกตรงริมลำธารที่เธอเห็นว่ามันต้องเติบโตได้ดี เป็นไปตามคาด ต้นมินาริแผ่กิ่งก้านเล็กๆ ของมันคลุมผืนริมตลิ่งเอาไว้จนเขียวชอุ่ม มินาริกลายเป็นตัวแทนของพืชพรรณที่งอกงามได้ง่ายเพียงเจอพื้นที่ที่เหมาะสม ซุนจาคุณยายตาแหลมคนทีปลูกมันขึ้นมากับมือก็เป็นกุญแจที่ทำให้ครอบครัวอีมองเห็นความสำคัญของการปรับตัว ที่ไม่ใช่แค่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แต่หมายถึงปรับตัวเพื่อพยุงความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้

แม้ที่นี่จะเป็นอเมริกา แต่ซุนจายังใช้ชีวิตแบบฉบับคุณยายชาวเกาหลี เธอใช้เวลาว่างสำรวจละแวกบ้าน เก็บขยะ ปลูกต้นไม้ เรียกได้ว่ากำลังทำตัวให้เป็นประโยชน์ไม่ต่างจากเจค็อป เธอยังคงสบถคำหยาบภาษาเกาหลีเวลานั่งเล่นไพ่นกกระจอกกับหลานๆ และยังนั่งดูทีวีบนพื้นพรมทั้งๆ ที่มีโซฟาตัวใหญ่ในบ้านแบบอเมริกัน ขณะเดียวกันซุนจาก็เป็นคนที่ปรับตัวได้เก่งกาจอย่างเหลือเชื่อ เธอพยายามพูดภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ เพื่อสื่อสารกับเดวิด ยอมอ่อนข้อให้เขาอยู่เสมอ เป็นคนประณีประนอมและคอยปลอบประโลมทุกชีวิตในบ้าน หากเจค็อปเป็นต้นไม้ใหญ่ ซุนจากลับเป็นเหมือนต้นหญ้าที่พร้อมจะโอนอ่อนไปตามแรงลมได้ทุกเมื่อ

การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญที่แต่ละคนได้เรียนรู้หลังเผชิญวิกฤติแต่ละครั้ง และนี่ก็เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ทำให้เมล็ดพันธุ์อย่างพวกเขาผลิบานและเติบโตในผืนดินแห่งนี้ได้

 

วัยเด็กของลี ไอแซค ชองที่ถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม

ภาพยนตร์เล่าเรื่องผ่านสายตาของเดวิด ลูกชายคนเล็กเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าแอนน์จะเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยประคับประคองครอบครัวได้ไม่ต่างกับซุนจา แต่เมื่อเรารู้ว่าเรื่องนี้มีเค้าโครงจากชีวิตจริงของผู้กำกับ เลยพอเดาได้ว่าลีกำลังเล่าเรื่องของตัวเขาเองผ่านสายตาของเดวิด

ในแง่หนึ่งเราอาจพยายามตีความสัญญะที่แฝงอยู่ในภาพยนตร์ แต่ในอีกแง่นี่อาจเป็นภาพยนตร์ที่ไม่จำเป็นต้องตีความอะไรเลย เมื่อเป็นเรื่องกึ่งชีวประวัติเช่นนี้ ภาพที่ปรากฎบนจอเงินตรงหน้าเป็นเพียงชีวิตจริงที่ไม่ได้ปรุงแต่งของลี คล้ายๆ กับงานเขียนของมูราคามิ ที่ก้อนความรู้สึกจะลอยคว้างอยู่เช่นนั้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแต่คงจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยหากคุณเองก็เคยรู้สึกแบบเดียวกัน และลีเองก็เผยว่าเขาตั้งใจให้มินาริเป็นส่งเสียงทักทายไปยังครอบครัวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในอาร์คันซอบ้านเกิดของเขา

ลีในวัยเด็กและ Leisle Chung ผู้เป็นพี่สาว (Photo : www.chieftain.com)

ตระกูลชองเป็นชาวเกาหลีใต้ที่อพยพมาอยู่ที่รัฐอาร์คันซอเช่นเดียวกับตระกูลอีในภาพยนตร์แทบทุกประการ ลีอาศัยอยู่ในฟาร์มกับพ่อ แม่ พี่สาว และคุณยาย ที่ดูจะแตกต่างจากในภาพยนตร์เล็กน้อยเห็นจะเป็นยายของเขา ที่ในตอนนั้น เธออายุเพียง 50 ต้นๆ และยังดูสาวสะพรั่งกว่าซุนจา

ลีหยิบยกเอาเหตุการณ์ที่เขาเผชิญในฐานะครอบครัวเกาหลีในอเมริกามาเล่าคลอไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เช่น การใช้ภาษาอังกฤษในบ้าน กินซีเรียลเป็นอาหารเช้า แต่กินกิมจิในมื้อเย็น

และยังพูดถึงระเด็นหนักๆ อย่าง Microaggressions หรือการโดนตัดสินรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างละเมียดละไม ในฉากที่เด็กๆ อเมริกันพิวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาของพี่น้องตระกูลอี แม้นี่จะเป็นประเด็นที่ชวนให้เจ็บปวด แต่ลีเลือกที่จะนำเสนอในมุมมองตลกร้ายแบบเด็กๆ และไม่ได้ระบุมากนักว่าตัวละครรู้สึกอย่างไร เรื่องวัฒนธรรมและความแตกต่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกแทรกมาเป็นส่วนหนึ่งอย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้เข้มข้นเท่ากับมวลความรู้สึกที่เกิดขึ้นในครอบครัวของพวกเขา

หากเปรียบ มินาริ เป็นคน คงไม่ใช่ใครที่จะป่าวประกาศให้สังคมมามองเห็นความเหลื่อมล้ำที่สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเมื่อเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในอเมริกา แต่คงเป็นคนที่ค่อยๆ เล่าเรื่องของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติเพียงให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของตนเอง และพวกเขาเองก็มีชีวิตที่เหมือนๆ กับครอบครัวอื่นๆ ที่เมื่อเจอความเปลี่ยนแปลงก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว

มินาริเป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าความเป็นอยู่ของครอบครัวอเมริกัน-เอเชียได้อย่างเรียบง่าย แต่กลับทำให้คำจำกัดความของคำว่า ‘อเมริกัน’ นั้นกว้างขึ้นกว่าเดิมได้อย่างเหลือเชื่อ

 

Minari (2020)

กำกับและเขียนบท : ลี ไอแซค ชอง

ประเทศ : สหรัฐอเมริกา

ภาษา : เกาหลี, อังกฤษ

ความยาว : 115 นาที

 

อ้างอิง

  • Jonathan Romney.Minari director Lee Isaac Chung: ‘My friends back in Arkansas are the audience I wanted to connect with’.https://bit.ly/3uyTbZ

FACT BOX

  • มินาริเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (สตีเฟน ยอน) , นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (ยูนยอจอง), ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
  • มินาริเข้าชิงบนเวทีลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards) ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม แทนที่จะได้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เนื่องจากในเรื่องใช้ภาษาเกาหลีสื่อสารเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่ผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดง รวมไปถึงทีมงานเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียแทบทั้งหมด ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นภาพยนตร์สัญชาติอเมริกาอย่างเต็มตัว ทำให้เกิดข้อถกเถียงในวงกว้างว่าแท้ที่จริงแล้วคำว่าอเมริกันคืออะไร หากจะวัดจากแค่ปริมาณภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารในเรื่องเท่านั้นจะเพียงพอหรือไม่