©ulture

ความรู้สึกหนึ่งที่ชวนให้ขัดใจผู้อ่านทุกครั้งเมื่อนึกถึง คือความรู้สึกอยากอ่านหนังสือบางเล่มมากๆ แต่กลับหามาอ่านไม่ได้

เหตุผลหลักเป็นเพราะว่า หนังสือเล่มนั้นเคยตีพิมพ์นานแล้วจนไม่เหลือให้วางขายตามร้าน ที่เห็นประกาศขายบนออนไลน์ ก็ทำใจซื้อไม่ไหวเพราะตั้งราคาสูงลิ่วเกินกว่าราคาปกหลายเท่าตัว ผู้อ่านจำนวนไม่น้อยจึงเผชิญชะตากรรมเดียวกัน คือต้องเก็บความรู้สึกอยากเอาไว้ แล้วส่งเสียงไปยังสำนักพิมพ์ให้นำหนังสือที่อยากอ่านกลับมาตีพิมพ์อีกหน

จนในที่สุด บรรดาสำนักพิมพ์เล็กใหญ่ได้พร้อมใจกันหยิบหนังสือปีลึกที่ห่างหายไปแวดวงผู้อ่านมาปัดฝุ่นปรับปรุงเนื้อหา และออกแบบรูปเล่มใหม่ ให้สมกับการกลับมาอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่หาไม่ได้บ่อย

becommon จึงคัดสรรหนังสือพิมพ์ใหม่ทั้ง 10 เล่มมาแนะนำให้ผู้อ่านหายคิดถึง เพื่อต้อนรับช่วงเวลาที่ควรจะเป็นบรรยากาศของงานหนังสือ ถึงแม้ว่าการระบาดซ้ำของโควิด-19 จะทำให้งานฯ ถูกเลื่อนออกไปหนึ่งเดือน แต่ยังมีช่องทางออนไลน์ของแต่ละสำนักพิมพ์ให้ผู้อ่านได้สั่งซื้อมาอ่านก่อน

1
รักเมื่อคราวห่าลง
(El amor en los tiempos del cólera • Love in the Time of Cholera) 

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2556

“ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายผู้ตกหลุมรักเด็กหญิงคนหนึ่ง
เสียงหัวเราะของเธอคือคำถามที่เขาต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อหาคำตอบ”

คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อรัก หรือเป็นเพราะรัก เราจึงมีชีวิตอยู่ วรรณกรรมเล่มนี้มีคำตอบ

ผลงานเขียนของนักเขียนรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ประจำปี 1982 ว่าด้วยเรื่องราวความรัก จังหวะเวลา และชะตาชีวิตระหว่าง ‘ฟลอเรนติโน อาริซา’ กับ ‘เฟร์มินา ดาซา’ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติซึ่งทั้งคู่ไม่อาจต่อรองหรือต้านทาน ทำได้เพียงกุมหัวใจไว้ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเขาและเธอจะกลับคืนสู่กัน

เขานับวันรอด้วยใจจดจ่อ เป็นเวลาทั้งสิ้น 53 ปี 7 เดือน กับอีก 11 วัน โดยไม่เคยหลงลืมทุกความรู้สึกและทุกรายละเอียดของชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้น ทั้งความทรงจำในวัยเยาว์ตั้งแต่พานพบเธอผู้เป็นที่รัก จุดพลิกผันที่ผลัดพรากให้เธอจากไป และชีวิตที่ไม่มีกันและกันในเมืองท่าอาณานิคมเก่าแก่แห่งทะเลแคริบเบียน

ท้ายที่สุด ไม่ว่าความรักของเขาและเธอจะลงเอยอย่างไร แต่เขา–เด็กชายผู้ตกหลุมรักเด็กหญิงคนหนึ่ง ยังมั่นคงในความรู้สึกของตนไม่เปลี่ยนแปลง

ผู้เขียน: กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel García Márquez)
ผู้แปล: รัชยา เรืองศรี, ชนฤดี ปลื้มปวารณ์
สำนักพิมพ์: บทจร
จำนวนหน้า: 448 หน้า
ราคาปก: 750 บาท (ปกแข็ง)

2
โลกในมือนักอ่าน
(A History of Reading)

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2546

“พวกเขากำลังยืนยันสิทธิอันพึงมี
ที่จะถามหาสิ่งที่พวกเขากำลังพยายามที่จะค้นหาอีกครั้งท่ามกลางซากปรึกหักพัง
สิ่งที่บางครั้งการอ่านก็เต็มใจมอบให้ สิ่งนั้นคือ ความเข้าใจ”

หลายสังคมดำรงอยู่ได้โดยไม่มีการเขียน แต่ไม่มีสังคมใดจะดำรงอยู่ได้โดยปราศจาการอ่าน การอ่านจึงเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ และช่วยเติมเต็มให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ย้อนรอยประวัติศาสตร์แห่งการอ่านกว่า 6,000 ปี นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มถอดความหมายผ่านดวงตา ประดิษฐ์ระบบการเขียนขึ้นมา จนกระทั่งมีหนังสือเป็นเล่มๆ เอาไว้เขียนบันทึกและเปิดอ่านย้อนหลัง

ทั้งหมดร้อยเรียงเป็นเรื่องราวผ่านการเดินทางของถ้อยคำระหว่างบรรทัด และชีวิตของผู้คนในอดีต ถึงแม้จะมากหน้าหลายตา แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนทำเหมือนกัน คือถือหนังสือเอาไว้เพื่ออ่านทุกอย่างบนหน้ากระดาษด้วยความตั้งใจ

เมื่อหนังสือคือโลกในมือนักอ่าน หนังสือเล่มนี้จึงทำหน้าที่คล้ายกระจก นอกจากใช้ส่องให้มองเห็นภาพกว้างของการอ่านที่เปลี่ยนแปลงมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยแล้ว ยังใช้ส่องเพื่อเข้าใจสังคมและความเป็นเราได้ไม่รู้จบ

ผู้เขียน: อัลเบร์โต มังเกล (Alberto Manguel)
ผู้แปล: กษมา สัตยาหุรักษ์, ดนยา กนกระย้า
สำนักพิมพ์: Bookscape
จำนวนหน้า: 568 หน้า
ราคาปก: 495 บาท (ปกอ่อน)

3
สาวไห้

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก 2486

“บทประพัรธ์ที่ไพเราะคืออาหารของโลก
เป็นเพลงของจิตใจ และเป็นเงาของความจเริน”

คืนชีวิตในโลกวรรณกรรมจากนวนิยายเก่าจากทศวรรษ 2480 ให้กับ ‘กรรณิการ์ บุษราคัม’ ผู้เป็นมากกว่าตัวละครเอกของเรื่อง เพราะเธอคือภาพแทนของสตรีหัวก้าวหน้า กล้าตั้งคำถามถึงความเป็นหญิงท้าทายสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ที่มองว่าผู้หญิงเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากต้องเป็นไปตามความคาดหวังของสังคม

นี่คือเรื่องราวของชีวิตที่ไม่ได้เดินตามขนบศีลธรรม ข้ามเส้นพรมแดงทางเพศ และกระโจนสู่สัมพันธ์สวาท บนความท้าทายที่ต้องต่อสู้กับข้อครหาจากสังคม ถ่ายทอดด้วยสำนวนสะวิงของนักเขียนผู้เป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตให้กับ ’รงค์ วงษ์สวรรค์

สำหรับฉบับพิมพ์ครั้งนี้ ทางสำนักพิมพ์ได้แก้ไขตัวสะกดให้ถูกต้องตามปัจจุบัน และเปลี่ยนสรรพนามให้หลากหลาย รวมถึงจัดย่อหน้าใหม่ให้ผู้อ่านเห็นการลำดับเหตุการณ์ของเนื้อหานวนิยายได้ง่ายขึ้น ส่วนการเขียนคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษยังคงไว้เหมือนเดิมตามแบบฉบับของผู้เขียน

ผู้เขียน: วิตต์ สุทธเสถียร
สำนักพิมพ์: Salmon Books
จำนวนหน้า: 256 หน้า
ราคาปก: 345 บาท (ปกอ่อน)

4
ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน ฉบับปรับปรุง
(The Alchemist) 

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2547

“ผมไม่ได้อยู่ในอดีต หรือในอนาคต
ผมมีเพียงปัจจุบันเท่านั้น และปัจจุบันนั่นแหละที่ผมสนใจ
หากคุณสามารถอยู่ในปัจจุบันได้ตลอดเวลา คุณก็จะเป็นคนที่มีความสุข”

ทุกคนมีความฝัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำฝันให้สำเร็จเป็นความจริงตรงหน้าได้ หากอุปสรรคที่ขัดขว้างคือความเกรงกลัว ขอเพียงเปิดหนังสือเล่มนี้อ่าน

เนื้อเรื่องบอกเล่าชีวิตของ ‘ซานติอาโก’ เด็กหนุ่มเลี้ยงแกะผู้ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาอยู่ในท้องทุ่งของประเทศสเปน แต่แล้วเขาก็ฝันถึงขุมทรัพย์ในพีระมิดที่ประเทศอียิปต์ จนเกิดความสงสัยนึกอยากรู้ จึงตัดสินใจออกเดินทางตามหาขุมทรัพย์

ระหว่างทางเขาพบกับชายชราผู้อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์ และนักเล่นแร่แปรธาตุผู้เผยความลับของขุมทรัพย์ที่เขาตามหา สิ่งสำคัญที่ซานติอาโกค้นพบจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ชีวิตของเขา แต่ยังช่วยปลอบโยน มอบกำลังใจ และเปิดมุมมองใหม่ให้ผู้คนที่ไม่กล้าฝันหรือทำตามความฝัน เห็นโอกาส เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่ และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตอีกครั้ง

ผู้เขียน: เปาโล คูเอลญู (Paulo Coelho)
ผู้แปล: กอบชลี และ กันเกรา
สำนักพิมพ์: Nanmeebooks
จำนวนหน้า: 160 หน้า
ราคาปก: 225 บาท (ปกอ่อน)

5
ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2547

“การที่เราทั้งสองจะได้เป็นคู่รักกันหรือไม่ ไม่มีความสำคัญใดเลย
เพราะผมได้พบกับคุณแล้วในชีวิตนี้
และนั่น เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล” 

นวนิยายรักที่กล่าวถึงชีวิต ความสัมพันธ์ และเหตุการณ์ 9/11 ได้แสนเศร้าและตราตรึงใจในคราวเดียวกัน

บอกเล่าความทรงจำของสถาปนิกหนุ่มไทยผู้พยายามหลบหนีอดีตโดยเดินทางไปทำงานในห้องครัวที่ประเทศอังกฤษ แต่กลับกลายเป็นหมุดหมายของการเรียนรู้ชีวิตจากผู้คนรอบตัวที่สอนให้เขาเติบโตขึ้น รวมถึงก่อเกิดความรักครั้งใหม่กับสาวชาวเกาหลีสัญชาติอเมริกัน

โชคชะตาเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่กำลังก่อร่างให้กลายเป็นรักไม่ได้ไปตลอดชีวิต ไร้ซึ่งความชัดเจน ปราศจากบทสรุป ทุกอย่างถูกตัดจบอย่างไม่เต็มใจ เป็นทั้งความลับที่หาคำตอบไม่ได้ และเป็นความรู้สึกปวดร้าวที่บาดลงไปในส่วนลึกสุดของใจ ความโหดร้ายจึงอยู่ที่ว่าเขาไม่เคยลืมทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นได้ลง

สำหรับบางคน ในความโรแมนติกของกรุงลอนดอน จึงแอบแฝงด้วยมวลบรรยากาศของความหลัง เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาลเช่นกัน

ผู้เขียน: อนุสรณ์ ติปยานนท์
สำนักพิมพ์: ระหว่างบรรทัด
จำนวนหน้า: 192 หน้า
ราคาปก: 250 บาท (ปกอ่อน)

6
บันทึกนกไขลาน
(ねじまき鳥クロニクル • The Wind-Up Bird Chronicle)

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2549

“เป็นไปได้หรือที่มนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจอีกคนได้ถึงลึกซึ้งถ่องแท้”

การอ่านเป็นเรื่องของประสบการณ์ และการอ่านผลงานเขียนของมูราคามิ ก็ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกได้ทันทีว่า นวนิยายเล่มนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร

เมื่อชีวิตแสนจะธรรมดาของ ‘โอกาดะ’ หนุ่มผู้สมัครใจว่างงานกำลังจะเปลี่ยนแปลง หลังจากแมวที่เลี้ยงไว้หายไป ไม่นานภรรยาบ้างานก็ทิ้งเขา มีเพียงนกในสวนที่ยังส่งเสียงร้องให้ได้ยินทุกเช้า

เรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เป็นการบอกเล่าผ่านบันทึกประสบการณ์ของตัวละครที่เชื่อมโยงกับจินตนาการเหนือจริงและการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ จนทำให้ชีวิตว่างงานของโอกาดะเต็มไปด้วยเรื่องที่คาดไม่ถึง ซึ่งเสียดสีสังคมญี่ปุ่นได้อย่างชวนคิด และเข้าถึงจิตวิญญาณของคนที่รู้สึกว่าชีวิตกำลังหาทางออกจากเขาวงกตไม่ได้

สาระสำคัญของนวนิยายเล่มนี้จึงไม่ได้อยู่ที่บทสรุป หากแต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน โดยเฉพาะถ้าผู้อ่านรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงนกไขลานดังแสกแกรกกราก

ผู้เขียน: ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami)
ผู้แปล: นพดล-จินตนา เวชสวัสดิ์
สำนักพิมพ์: กำมะหยี่
จำนวนหน้า: 784 หน้า
ราคาปก: 750 บาท (ปกอ่อน), 850 บาท (ปกแข็ง) 

7
ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน
(夏と花火と私の死体 • Summer, Fireworks, and My Corpse)

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2547

“คุณป้ากำลังรื้อของเข้าออกอยู่ตรงตู้ชั้นล่าง แม้จะเป็นตู้เดียวกันกับที่ซ่อนร่างของฉัน
แต่คุณป้าก็ไม่มีทางรู้ เพราะฉันถูกวางนอนอยู่ชั้นบน หากคุณป้าแค่ขยับฟูกหรือ
ผ้าห่มที่คลุมตัวฉันนิดเดียว เธอคงจะเห็นนิ้วเท้าหรือเส้นผมของฉันโผล่พ้นเสื่อออกมา”

ผลงานเขียนรางวัลวรรณกรรมดีเด่นของเด็กชายวัย 17 ปี ก่อนที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นนักเขียนดาวรุ่งแห่งวงการนวนิยายลึกลับเขย่าขวัญในญี่ปุ่น

นำเสนอเรื่องราวความตายที่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ไร้ความโกรธแค้นอาฆาต แต่กลับชวนให้รู้สึกหนาวเข้ากระดูก เย็นยะเยือกถึงขั้วหัวใจ และตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์ผ่านมุมมองตัวละครไร้เดียงสา

ภายในเล่มประกอบด้วยเรื่องสั้นสองเรื่อง เรื่องแรกคือคดีฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 9 ขวบ และการพยายามดิ้นรนของพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากเหตุการณ์และช่วงเวลาที่ยากลำบาก เรื่องที่สองคือความลับของคุณผู้หญิงที่สาวใช้หน้าใหม่สงสัยใคร่รู้จนนำพาเธอไปสู่ความจริงอันน่าสะพรึง

ทุกเรื่องตีแผ่ความผุพังของชีวิต การสูญสิ้นของวัยเยาว์ในคนหนุ่มสาวได้อย่างสะเทือนใจ และแฝงความเศร้าไว้อย่างสุดซึ้ง 

ผู้เขียน: โอตสึอิจิ (Otsuichi)
ผู้แปล: พรพิรุณ กิจสมเจตน์
สำนักพิมพ์: Bibli
จำนวนหน้า: 192 หน้า
ราคาปก: 239 บาท (ปกอ่อน)

8
กำเนิดกระแสเกาหลี
(The Birth of Korean Cool) 

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2560

“กว่าจะป๊อประดับโลก เกาหลีเคยไม่คูลมาก่อน”

ในระยะเวลาสั้นๆ เกาหลีใต้เปลี่ยนผ่านตัวเองจากประเทศเฉิ่มเชยไร้การพัฒนามาสู่ประเทศเศรษฐกิจได้แบบก้าวกระโดดและร่ำรวยวัฒนธรรมที่ชวนให้ตื่นตาจนผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจ

ผลผลิตจากประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นกระแสนิยมที่คนให้การยอมรับอย่างที่เราเห็นกันชัดเจนถึงทุกวันนี้ แต่เคยสงสัยไหมว่า อะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ หรือเกิดอะไรขึ้นกับเกาหลีใต้กันแน่

ผู้เขียน–คนเกาหลี พร้อมเปิดเผยทุกคำตอบซึ่งจะทำให้ได้รู้จักเกาหลีใต้ในแง่มุมที่ใครหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน โดยเฉพาะเงื่อนไขด้านทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในประเทศ ทำให้ต้องพยายามถีบตัวเองออกจากความยากจน แล้วสร้างความคูลด้วย solfpower หรืออำนาจอ่อนขึ้นมาเป็นอาวุธลับต่อรอง ซึ่งค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนทั่วโลก แน่นอนว่าเกาหลีใต้ไม่ได้มีแค่อุตสาหกรรมบันเทิง

อาวุธลับนี้เองที่ทำให้เกาหลีใต้ขยับตัวออกจากความยากจนในอดีตได้ห่างไกลมากเหลือเกิน

ผู้เขียน: ยูนี ฮง (Euny Hong)
ผู้แปล: วิลาส วศินสังวร
สำนักพิมพ์: เอิร์นเนส
จำนวนหน้า: 263 หน้า
ราคาปก: 260 บาท (ปกอ่อน)

9
โปรดอ่านใต้แสงเทียนเพราะผมเขียนใต้แสงดาว

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2555

“บันทึกคือการทบทวน การบันทึกชีวิตทุกวันก็เหมือนได้ทบทวนชีวิตทุกวัน
ทบทวนวันนี้เพื่อบอกตัวเองว่า พรุ่งนี้จะใช้มันอย่างไร
บันทึกจึงเป็นการเขียนอดีตพร้อมกับขีดอนาคต”

ก่อนสำเร็จเป็นหนังสือเล่มนี้ เดิมทีเริ่มต้นจากการคัดสรรบทความของผู้เขียนตลอดระหว่างปี พ.ศ. 2545-2555 โดยรวมเล่มในชื่อหนังสือ ‘นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา’ และ ‘นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก’ ก่อนจะรวมกับเรื่องที่เขียนขึ้นใหม่ ณ เวลานั้น จนเป็นหนังสือ ‘โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว’

สำหรับฉบับพิมพ์ใหม่ ผู้เขียนได้เพิ่มตอนใหม่หนึ่งตอน และตอนพิเศษอีกหนึ่งตอน รวมเป็น 101 ความเรียงที่เรียกรอยยิ้มได้ในทุกหน้าไม่ว่าเรื่องนั้นจะเศร้าแค่ไหนหรือเหงาแค่ไหน อย่างน้อยก็คือส่วนหนึ่งของความทรงจำ หรือของขวัญที่กาลเวลาทิ้งไว้ให้เราทุกคน

หากจะมีนิยามใดที่เหมาะสมกับหนังสือเล่มนี้ ก็คงเป็นคำว่า หวานปนเศร้าเคล้าความอุ่นและหวนให้คิดถึงวันวาน

ผู้เขียน: ทรงกลด บางยี่ขัน
สำนักพิมพ์: Piccolo
จำนวนหน้า: 440 หน้า
ราคาปก: 375 บาท (ปกอ่อน)

10
ท็อปบู๊ตทมิฬ
(The Iron Heel)

เคยตีพิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2523

“ฐานะทางสังคมของผมนั้นอยู่ที่ก้นบึ้ง ตรงที่ผมอยู่นี้
ชีวิตไม่ได้ให้อะไรนอกเสียจากความทุกข์ทรมานอันร้ายกาจทั้งทางร่างกายและจิตใจ”

วรรณกรรมปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกและได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบนวนิยายดิสโทเปียสมัยใหม่ ว่าด้วยการปฏิวัติและการต่อสู้ระหว่างชนชั้นแรงงานกับระบบทุนนิยมที่โหดร้าย ภายใต้สังคมน่าหวาดกลัว เพราะปกครองด้วยระบบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ

ถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบบันทึกเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ความหวังกำลังริบหรี่ลงจวนหมดสิ้น แต่กลับมีคนหาญกล้าลุกขึ้นมาพยายามจุดความหวังให้สว่างอีกครั้ง

วรรณกรรมคลาสสิกระดับโลกเล่มนี้ ตอกย้ำว่าท็อปบู้ตทมิฬจะพินาศลงจนพบกับจุดจบเสื่อมเกียรติความเป็นมนุษย์ในไม่ช้า และเผด็จการจะต้องถูกขับไสให้พ้นจากมนุษยชาติ เพราะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากเกินกว่ามนุษย์เราจะยอมรับได้

ผู้เขียน: แจ็ค ลอนดอน (Jack London)
ผู้แปล: ทวีป วรดิลก
สำนักพิมพ์: แสงดาว
จำนวนหน้า: 448 หน้า
ราคาปก: 450 บาท (ปกอ่อน) 

 

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 49 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 19

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ทำให้คณะผู้จัดตัดสินใจเลื่อนงานฯ ออกไปก่อน
ติดตามกำหนดการใหม่ได้ทาง Thai Book Fair