เนื้อหมูสีชมพูในแพควางเรียงรายอยู่บนชั้นวางสินค้าแช่แข็งในซูเปอร์มาร์เก็ต คงชวนให้ใครหลายคนคิดถึงอาหารเย็นได้หลายเมนู
แต่คงไม่มีใครนึกถึงที่มาของเนื้อสัตว์เหล่านี้ ว่าก่อนที่พวกมันจะมานอนแน่นิ่งอยู่ในแพค ผ่านอะไรมา และมีอะไรอยู่ในนั้น
ซึ่ง ‘อะไร’ ที่ว่านี้ อาจทำให้อาหารเย็นมื้อสุดท้ายมาถึงเราก่อนวัยอันควร
เนื้อร้าย เพราะเร่งให้โต
ราวหมื่นปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค ในยุคแรกๆ ฟาร์มของเรามีขนาดเล็กกำลังดี เพราะเลี้ยงสัตว์เพื่อทานในครอบครัว หรือจำหน่ายในหมู่บ้านเท่านั้น
แต่พอศตวรรษที่ 18 โลกก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม วิธีเลี้ยงแบบดั้งเดิมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นก็ค่อยๆ หายไป เมื่อเทคโนโลยีช่วยให้การผลิตจำนวนมากเกิดขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว การผลิตจึงเน้นที่ผลลัพธ์เชิงปริมาณ และกดต้นทุนให้ต่ำที่สุด เพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาด
การทำปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์ตามวิถีธรรมชาติ ปรับเปลี่ยนสู่การมุ่งทำกำไรสูงสุด สิ่งมีชีวิตที่ควรใช้เวลาเติบโตตามธรรมชาติ ถูกผู้เลี้ยงทำให้โตให้ได้มาตรฐานไม่ต่างกับสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรม ในหนึ่งวันพวกมันจึงมีหน้าที่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เพื่อให้น้ำหนักตัวถึงเกณฑ์ก่อนจะถูกเชือดและนำไปจำหน่าย
เมื่อไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้เคยได้สัมผัสผืนดิน แสงแดด และอากาศบริสุทธิ์ ก็ทำให้สัตว์เกิดความเครียดและป่วยได้ง่าย
ถึงแม้ปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ด้วยการขยายพื้นที่และกลับสู่วิถีการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ใครจะรับความเสี่ยงได้ในเชิงธุรกิจ ดังนั้นหลายคนจึงแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่า โดยการฉีดยาปฏิชีวนะเพื่อให้สัตว์หายป่วยและแข็งแรง
‘ยาปฏิชีวนะ’ และ ‘เชื้อดื้อยา’
‘ยาปฏิชีวนะ’ หรือ ‘ยาต้านจุลชีพ’ คือยาที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่คุณหมอมักจะใช้กับคนไข้ที่ต้องเข้าผ่าตัด ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือโรคที่มีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียสูง นอกจากนี้ยังนิยมใช้ในการทำปศุสัตว์และเกษตรกรรม เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียในสัตว์และพืช
แม้ยาปฏิชีวนะจะถูกคิดค้นเพื่อเข้ามาช่วยชีวิตทั้งคนและสัตว์ แต่ปัจจุบันเรากลับกำลังเผชิญหน้ากับการใช้อย่างเกินความจำเป็น จนทำให้เกิด ‘เชื้อดื้อยา’ ซึ่งภัยเงียบที่กำลังคุกคามมนุษย์
ปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่ ‘ยุคหลังยาปฏิชีวนะ’ (post-antibiotic era) ซึ่งเป็นยุคที่เราจำเป็นต้องพัฒนายาปฏิชีวนะตัวใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียที่แข็งแรงขึ้นทุกวัน และที่ตลกร้ายไปกว่านั้น คือการใช้ยาปฏิชีวนะแบบผิดๆ นี่เอง ที่เป็นสาเหตุให้แบคทีเรียพัฒนาสายพันธุ์ได้เก่งกาจกว่าเดิม
จากการทดลองในหนู พบว่าหนูที่ติดเชื้อแล้วตาย ล้วนเคยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมาตลอด เพราะยาปฏิชีวนะมีผลข้างเคียงในการล้างแบคทีเรียในลำไส้และทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
มนุษย์เองก็เช่นกัน หากว่าได้รับยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นก็จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ แค่ติดเชื้อแบคทีเรียนิดหน่อย ก็อาจส่งผลถึงชีวิตได้
ปัจจุบันพบผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อดื้อยาทั่วโลกราว 700,000 คนต่อปี หากนับเฉพาะในประเทศไทย มีถึงผู้ติดเชื้อราว 87,751 คน และเสียชีวิตปีละประมาณ 42,509 ราย
ภัยเงียบจากจานอาหาร
การทานเนื้อสัตว์ คือ ช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนเราได้รับยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น
นิตยสาร ฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เผยผลการสุ่มตรวจเนื้ออกไก่และตับสด พบว่ามียาปฏิชีวนะตกค้างอยู่ราวๆ 41.3 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของเนื้อสัตว์ที่เรากิน
จากผลสำรวจที่น่าตกใจ ทำให้กรมปศุสัตว์ต้องเร่งควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะให้ได้ในปี 2564 โดยมีเป้าหมายคือลดการติดเชื้อดื้อยา ลดการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น และทำให้ผู้คนมีความรู้ในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง
เนื้อสัตว์แบบไหนที่ไว้ใจได้
เมื่อเนื้อสัตว์ในท้องตลาดนั้นมียาปฏิชีวนะปนเปื้อนอยู่เกือบครึ่ง หนทางที่ดีที่สุดสำหรับหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนอาจหมายถึงการเลิกกินเนื้อสัตว์อย่างถาวร แต่นั่นคงเป็นไปได้ยากสำหรับใครก็ตามที่กินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต
คำถามคือ แล้วเนื้อสัตว์แบบไหนที่เราควรบริโภค?
สำหรับคนที่อยากทานเนื้อสัตว์ที่สะอาดและปลอดภัย แนะนำให้เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และลองไปทำความรู้จักกับผู้ผลิต เช่น ฟาร์มออร์แกนิกที่เลี้ยงสัตว์ให้เติบโตตามธรรมชาติ วิธีนี้นอกจากจะทำให้เรารู้แหล่งที่มาของเนื้อสัตว์แล้ว ยังช่วยให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นจะปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ
นอกจากนี้ หากต้องการตัดขาดจากเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด ปัจจุบันก็มี ‘เนื้อทางเลือก’ หรือ Plant-based meat ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืช แต่ยังคงมีรสชาติและสัมผัสคล้ายกับเนื้อจากธรรมชาติ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก
แม้ว่าการบริโภคจะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเต็มขั้น แต่ก็ยังพอมีหนทางให้เราได้เลือกอาหารดีๆ และเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
ไม่แน่ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสังคมเล็กๆ ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมั่นใจได้ว่าเนื้อสัตว์ที่เรากินนั้นปลอดภัย
อ้างอิง
- พญ.เรณุกา จรัสพงศ์พิสุทธิ์ และ รศ.พญ.เกษวดี ลาภพระ.การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมส าหรับประชาชน. http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20191010135541.pdf
- พรรณนภา พานิชเจริญ.มีอะไรในเนื้อสัตว์ที่เรากิน?. https://www.greenpeace.org/thailand/story/9760/food-label-what-is-in-our-meats/
- กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.แผนยุทธศาสตร์จัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ.2560-2564. http://narst.dmsc.moph.go.th/documentation/AMR%20strategy%202560-2564.pdf
- สำนักข่าวอิสรา.ฉบับที่ 209 การตกค้างของยาปฏิชีวนะในอกไก่และตับไก่สด. https://www.isranews.org/isranews-scoop/67941-antibiotic.html
- ICCR.Antibiotics in Meat Production. https://www.iccr.org/our-issues/food-safety-and-sustainability/antibiotics-meat-production