ใครๆ ก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น มีด้วยหรือคนที่อยากให้ตัวเองเป็นทุกข์ตลอดเวลา?
คำตอบคือ…“มี”
แม้ว่าหนึ่งในสัญชาติญาณของมนุษย์คือการแสวงหาความสุข อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้คนจำนวนไม่น้อยบนโลกใบนี้ ‘ความสุขของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเป็นทุกข์’
Chronically Unhappy คือคำจำกัดความของ #ผู้เสพติดความทุกข์เรื้อรัง ที่ปล่อยให้ความรู้สึกผิดหวัง โศกเศร้า เสียใจเข้ามาทำร้ายตัวเองซ้ำๆ โดยที่บางครั้งไม่มีสาเหตุชัดเจน และเมื่อไหร่ที่ชีวิตราบรื่นและเป็นสุข พวกเขาก็จะพยายามพาตัวเองกลับไปหาอ้อมอกของความเจ็บปวดจนได้
ไม่ใช่แค่อกหักทิพย์ ตั้งสเตตัสเศร้าๆ เคล้าน้ำตาเป็นประจำ แต่อาการเสพติดความทุกข์เรื้อรังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกมิติของชีวิตประจำวัน เช่น
- รับบทเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ และโยนความผิดให้คนอื่นทุกๆ เรื่อง
- แม้จะมีชีวิตที่ดีมากแต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
- แสวงหาความทุกข์ พยายามทำให้ตัวเองลำบากเมื่อพบว่ามีชีวิตที่ดีเกินไป
- มักพาตัวเองไปตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- ละเลยที่จะดูแลตัวเอง และมักจะทำสิ่งที่เป็นบ่อนทำลายสุขภาพ
- ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเสมอ
มีหลายสาเหตุที่เปลี่ยนให้คนเรากลายเป็นนักสะสมความเศร้า ที่จำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป มาราเบ็ต จิเฮนน์ (Mrabet Jihene) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และผู้อำนวยการสำนักงานด้านการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาและความพิการที่มหาวิทยาลัยอเมริกัน ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อธิบายว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจาก
ตัวตน – ความรู้สึกไม่มั่นคงภายในตนเอง ไม่ภูมิใจในตัวเองหรือที่เรียกว่ามีระดับการยอมรับตัวเอง (Self-esteem) ต่ำกว่าปกติ
ปมในใจ – เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ (Traumatic event) ที่ทำให้เกิดปมขมวดแน่น พร้อมจะฉุดให้เจ็บปวดและหวาดกลัวอยู่เสมอ ตราบใดที่ปมนี้ยังไม่ถูกคลี่คลาย แม้ว่าจะมีความสุข แต่ก็ยังคิดว่าตัวเองจะต้องกลับไปสู่จุดเดิม
การเลี้ยงดู – เด็กๆ ที่เติบโตมาในครอบครัวที่เข้มงวดและคาดหวังสูง มักจะเอาความสำเร็จไปผูกติดกับความสุข แม้ว่าชีวิตจะดำเนินไปได้อย่าราบรื่นแต่ยังคงรู้สึกเป็นทุกข์และโหยหาการประสบความสำเร็จอย่างที่คนรอบข้างคาดหวังตลอดเวลา
อาการป่วย – บางครั้งความทุกข์เกิดจากอาการเจ็บป่วยส่วนบุคคล เช่น โรคดีสโทเนีย (Dystonia) ที่มีอาการเศร้าเรื้อรัง แต่จะไม่รุนแรงเท่าโรคซึมเศร้า เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเพราะการสูญเสีย การถูกปฏิเสธ ที่นำมาซึ่งความสะเทือนใจ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความผิดปกติกับการผลิตสารสื่อประสาทเซโรโทนินที่ควบคุมเรื่องความรู้สึกได้
ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์คืออะไร แต่ที่เรายังคงหล่อเลี้ยงความรู้สึกเหล่านี้ไว้เป็นเพราะเราเชื่อว่าจะรับมือกับมันได้
ดร.แฮร์รี่ ฮอร์แกน (Dr Harry Horgan) นักจิตวิทยาคลินิกแห่งศูนย์ประสาทวิทยาเยอรมัน อธิบายว่า มนุษย์ทุกคนมี #กลไกการเอาตัวรอด เป็นของตัวเอง เวลาเกิดภัยคุกคามขึ้นไม่ว่าจะกับทั้งร่างกายหรือจิตใจ เราจะเร่งหาทางแก้ไขและหลบหลีกได้เสมอ
เมื่อตกอยู่ในความทุกข์ เรามักจะหาทางให้ตัวเองรับมือกับมันได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่วิธีที่สมเหตุสมผลจนอาจอาจนำมาซึ่งความเคยชินผิดๆ ที่ทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจที่จะพาตัวเองออกจากจุดนั้น หลายคนจึงเลือกจองจำตัวเองให้เป็นนักโทษในคุกแห่งความทุกข์ทรมาน เพราะเชื่อว่ายังไงก็ยังรับมือไหว
จิตใจชินชา แต่ร่างกายอาจรับไม่ไหว
เมื่อเราเสียใจ เกิดอารมณ์เชิงลบหรือที่เรียกว่า ‘เป็นทุกข์’ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้นและลดระดับเซโรโทนินลง ตรงข้ามกับคนออกกำลังกาย ซึ่งจะยิ่งทำให้หลั่งฮอร์โมนส์ที่ทำให้เป็นสุขเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเราทำสิ่งเดิมที่กระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนส์เดิมซ้ำๆ ร่างกายจะเสพติดไปโดยไม่ทันรู้ตัว บางคนเสพติดการออกไปวิ่ง บางคนเสพติดของหวาน และบางคนก็เสพติดความทุกข์
หากปล่อยให้ตัวเองรู้สึกทุกข์ใจไปเรื่อยๆ ในระยะยาวจะทำให้ร่างกายค่อยๆ แย่ลง การรับรู้ไม่มีสิทธิภาพ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดเพี้ยน จดจำอะไรได้ไม่ดีเหมือนเดิม อีกทั้งยังไม่มีสมาธิจดจ่อกับการทำอะไร
แล้วเราจะออกจากวังวนนี้ได้อย่างไร ?
ดร.วาเลอเรีย ริโซลี (Dr.Valeria Risoli) นักจิตวิทยาคลินิกจากคลินิกกายภาพบำบัดดูไบและเวชศาสตร์ครอบครัว มีความเห็นว่าแม้จะทำได้ยากและใช้เวลานาน แต่การเลือกจะมีความสุขนั้นไม่เคยสายเกินไป
นี่คือวิธีเบื้องต้นสำหรับใครก็ตามที่ยังคงคลำทางอยู่ในความมืดมิด
ทำความเข้าใจเมื่อต้องผิดหวัง – ความเสียใจไม่ใช่เรื่องผิด จงปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผิดหวัง แต่ต้องไม่จมดิ่งเกินไป เมื่อทำความเข้าใจแล้วยังคงรู้สึกเป็นทุกข์อย่างต่อเนื่อง ให้พยายามดึงตัวเองออกจากความคิดลบแบบเดิมๆ อาจใช้วิธีตั้งคำถามว่า ทำไมเรายังรู้สึกแบบนี้? เราจะรู้สึกเศร้าไปอีกนานแค่ไห? เราจะเยียวยาความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?
พาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี – ถ้าเป็นไปได้ให้พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่รักและสนับสนุนเราอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงคนที่ชอบตำหนิและพูดถึงเราในแง่ลบเกินจำเป็นในแบบที่ไม่ได้ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
มองหาข้อดีในทุกๆ เรื่อง – พยายามมองหาข้อดีในทุกๆ เรื่อง อาจใช้วิธีจดบันทึกสิ่งที่รู้สึกขอบคุณและทำให้มีความสุขในแต่ละวัน
ฝืนยิ้ม – ถ้าสลัดความทุกข์ไม่พ้นสักที ลองแสร้งมีความสุขไปก่อนก็ได้ เพราะอย่างน้อยแค่ฝืนยิ้มก็ทำให้เซโรโทนินหลั่งออกมาแล้ว
อ้างอิง
- David Sack.Are You Addicted to Unhappiness?.https://bit.ly/31WUIvJ
- Nancy Colier.Negative Thinking: A Dangerous Addiction.https://bit.ly/3dTMSIW
- Dan Green.How Inner Passivity Keep Us Addicted to Unhappiness.https://bit.ly/3wFPPVV
- Karishma H. Nandkeolyar.Are you addicted to unhappiness?.https://bit.ly/39WPOTX