life

หมอดูมักจะบอกว่าชื่อมีผลกับชีวิตคนเรา ที่ดวงไม่ดีอาจเพราะชื่อมีอักษรกาลกิณี ถ้าอยากดวงดีต้องเปลี่ยนชื่อ ไม่ว่าเรื่องนี้จะพิสูจน์ได้หรือไม่ก็ตาม แต่จิตวิทยาเองก็เชื่อว่าชื่อนั้นส่งผลกับชีวิตมนุษย์ไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน 

ชื่อเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่กำเนิด และเป็นด่านแรกที่ทำให้คนอื่นรู้จักตัวเรา มีงานวิจัยทางจิตวิทยามากมายที่บ่งบอกแล้วว่าชื่อส่งผลับมนุษย์มากมายเหลือเกิน เพราะชื่อเป็นสิ่งที่แรกที่จะทำให้คนอื่นตัดสินเราได้ และยังเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดที่เรามีต่อตนเองอีกด้วย

เนื่องจากชื่อใช้เพื่อระบุตัวบุคคลและสื่อสารกับคนอื่นๆ ในแต่ละวัน มันจึงเป็นพื้นฐานของความคิดภายในตนเอง และสำคัญอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ที่เรามีต่อผู้อื่น” เดวิด จู (David Zhu) นักวิจัยด้านจิตวิทยาแห่ง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา กล่าว

เมื่อชื่อเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด และเป็นสิ่งที่กำหนดว่าคนอื่นจะปฏิบัติกับราอย่างไรมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่แปลกที่ชื่อจะส่งผลกับลักษณะนิสัย พฤติกรรม และตัวตนของเราคนปัจจุบันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราพบเจอในวัยเด็กมักจะกลายเป็นประสบการณ์ฝังใจและก่อให้เกิดเป็นเราอย่างที่เป็นในทุกวันนี้

ตัวอย่างแรกๆ ที่ทำให้เห็นว่าชื่อทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติได้คือชื่อมักจะแสดงให้เห็นชนชาติ ในสังคมที่กลมกลืนแม้ใครคนหนึ่งมีความแตกต่างทางเชื่อชาติที่แสดงออกผ่านชื่อ ก็อาจทำให้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมได้

มาเรียนเน เบอร์ทรานด์ (Marianne Bertrand) และ เซนดิล มัลไลนาธาน (Sendhil Mullainathan) สองนักวิจัยทำการศึกษาโดยลองส่งใบสมัครงานสองแบบ โดยแบบแรกใช้ชื่อของคนขาวอย่าง เอมิลี วอลช์ (Emily Walsh) ส่วนคนที่สองใช้ชื่อ เลกิชา วอชิงตัน (Lakisha Washington) ที่มีกลิ่นอายของแอฟริกา-อเมริกัน ผลปรากฏว่าชื่อแรกนั้นมีโอกาสจะได้รับเลือกให้เข้าไปสัมภาษณ์งานมากกว่า ซึ่งเป็นอคติทางเชื้อชาติที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

แม้แต่ในบรรดาผู้คนเชื้อชาติเดียวกัน ชื่อที่มีความหมายเชิงลบ ที่ถูกมองว่าเชยหรือตลกมักจะได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากคนอื่นๆ เช่นกัน อย่าง ชองด็อกซอน นางเอกจากซีรีย์เรื่อง Reply 1988 ที่มักจะโดนล้อเรื่องชื่อเชยอยู่บ่อยๆ เพราะในบรรดาพี่น้อง ทั้ง คน มีเธอคนเดียวที่ได้ชื่อแปลกที่สุด นอกจากจะกลายเป็นคนที่ถูกลืมในครอบครัวแล้ว เพื่อนๆ ในยังล้อเลียนด็อกซอนเป็นประจำ แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่ม

ตรงกันข้ามหากชื่อของเราเรียบหรู ดูเป็นผู้ดี (ตามความนิยมในยุคสมัย) ก็จะถูกมองอย่างให้เกียรติมากกว่า ลักษณะของชื่อจึงส่งผลต่อวิธีที่ผู้อื่นปฏิบัติกับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลต่อการรับรู้ภายในตนเองอีกด้วย เป็นเรื่องยากที่เราจะหนีจากอิทธิพลของชื่อเมื่อเราได้รับการปฏิบัติแบบเดิมซ้ำๆ มาทั้งชีวิตเพราะชื่อของเรา

การศึกษาในปี 2000 ของ จีน ทเวนจ์ (Jean Twenge) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันพบว่า ชื่อมีอิทธิพลเป็นถึงสัญลักษณ์ของคนเรา คนที่ไม่ชอบชื่อของตัวเองมักจะปรับตัวทางจิตใจได้น้อยกว่า เพราะพื้นฐานการที่ไม่ชอบชื่อของตัวเองหมายถึงไม่ชอบสัญลักษณ์แทนตัว ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเองและนับถือตัวเองต่ำเป็นทุนเดิม

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าชื่อแปลกๆ จะเสียเปรียบเสมอไป เพราะอาจถูกมองว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือน ทำให้เป็นตัวของตัวเองชัดเจนขึ้น การศึกษาของ หัวเจี้ยน ช่าย (Huajian Cai) และทีมงานจากสถาบันจิตวิทยาแห่งปักกิ่ง เผยว่าหลังจากที่พวกเขาเลือกสำรวจผู้คนที่มีภูมิหลังครอบครัว เศรษฐกิจและสังคมเดียวกันแล้ว พบว่าชื่อที่หายาก แตกต่างจากคนอื่นๆ นั้น บางครั้งจะยิ่งทำให้โดดเด่น และทำให้เจ้าของชื่อมีโอกาสทำงานที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ อาจไม่ใช่งานทั่วไปแต่เป็นงานที่แสดงความเป็นตัวตนอย่างชัดเจนเช่น ผู้กำกับ ผู้พิพากษา หรืออาจเป็นซีอีโอบริษัทเลยก็ได้

โดยที่ทีมนักวิจัยให้เหตุผลว่าในช่วงแรกของชีวิต บางคนอาจรู้สึกได้ว่าตัวเองมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะมีชื่อที่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกนี้จะปะทุอยูในใจจนกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาตัวเองไปทำอาชีพที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเขาเชื่อแล้วว่าเหมาะสมกับตัวตนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ

หากเรามองลึกลงไปอีกนอกเหนือจากคำในชื่อที่บรรจุบทบาทในวัฒนธรรมนั้นๆ เข้าไปด้วย เราจะพบว่าแม้แต่การออกเสียงของชื่อก็จะทำให้การรับรู้ชื่อเปลี่ยนไป เพราะมนุษย์มีความรู้สึกต่อการรับรู้คำต่างแตกต่างกันไป เห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า  โบบา/กิกิ เอฟเฟคต์ (Boba/Kiki effects)

คำว่า ‘bouba’ มีรูปทรงที่นุ่มนวลกว่า ‘kiki’ งานวิจัยก่อนหน้านี้เผยว่าตัวอักษร ‘b’ และ ‘u’ มีความกลมมน ส่วน ‘k’ และ ‘i’ มีความคมและแข็งกร้าว ชื่อที่ฟังดูกลมมน มีเสียงฟังสบายอย่าง โอล่า หรือ เอมี จะให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากกว่า อีริค หรือ แจ็คสัน

ยิ่งไปกว่านั้นนักวิจัยยังพับอีกว่าคนเราเชื่อมโยงกับเสียงกลมมนและแข็งกร้าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งแนวคิดเรื่องเพศ เช่น ชื่อของเพศชายมักจะแสดงออกถึงความแข็งแรง สมกับเป็นชื่อของชายชาตรี ยังมีหลักฐานแสดงให้เห็นอีกว่าเด็กชายที่มีชื่อคล้ายเด็กหญิงนั้นมักจะมีปัญหากับการปรับตัวในวัยเด็กเล็กน้อยๆ (เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ผ่านมา ที่กรอบเรื่องเพศยังชัดเจนอยู่ และอาจจะเปลี่ยนไปได้ในอนาคต)

ยิ่งไปกว่านั้นชื่อยังส่งผลถึงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย โดยชื่อที่มีลักษณะกลมนจะสอดคล้องกับความยืดหยุ่น เปิดเผย เป็นกันเองและตลก ส่วนชื่อที่มีอักษรคมๆ มักจะสอดคล้องกับความแน่วแน่และแข็งแรง

แนวคิดเรื่องชื่อที่ส่งผลกับภาพลักษณ์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ชื่อคนเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมไปถึงการชื่อแบรนด์ต่างๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเรื่องของชื่อนั้นนอกจากจะกำหนดสิ่งทึ่คนมองเรา ยังเป็นส่วนสำคัญที่กำหนดว่าเรามองตัวเองอย่างไรอีกด้วย หรือบางทีชื่อที่เปลี่ยนแล้วดวงดี ก็อาจจะหมายถึงการมองตัวเองดีขึ้นจากชื่อใหม่ทึ่เราเชื่อใจมันมากขึ้นแล้วนั่นเอง

 

อ้างอิง