๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐, ค่ายมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
ขณะที่เด็กนักเรียนโรงเรียนผมไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีจำนวนสองคืนกับสามวันในค่ายมวกเหล็กที่สระบุรี
ผู้กำกับสั่งเก็บโทรศัพท์มือถือของนักเรียนทุกคน
แล้วนำมาเก็บไว้ในที่ๆ จัดไว้
ก่อนเก็บได้ให้นักเรียนโทรศัพท์แจ้งผู้ปกครองว่าขอให้ทราบว่าภายในสองถึงสามวันนี้ คุณครูทุกท่านจะดูแลลูกให้ดีที่สุด พ่อแม่ไม่ต้องติดต่อมา ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วพบกันในวันเดินทางกลับ
หลังจากนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีโอกาสได้แตะมือถืออีก…
คุณทราบมั้ยครับ?
ผู้ปกครองหลายท่านโทรหาครูกันเกือบตลอดวัน จนครูบางท่านกลายเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ไปเสียกระนั้น…
พ่อแม่โทรถามข่าวคราวลูกๆ ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งครูบาอาจารย์มีความเข้าใจเรื่องนี้ดี
ลูกใคร…ใครก็รักนะครับ
ถ้าเป็นลูกเรา เราก็คงโทรถามครูแบบนี้เช่นกัน
สมัยนี้โลกแห่งโซเชียลทำให้เราใกล้กันมากขึ้น
พ่อแม่ห่างจากลูกน้อยลง จึงเป็นธรรมดาที่ยามคนในครอบครัวห่างกัน มันคือเรื่องไม่ปกติ
(แต่น่าแปลกว่ายามอยู่ร่วมกัน แม้บนโต๊ะอาหารก็กลับก้มลงดูแต่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองแทนพูดคุยกัน…)
มันทำให้ผมนึกถึงสมัยก่อน…
สมัยที่โทรศัพท์มือถือยังไม่เฟื่องฟู เราไปเข้าค่าย 5 วัน 7 วัน พ่อแม่ไม่อาจติดต่อได้ มิใช่พ่อแม่สมัยก่อนรักลูกน้อยกว่าพ่อแม่สมัยนี้ แต่สมัยก่อนถูกความล้าสมัยบังคับให้เรารู้จักอดทนที่จะรอ
พ่อแม่และลูกๆ จะเห็นคุณค่ากันมากขึ้นเมื่อห่างกัน…
แต่สมัยนี้เราใช้ชีวิตอยู่บนความสะดวกสบายเสียจนเคยชิน เราได้อะไรมาง่ายๆ เกินไป
บ่อยครั้ง… เราฝากชีวิตไว้กับโซเชียลมากเกินความจำเป็น
อดทนและรู้จักการรอคอยน้อยลง…
พ่อแม่นักเรียนคงไม่ทราบว่า เมื่อลูกๆ ไร้มือถือ แกจะเข้าหาเพื่อนๆ มากขึ้น
ผมกับครูทุกคนได้เห็นเด็กนักเรียนจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะ และวิ่งไล่จับกันมากขึ้น
ไม่มีเด็กคนไหนปลีกตัวไปนั่งก้มหน้ามองโทรศัพท์
มีแต่กระโดดโลดเต้น หัวเราะงอหงาย วิ่งเล่นเกลือกกลิ้งไปบนสนามหญ้า หรือบางกลุ่มบางคนก็นั่งมองภูเขากับดอกไม้ที่อยู่รอบตัว…คุยกันเบาๆ
ครูอย่างเราไม่ได้เห็นภาพนี้มานานแล้ว…
ยิ่งในโรงเรียน ยิ่งเห็นภาพเหล่านี้ได้ยากขึ้น
ทุกมุมทุกที่ นักเรียนจะนั่งก้มหน้าเล่นแต่มือถือกันแทบตลอดเวลา
ที่น่าหนักใจมากที่สุดคือเด็กจะแอบใช้มือถือในขณะที่ครูกำลังสอน หรือแม้กระทั่งสอบ เด็กบางคนก็ยังแอบนำไปเปิดดูในห้องสอบ
นี่คือความหายนะอันยิ่งใหญ่ในวงการการศึกษาของไทยที่ใครๆ ไม่คาดคิด
ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ครูทุกคนมีความต้องการที่สุดก็คือ…
อยากให้กระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎระเบียบห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาเรียน และห้ามนำโทรศัพท์เข้าห้องเรียนเด็ดขาดโดยให้ใช้ได้เพียงช่วงเช้าหรือเลิกเรียนเท่านั้น
นอกนั้นให้เก็บไว้ที่ล๊อคเกอร์รวมที่ครูเป็นคนดูแล
ทำแบบเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบบินไปดูงานมา แล้วมาออกระเบียบมากมายที่เป็นภาระให้ครูกับเด็กมากขึ้น
แต่เรื่องเล็กๆ ที่สำคัญอย่างเรื่องนี้ ไม่เคยมีผู้บริหารในกระทรวงคนใดคิดและเลียนแบบโรงเรียนดีโรงเรียนดังในประเทศที่มีระบบการศึกษาดีๆ
เสียดายโลกสดใสและโลกของการใช้ชีวิตกับเพื่อนของนักเรียนที่นับวันจะหดหายไป
เพราะเด็กๆ หลงอยู่แต่กับโลกของโซเชียล
อย่าแปลกใจที่เด็กทุกวันนี้มีสังคมน้อยลง เห็นแก่ตัวมากขึ้น อดทนและรอคอยไม่เป็น รวมทั้งมีความก้าวร้าวและมีวิธีสื่อสารกับผู้อื่นแย่ลง…
นี่คือผลที่มาจากที่แกใช้ชีวิตอยู่กับโลกแห่งโซเชียลแบบไม่เป็นเวลานั่นเองครับ
…เป็นห่วงอนาคตเด็กครับ.