life

เราทำความรู้จักใครสักคนได้จากรองเท้าที่เขาใส่

วันนี้เราจึงชวน ‘ต้า – พาราด็อกซ์’ มาเดินเล่น คุยเรื่องรองเท้าคู่ใจที่จะทำให้รู้จักเขาให้มากกว่าเดิม

ต้าเป็นคนไม่เคยหมดไฟ มีไอเดียพุ่งพล่านสำหรับโปรเจ็กต์ใหม่ๆ อยู่เสมอ นอกจากจะฝากลายเซ็นไว้ในผลงานเพลงของวงพาราด็อกซ์ เพลงโฆษณา งานศิลปะ ผลงานล่าสุดต้ายังออกแบบ ‘รองเท้า’ ที่เขาเล่าว่าเป็นตัวเองมากที่สุด

ระหว่างที่เดินไป คุยไป ต้าเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ออกมาเป็น Breaker doxfest CONCERT รองเท้าที่ต้าได้ฝากตัวตน ไลฟ์สไตล์ และพลังของวัยรุ่นที่ยังคงสนุกกับการเดินและไม่เคยหมดไฟ

ปักชื่อตัวเองลงบนรองเท้า

ต้า-พาราด็อกซ์ มักจะบอกพวกเราอยู่เสมอว่าเขาอยากให้คนรักเพลงของเขาและเก็บมันไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ตลอดการเป็นนักร้องนำของวงพาราด็อกซ์มานานย่างเข้าสู่ปีที่ 25 เราเองก็เชื่อว่าความฝันที่เขาวาดไว้นั้นเป็นจริงแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีแฟนเพลงมากมายที่รักและมองเห็นว่าเพลงของพวกเขาเป็นสมบัติอันล้ำค่า

นอกจากความฝันที่ว่ามาแล้ว ต้ายังมีอีกหนึ่งความฝันเล็กๆ ที่ยังถูกเก็บไว้ในห้วงความทรงจำวัยเด็กของเขา นั่นคือการ ‘ปักชื่อตัวเองลงบนรองเท้า’

ต้ามีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่งอย่าง คือเมื่อหยิบจับอะไรขึ้นมา เขาก็จะฝากลายเซ็นต์และตัวตนลงไปในนั้นเสียหมด ราวกับว่านั่นเป็นสีสันเฉพาะตัวที่ต้าแต่งเติมเข้าไปอย่างไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าจะเป็นในเพลงหรืองานเขียน วันนี้เขาบอกกับเราว่าชอบรองเท้า และอยากลองออกแบบรองเท้าที่เป็นตัวเขาเองดูสักครั้ง

“มีความฝันในวัยเด็กอยู่แล้วว่าถ้ามีอะไรที่ตัวเองออกแบบเองก็คงจะดี เราชอบรองเท้า เช่น รู้สึกอยากประดิษฐ์ประดอย ปักชื่อตัวเองลงไปบนรองเท้า คิดเล่นๆ แค่ว่าอยากทำให้มันเป็นของตัวเอง นี่เป็นความฝันที่อยู่ในความทรงจำมาตลอด” เขาเล่าให้เราฟัง

ความฝันของเขามีโอกาสจะเป็นจริงได้ด้วยความบังเอิญ เมื่อต้าและวงพาราด็อกซ์มีโอกาสได้เป็นพรีเซนท์เตอร์รองเท้าผ้าใบเบรกเกอร์ (Breaker) “จุดเริ่มต้นพิศดารเล็กน้อย” ต้าเล่าไปหัวเราะไป

“วันที่ไปลองรองเท้าเพื่อใส่ถ่ายรูป บังเอิญมีอยู่คู่หนึ่งที่เขาเอามาให้ลองใส่เฉยๆ แต่ดันใส่แล้วเข้าท่า มันนุ่มดี ใส่ถ่ายรูปแล้วขึ้นกล้องด้วย เลยเกิดไอเดียว่าถ้าได้มีรุ่นที่ตัวเองออกแบบก็คงดี เขาเลยให้ลองออกแบบดู”

วันนั้นต้าทำความรู้จักกับรองเท้าผ้าใบคู่นี้เป็นครั้งแรก เขาจำได้เพียงว่าเป็นรองเท้าผ้าใบที่มีทรงคล้ายรองเท้ารักบี้ มีรูปนกเงือกปักเป็นลายเล็กๆ อยู่ด้านข้าง ก่อนจะมารู้ภายหลังว่านี่คือรองเท้าเบรกเกอร์รุ่น Hornbill อันเป็นคอลเลกชันพิเศษของเบรกเกอร์ที่ทำมาเพื่อสื่อสารเรื่องการอนุรักษ์ป่าไม้

ดูเหมือนว่ารูปทรงรองเท้าที่ดูเรียบง่ายและสวมใส่นุ่มสบายคู่นี้จะถูกใจต้าอย่างมาก เขาชื่นชอบตั้งแต่ได้ใส่มันเป็นครั้งแรก และด้วยความเป็นเจ้าพ่อโปรเจ็กต์ที่ไม่เคยหมดไฟ เขาจึงปิ๊งไอเดีย เอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาว่าอยากลองออกแบบรองเท้าของตัวเองดูสักครั้ง

ออกแบบรองเท้าครั้งแรก

สิ่งที่สำคัญที่สุดในทุกงานออกแบบของต้าคือ ‘ต้องใช้งานได้จริง’ อาจกล่าวได้ว่าหากไลฟ์สไตล์ของชายที่ชื่อ ‘ต้า’ เป็นคำถาม รองเท้าคู่ดังกล่าวก็เป็นคำตอบ เพราะเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจที่เดินทางไปกับเขาได้ทุกที่

“ภาพรวมทุกอย่างเน้นจากการใช้งานของตัวเองเป็นหลัก ออกแบบจากปัญหาที่ตัวเองเจอ พัฒนาจากสิ่งที่ตัวเองชอบ สำคัญที่สุดคือต้องใช้งานได้จริง เราไม่อยากออกแบบอะไรก็ตามเพื่อโชว์อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นแจ็กเกตหรือรองเท้า ทุกอย่างจะตอบสิ่งที่ตัวเองต้องการ”

 หลังจากพารองเท้าคู่นั้นกลับบ้านมา ต้าใช้เวลาขบคิดเรื่องรองเท้าที่เป็นตัวเขาอยู่สักพัก ลองใส่คู่นี้อยู่ครึ่งปี ก่อนจะตระหนักได้ว่ารองเท้าที่ดีนั้นต้อง ‘นุ่ม เบา และถ่ายรูปขึ้น’

ขั้นตอนการออกแบบของเขานั้นแสนเรียบง่าย เขาเลือกหยิบจับความชอบมาแต่งนิด แต้มหน่อยบนรองเท้า

“เริ่มจากโครงสร้างที่มันเป็นอยู่ แล้วก็ผสมสิ่งที่ตัวเองชอบลงไป อะไรที่เราปรับได้เราก็ปรับ แต่ไม่อยากไปดัดแปลงโครงสร้างมาก เพราะเป็นโครงสร้างที่เราชอบอยู่แล้วเจตนาอย่างแรกคือ เน้นการใช้งาน ใส่แล้วสบาย

“ถ้ามีช่องให้เติมลูกเล่นได้ก็จะเติมลงไป รุ่นนี้เป็นรองเท้าเรียบๆ ทรงคล้ายรองเท้ารักบี้ มันมีช่องว่างอยู่ เลยใส่โลโก้ตัวเองลงไปเลยทั้งด้านในและด้านนอก เพราะโลโก้สายฟ้ามันก็น่าจะเข้ากับตัวเองด้วย เราลองหลายแบบทั้งกลับหน้า กลับหลัง ตีลังกา พื้นรองเท้าข้างในลองมาหลายสีมาก แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่สีแดงที่มันฉูดฉาด

“ร่างภาพดูไปด้วยจนรู้สึกว่ามันลงตัว พอออกมาแล้วดูเท่ดี ดูเป็นวัยรุ่น ด้วยโครงสร้างรูปร่างและพอเอาไปแมตช์กับอะไรแล้วก็ลงตัว  ถ้าเอาไปใส่เล่นคอนเสิร์ตจริงๆ คู่นี้น่าจะเหมาะ”

ความนุ่มและเบานั้นเป็นสิ่งที่เขาค้นพบในรองเท้าคู่นี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สวมใส่ แต่อีกคุณสมบัติอันเป็นพื้นที่ว่างๆ ให้เขาแต่งเติมเข้าไปคือการเป็นรองเท้าที่ถ่ายรูปขึ้น

“จะโดนถ่ายรูปบ่อย บางมุมที่รองเท้าไม่แมตช์ เสื้อไม่แมตช์ก็กลายเป็นเด๋อ เราเขิน เลยไม่กล้าลงรูป” ต้าตอบอย่างเขินๆ

พื้นของเวทีที่กำลังแสดงอยู่ในระดับสายตาของผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง รวมไปถึงเหล่าตากล้อง นั่นทำให้ในวันคอนเสิร์ตมักจะมีรูป ‘รองเท้าของพี่ต้า’ ผ่านมาในหน้าไทม์ไลน์ของเหล่าแฟนเพลงเป็นครั้งคราว ไหนๆ ก็โดนถ่ายรูปเวลาขึ้นเวทีอยู่แล้ว เลยทำรองเท้าสำหรับขึ้นคอนเสิร์ตมันเสียเลย นี่คือปัจจัยหลักที่ต้าหยิบเอามาออกแบบเป็นรองเท้าที่ชอบ

เมื่อตั้งใจออกแบบให้เป็นรองเท้าของศิลปินที่กำลังเล่นดนตรีในคอนเสิร์ต นั่นทำให้เขานึกถึง ‘ด็อกซ์เฟส (doxfest)’ งานมีตติ้งขนาดย่อมๆ ของวงพาราด็อกซ์ที่จัดขึ้นมาเพื่อให้แฟนเพลงได้มารวมตัวกัน และกระโดดโลดเต้นกับเพลงแปลกๆ ที่ไม่ค่อยได้เล่นที่ไหนได้อย่างบ้าคลั่ง

ต้าจึงอยากหยิบเอาความสนุกของแฟนเพลงและกลิ่นอายของคอนเสิร์ตมาไว้ในรองเท้าคู่นี้ด้วย จึงใช้ชื่องานคอนเสิร์ตครั้งนั้นเป็นชื่อรองเท้าเสียเลย

 

Breaker doxfest CONCERT

Breaker doxfest CONCERT เป็นรองเท้าผ้าใบเพื่อคนชอบดนตรี ที่นอกจากตัวของต้าตั้งใจจะทำไว้ใส่ไปเล่นคอนเสิร์ตแล้ว เขายังอยากให้นี่เป็นรองเท้าที่คนเลือกเป็นเพื่อนคู่ใจใส่ไปกระโดดโลดเต้นในคอนเสิร์ตด้วยกัน

ต้าเลือกใช้สีดำและขาวสำหรับรองเท้าซิกเนเจอร์รุ่นนี้ เพราะอยากให้ใส่ลำลองได้ง่ายและแมทช์กับทุกการแต่งตัว สีดำ – เท่ สุขุม และ สีขาว – เรียบร้อยแต่ซ่อนความเปรี้ยวไว้ด้วยสีแดงที่แซมอยู่ในรายละเอียดต่างๆ

วันนี้ต้าเลือกหยิบรองเท้าคู่สีดำมาเดินเล่นกับเรา สังเกตเห็นรอยเปื้อนนิดหน่อยเนื่องจากต้าเล่าว่าเขาใส่คู่นี้ไปไหนมาไหนมาสักพักแล้ว

“ผมชอบรองเท้าเก่า” ต้าบอกกับเรา

“ผมไม่เคยซักรองเท้าเลย พื้นฐานของตัวเองไม่ว่าจะเรื่องอะไร ไม่ว่าจะสะสมอะไร จะชอบสิ่งที่มันเก่า ถ้าต้องใส่รองเท้าใหม่ๆ อาจจะเขินนิดหน่อย อย่างตอนเปิดเทอมใหม่แล้วต้องซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ผมจะชอบรองเท้าที่ใช้งานไปสักระยะหนึ่งให้มีความเก่า เพราะยิ่งเก่ายิ่งดูคลาสสิก เลยเอาความชอบที่ว่ามาพัฒนารองเท้ารุ่นนี้ด้วย เราคิดไปลึกถึงว่าทำอย่างไรให้เวลาเก่าแล้วยิ่งดูดี อีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบสำหรับความเก่าคือใส่สบาย รองเท้าใหม่มันสวยแต่ว่าใส่แล้วกัดก็มี” เขาเล่าพร้อมชี้ให้เราดูที่ผิวโลโก้สายฟ้า ที่อยู่บนรองเท้า

เรื่องเล่าของ ‘สายฟ้า’

สายฟ้าสีขาวบนรองเท้าสีดำที่ต้าเลือกมาวันนี้ ชวนมองทุกครั้งที่เขาก้าวฉับๆ ไปข้างหน้า และเมื่อเราสอบถาม จึงได้รู้ว่ารูปนี้มีเรื่องราว

โลโก้นี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการออกแบบเสื้อแจ็คเก็ตตัวแรกของเขา

“ครั้งหนึ่งเป็นหน้าฝน ฝนมันตกบ่อย แล้วเราเป็นคนนั่งมอเตอร์ไซค์บ่อย ไม่มีเสื้อหรือผ้าคลุมที่ช่วยกันฝนได้เลย ก็เลยคิดขึ้นมาเอง ทำทุกอย่างในแบบที่ตัวเองชอบ มีซิปที่กระเป๋ากันของกระเด็นเวลานั่งมอเตอร์ไซค์ พอเราลองสั่งทำเองเลยคิดว่าทำขายไปด้วยเลย อย่างนั้นเลยสร้างแบรนด์ขึ้นมา แล้วออกแบบโลโก้”

“คิดค้นว่าโลโก้แบบไหนมันเข้าท่า สุดท้ายจบตรงโลโก้ที่หน้าตาคล้ายสายฟ้า มองอีกมุมก็คล้ายหน้าอีกา เป็นโลโก้ที่มองได้หลายมุม เริ่มต้นมาจากชื่อตัวเองคือคำว่า ‘TATA’ เราจับคำนี้มาวางว่าควรเป็นมุมไหนดี เลยกลายมาเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วรูปทรงมันคล้ายถุงดักเงินด้วยเราทำมุมกันสาดของตัว T อีกตัวให้มันดักลงมา ถ้าสังเกตดีๆ ตัวขีดมันจะไม่ขนานกัน จะมีเปิดไว้อันหนึ่งเหมือนดักแมลง พยายามออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย ผสมผสานหลายแบบมาก พอเป็นโลโก้เราไม่ได้มองว่าจะใช้แค่ไม่กี่ครั้ง แต่อยากทำให้มันแข็งแรงในอนาคตด้วย” เขามักจะเล่าด้วยแววตาเป็นประกายเสมอ เมื่อได้พูดถึงงานที่ชอบ และครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ความสนุกของการออกแบบ

ต้าเปรียบการสร้างงานออกแบบเป็นการปลูกต้นไม้

“มันคือเรื่องสนุกของผมเอง มันเหมือนเป็นต้นไม้ที่เราค่อยๆ ดูแลไปเรื่อยๆ ข้อดีคือมันทำให้เรารู้ว่ามีจุดหมายแล้วให้พุ่งไปที่จุดนั้นเลย ระหว่างรอให้มันงอกงามก็สนุกดี

“อย่างการออกแบบมันไม่ใช่งานที่ง่ายขนาดนั้น ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วตัวเองจะเริ่มเห็นว่าต้องปรับมุมไหน มันต้องมีการทดลอง ถ้าเป็นการออกแบบบ้านก็ต้องดูทั้งด้านข้าง ด้านหลัง ดูฮวงจุ้ย สนุกตรงที่ว่าเราต้องดูทุกอันแล้วประมวลผลว่าแบบไหนดี ชอบทำงานแบบช้าๆ แต่ชัวร์ ไม่ค่อยชอบการออกแบบที่ฉาบฉวย รวดเร็ว เพราะไม่อยากมาเสียดายทีหลัง พอมันทำเอง ใช้เอง แล้วคนได้เห็นว่ามันใช้ได้จริงมันก็จะเริ่มสนุก”

เราเดินคุยกับเขามาสักพักก่อนจะถามคำถามสุดท้ายถึงรองเท้าที่เขาเลือกใส่มาเดินกับเราวันนี้ ว่าถ้าหากรองเท้าเป็นคน และเป็นเพื่อนที่ไปกับเขาได้ทุกที่ เขาคิดว่ารองเท้าคู่นี้จะเป็นคนแบบไหน

“เป็นคนกวนๆ หน่อย แต่สุภาพเหมือนตัวเองเลย คือไม่ได้เรียบร้อยเสียทีเดียว เป็นคนที่ทำกิจกรรมหลากหลาย ส่วนรองเท้าใช้งานได้หลายแบบ ใส่ได้ทุกสถานการณ์ ใส่เดิน เตะบอล หรือวิ่งนิดๆ หน่อยๆ หรือใส่ไปดูคอนเสิร์ตก็ได้ ถ้าเป็นรองเท้าที่เอาไว้ใส่ไปดูคอนเสิร์ตแล้วรองเท้ามันหนักไปมากก็ไม่สนุก อันนี้มันเรียบๆ ด้วย ไม่เขินมาก ดูเป็นวัยรุ่นเปรี้ยวๆ ก็ได้ อันนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ที่่ค่อนข้างจะชัดสำหรับตัวเอง ดูเรียบๆ แต่แอบเปรี้ยว”