pe©ple

“ให้คุณนึกถึงวันที่รู้สึกท้อแท้ที่สุด แล้วสื่อสารมันออกมาด้วยสีหน้า แววตา หรือท่าทางอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องพูด” เพื่อนคนหนึ่งชื่อดุจดาว วัฒนปกรณ์ กำลังสอนผมเรื่อง Emphatic Communication

1.

วันที่รู้สึกท้อแท้ที่สุดน่ะเหรอ? ผมหลับตาลงและดำดิ่งลงไปในความทรงจำ พยายามควานหาเรื่องราวในวันนั้น

2.

ดาวบอกว่าจริงๆ แล้วในชีวิตประจำวัน เราหลงลืมและมักจะมองข้ามไป ว่าโดยส่วนใหญ่เราสามารถสื่อสารและเชื่อมโยงถึงกันด้วยอวัจนภาษา และเครื่องมือที่มีความเป็นนามธรรมอื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาษาที่ใช้พูดและเขียน และสิ่งที่เรามองเห็นกันด้วยตานั้น เป็นเพียงส่วนน้อยเหลือเกิน

เธอเป็นนักจิตบำบัดและนักการละคร ผมไม่ใช่แฟนตัวยงของเธอหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครแนวทดลอง ประเภทที่มีนักแสดงเดินไปเดินมาในฉากมืดๆ มีไฟสปอตไลต์ไม่กี่ดวงส่องเป็นจุดๆ เพราะคิดว่าการแสดงแบบนี้แอบสแตรกต์เกินไป ดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็บังเอิญได้ไปชมผลงานล่าสุด เรื่อง “สัตว์มนุษย์” ที่เธอเป็นผู้กำกับ ในรอบที่เธอแสดงเอง

ในโรงละครที่ปิดมืด มีห้องสีขาวโพลนเปิดไฟสว่างจ้าสาดแสงสีสันต่างๆ เข้าไป จับนักแสดงคนเดียวไปไว้ในห้องนั้น ปล่อยให้ผู้ชมที่นั่งหลบอยู่ในความมืด ได้มองเห็นผ่านช่องหน้าต่างเปิดกว้างเหมือนจอหนัง นักแสดงเดินไปมา นั่งหรือนอน โดยเราจะเห็นแค่สีหน้าและท่าทาง แต่ไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดว่าอะไร 

มีเพียงเสียงวอยซ์โอเวอร์ที่คอยตั้งคำถามถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเขา บางคำถามก็น่าตลกขบขัน ทำให้นักแสดงตอบไปหัวเราะไป บางคำถามก็ทิ่มแทงใจ จนทำให้นักแสดงระเบิดคำตอบมาพร้อมกับอารมณ์โกรธเกรี้ยว

คุณมีชีวิตในวัยเด็กอย่างไร? คุณเจ็บปวดจากใครมากที่สุด คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแค่ไหน คุณเคยโกงเงินคนอื่นหรือเปล่า คุณเคยนอกใจสามีหรือเปล่า … เราไม่ได้ยินคำตอบใดๆ จากนักแสดงในห้องกระจกนั้น แต่เราได้ยินเสียงคำตอบในใจตัวเอง แล้วมันก็น่าแปลก ที่เราสามารถเข้าใจเขา

เมื่อดำดิ่งลึกลงไป ผมพบว่าเราทุกคนล้วนเป็น “สัตว์มนุษย์” เหมือนกัน และเราเชื่อมโยงถึงกันได้ในจุดที่อยู่ลึกที่สุดภายในจิตใจ เราจะร่วมกันสำรวจและค้นพบจุดเชื่อมโยงนี้ได้ ในวันที่มีความรู้สึกท่วมท้นที่สุด อาจจะเป็นความสุขที่สุด อาจจะมีเรื่องราวที่ภาคภูมิใจ หรืออาจจะการทำผิดบาปที่น่าละอายจนไม่กล้าบอกใคร ความคิดสกปรกเน่าหนอนในหัว ความซื่อสัตย์หรือคดโกง ความเบิกบานหรือหดหู่ซึมเศร้า ความเปราะบางหรือเข้มแข็ง ฯลฯ

เมื่อเราไม่ได้สื่อสารกันด้วยภาษาพูดหรือเขียน เมื่อคนในห้องกระจกเก็บเสียงนั้นรู้ว่าถึงแม้จะพูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยิน เมื่อการแสดงดำเนินไปสัก 30-40 นาที เขาจึงค่อยๆ กล้าเปิดเผยตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ กับคำถามที่ยั่วยุอารมณ์ และทิ่มแทงความรู้สึกในใจต่างๆ นา นา

ผมนั่งหน้าแดงก่ำอยู่ในความมืด กับคำถามลามกสกปรกที่ชวนอึดอัดและอับอาย มองดูนักแสดงในห้องสว่างโร่ ที่กำลังพยายามโต้เถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อปกป้องตัวเองจากคำถามเหล่านั้น แต่สุดท้าย เราทุกคนก็เหลือเพียงแค่ความเป็นสัตว์มนุษย์ ที่เราต่างก็เหมือนๆ กัน

บรรดาหนามแหลมคมเหมือนตัวเม่น ที่เราเคยเหน็บติดตัวไว้เพื่อใช้กันระยะห่างจากคนอื่น และใช้ทิ่มแทงทำร้ายคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า ถูกริดถอนไปทีละชิ้นๆ เกราะกำบังหนาหนักที่เราเคยแบกไว้เพื่อใช้ปกป้องความลับและผิดบาปของตัวเอง ถูกปลดทิ้งไปทีละชิ้นๆ

สุดท้ายก็เหลือเพียงความเปลือยเปล่าและเปราะบาง ซึ่งเป็นสภาพที่เราสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ เพราะนี่เป็นสภาพที่แท้จริงที่สุดของเรา

“ในโลกที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัยมากมาย ทำไมเราถึงไม่สามารถเข้าใจกัน และมีความเห็นอกเห็นใจต่อกัน?” ผมเคยถามเธอในการเมื่อตอนไปทำบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านั้น 

“เพราะเราลืมไป เราลืมว่าเรามีฮิวแมนคอนเนคชั่นกันด้วยเหรอ?” วันนั้นเธอตอบด้วยการทำเป็นเสียงกระซิบกระซาบ และวันนั้นผมก็ได้บทเรียนสำคัญ ว่าเราต้องปลดเกราะกำบังและถอดหนามแหลมคมออก ต้องเปิดเผยตัวเองอย่างถึงที่สุด จนถึงจุดที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและเปราะบางเท่านั้น เราจึงจะสามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกันได้อย่างแท้จริง

3.

ผมเชื่อว่าการสื่อสารผ่านสื่อกลางทั้งหลาย ทำให้เราไม่ได้ไปอยู่ในสภาพที่แท้จริงที่สุดของความเป็นตัวเรา

ในโลกของการสื่อสารอันทันสมัยและรวดเร็ว ที่เราเพียงแค่ตั้งค่าข้อมูลวันเกิดของเราไว้ แล้วระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ก็จะกระเด้งข้อความขึ้นมาเตือนเพื่อนของเราเมื่อถึงวันนั้น มันทำให้การสื่อสารกลายเป็นอัตโนมัติ การอวยพรเป็นเรื่องผิวเผิน และความเชื่อมโยงอย่างแท้จริงกลายเป็นสิ่งที่เรามองข้าม

เราสื่อสารกันโดยรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้าอยู่แล้ว วันเกิดจะมีเพื่อนมาอวยพร วันเข้ารับตำแหน่งงานใหม่ที่เพื่อนจะมาร่วมยินดี ภาพนอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลที่เพื่อนจะมาให้กำลังใจ ภาพงานศพของพ่อแม่ที่เพื่อนจะมาแสดงความเสียใจ เรื่อยไปจนถึงความคิดเห็นทางการเมืองที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์จะมากดไลค์ ฯลฯ

  1. รวดเร็วเกินไป 
  2. เปิดเผยออกไปวงกว้างเกินไป 
  3. มีผู้อื่นมาตอบสนองได้อย่างทันทีทันใด 
  4. ตัวเองสามารถตรวจสอบทบทวนแก้ไขสารของตัวเองได้ใหม่  
  5. มีการจำกัดการมองเห็นเพียงบางส่วน และ 
  6. สามารถเก็บบันทึกข้อมูลของทุกคนไว้สืบค้นได้ในภายหลัง

สื่อกลางที่มีคุณสมบัติประมาณเหล่านี้ จะไม่เปิดให้เรามี Empathic Communication เพราะโดยธรรมชาติของตัวสื่อเอง มันคือเกราะกำบังและหนามแหลมในตัวมันเอง

แปลกใจกันบ้างไหม ในขณะที่เราทุกคนแทบจะแก้ผ้าล่อนจ้อนกันอยู่แล้วในอินสตาแกรม เราทุกคนเอาเรื่องส่วนตัวทุกอย่าง ความคิดเห็นต่อทุกอย่าเรื่องมาแชร์ เราทุกคนแทบจะเป็นกูรู เป็นเกจิ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นเจ้าลัทธิทางการเมืองในทวิตเตอร์และเฟซบุค แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่บทบาทการแสดง และเกราะกำบัง หนามแหลมจะยิ่งพอกพูน

  สภาพเปลือยเปล่าและเปราะบาง การเชื่อมโยงสื่อสารกันอย่างแท้จริง จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อเรายอมรับความไม่แน่นอน ไม่มั่นคง เราวิตกกังวล ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับผมนึกถึงฉากในหนัง Notting Hill ที่จูเลีย โรเบิร์ตส์ พูดกับ ฮิวจ์ แกรนต์ เธอบอกว่า “ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย และกำลังเอ่ยขอความรักจากเขา”

ถึงแม้จะยังไม่รู้ถึงผลลัพธ์ของการสื่อสาร แต่เราก็กล้าแสดงมันออกไป กระโจนลงไปในหุบเหวอันลึกสุดจะหยั่ง หรือห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สุดสายตา เพื่อควานหาจุดเชื่อมโยงของความสัมพันธ์ ณ จุดที่อยู่ลึกที่สุดของความเป็นมนุษย์

ไฟในโรงละครเปิดสว่าง นักแสดงในห้องกระจกกั้นเสียง ทรุดลงนั่งอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง สองมือปาดน้ำตาบนสองแก้ม ผู้ชมกระแอมไอและจัดท่าที่นั่งของตัวเองให้กลับเข้าที่ทาง เราทุกคนกลับคืนสู่สภาพปกติ การสื่อสารที่แท้จริงนั้นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก และแน่นอนว่ามันต้องใช้พลังจากข้างใน

ตอนท้ายของการแสดง มีการจัดช่วงเวลาให้ซักถามพูดคุยผู้กำกับและทีมงาน ผมยกมือถาม ว่าหลังจากวันนี้ผ่านไป เมื่อเราได้ผ่านประสบการณ์ปลดเสื้อเกราะและหนามแหลม ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ดาวยิ้ม

4.

เย็นวันนั้น แม่โทรศัพท์มาขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน บอกว่าป๊าหกล้มในห้องน้ำ จะให้แม่ทำอย่างไรดี

“รออีกแป้บนะ เค้ากำลังจะถึงบ้านแล้ว” ผมตอบ

ท้องฟ้าเริ่มมืด ฝนเริ่มลงเม็ด มองไปเบื้องหน้าเป็ห็นรถติดทอดเป็นทางยาวไกล ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติเริ่มทำหน้าที่ของมันอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่งเสียงเอี้ยดอ้าดเพราะยางเสื่อมสภาพ มันกวาดหยดน้ำเล็กๆ ลากไปเป็นเส้นโค้ง สะท้อนกับแสงไฟท้ายรถคันหน้าสีแดงฉาน แล้วค่อยๆ หยาดหยดลงมาเป็นสายน้ำสีแดง

ความทรงจำในวันที่ท้อแท้ที่สุด ถูกขุดควานกลับขึ้นมา ตอนที่ผมเชิญเธอมาเป็นวิทยากรสอนเรื่อง Emphatic Communication ให้กับที่ออฟฟิศ และเธอขอให้ผมมาร่วมสาธิตทำกิจกรรมนี้กับเธอ

โดยไม่ได้พูดเล่าเรื่องราวใดๆ ผมลืมตาขึ้น เธอเอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ แล้วบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณที่เปิดใจให้กัน ขอบคุณมากๆ

ผมแค่ยิ้มให้เธอ