pe©ple

วันนี้เป็นวันธรรมดา

ผมใส่รองเท้าออกวิ่งในหมู่บ้านเหมือนวันซ้อมวิ่งธรรมดาทั่วไป และเช่นเคย, การวิ่งในหมู่บ้านมักพาผมไปพบกับชีวิตของผู้คนร่วมหมู่บ้านเดียวกัน มีหลายชีวิตที่ผมอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

หญิงสาวคนหนึ่งปั่นจักรยานเป็นกิจวัตร ไม่แน่ใจว่าเธอปั่นจักรยานทุกเช้าหรือเปล่า แต่เช้าไหนที่ผมออกวิ่ง ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ไม่พบเธอ จึงสันนิษฐานว่าเธอน่าจะปั่นอย่างสม่ำเสมอมาก ผมวิ่งสวนกับเธออยู่บ่อยๆ พยายามส่งยิ้มให้ แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะเธอมุ่งมั่นกับการปั่นมาก หน้าเชิดตรงมองไปข้างหน้า จนไม่มีสายตาเหลือบมองด้านข้างแม้แต่น้อย หลังจากนั้น บางเช้าเธอก็เปลี่ยนมาวิ่ง แต่เธอกลายเป็นคนที่ผมไม่กล้ายิ้มให้ไปเสียแล้ว เพราะรู้สึกไม่อยากรบกวนโลกส่วนตัวของเธอ ว่าง่ายๆ คือ กลัวยิ้มทักทายแล้วเธอเมินเฉย เราจึงสวนกันนับร้อยครั้งโดยไม่เคยทักทายกัน

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังยืดเหยียดหลังวิ่ง เธอวิ่งผ่านมาพอดี และเป็นฝ่ายกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มชื่นบาน เราสนทนากันหลายประโยค กำแพงบางๆ ล่องหนทลายลงในเช้าวันนั้น หลังจากนั้น การวิ่งสวนกันแล้วส่งยิ้มและกล่าวทักทายกันระหว่างเราก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เรื่องธรรมดานี้ก็เคยไม่ธรรมดามาก่อน

เมื่อวานนี้ผมพบคุณพ่อคนหนึ่งกำลังสอนลูกสาวสองคนปั่นจักรยาน

เจ้าตัวเล็กใช้จักรยานสามล้อคันเล็กประเภทที่ไม่มีทางล้มแน่ๆ เธอปั่นมันอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่พี่สาวกำลังง่วนอยู่กับจักรยานคันใหญ่ที่ดูเหมือนเพิ่งจะเอาล้อประคองสองข้างซ้าย-ขวาออก เหลือแต่ล้อหน้า-หลัง พ่อต้องคอยจับจักรยานแล้ววิ่งตาม ปากก็ให้กำลังใจลูกว่า “ปั่นเลยลูก ไม่ต้องกลัวล้ม พ่อจับอยู่” พอลูกปั่นและทรงตัวได้ พ่อก็ดีใจ แต่ไม่นานนักก็ต้องรีบวิ่งไปประคอง เพราะจักรยานเริ่มเซและทำท่าว่าจะล้ม

คุณแม่และคุณพ่ออีกครอบครัวหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นเอ่ยปากชมว่า “เก่งจังเลย” ว่าแล้วก็หันไปดันหลังลูกชายตัวน้อยที่นั่งอยู่บนจักรยานแล้วพูดว่า “ดูพี่เขาสิลูก ปั่นเลยไม่ต้องกลัว”

เมื่อวิ่งผ่านแก๊งค์จักรยานตัวน้อยไป ผมก็ไปเจอเด็กชายสองคนเจ้าประจำที่ชอบปั่นจักรยานรอบหมู่บ้าน สองคนนี้ปั่นอย่างคล่องแคล่วราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเขา ความรู้สึกกลัว กังวล หรือการพยายามทรงตัวกลายเป็นอดีตที่นึกไม่ออกไปเสียแล้ว แต่วันหนึ่งเด็กน้อยสามคนนั้นก็จะกลายเป็นแบบนี้เช่นกัน เหมือนหญิงสาวที่ปั่นจักรยานสวนกับผมทุกเช้าคนนั้น การปั่นจักรยานจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เรื่องนี้ก็เคยไม่ธรรมดามาก่อน

ชายวัยประมาณห้าสิบปีคนนั้นขยันออกเดินอย่างยิ่ง

ทุกเช้าและเย็นที่ออกวิ่ง ผมพบเขาเสมอ แรกเริ่มที่เจอ พี่ชายคนนี้ออกเดินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีลูกสาวประคองด้วยการจับแขนของเขาไว้คล้ายกลัวพ่อจะล้ม ผมไม่แน่ใจว่าเขาผ่านประสบการณ์อะไรมา อุบัติเหตุหรือโรคร้ายบางอย่างที่ส่งผลให้การเดินเหินต้องกลายเป็นเช่นนี้ รู้เพียงว่า เขาช่างดูคล้ายกับเด็กกำลังเริ่มต้นหัดเดินอีกครั้ง

ช้า ไม่มั่นคง ก้าวสั้นๆ และทุลักทุเล ผมจินตนาการว่าถ้าตัวเองอยู่ในภาวะเดียวกันคงจะหงุดหงิดใจกับความติดขัดของร่างกายไม่ใช่น้อย วันเวลาค่อยๆ ผ่านจากหน่วยวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ผมยังเห็นพี่ชายคนนี้ออกเดินอย่างไม่ยอมแพ้

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นระหว่างทางมากมาย จากอาการกะเผลกเชื่องช้า เขาเดินได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ลูกสาวที่เคยประคองแขนแน่นหนาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากการจับเป็นการจูงแทน จากนั้นก็ทำเพียงเดินใกล้ๆ เพื่อคอยดูแล แต่สามารถปล่อยมือให้คุณพ่อเดินเองได้แล้ว

ล่าสุด ผมเห็นพี่ชายคนนี้สวมรองเท้าวิ่งและเริ่มวิ่งเหยาะๆ ในหมู่บ้านโดยไม่ต้องมีลูกสาวคอยดูแลข้างๆ อีกต่อไป เขาเปลี่ยนไปมหาศาล มากกว่านั้น สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดก็แลดูสดใสขึ้นมากมาย ผมยิ้มให้เมื่อสวนกัน และถือโอกาสกล่าวแสดงความชื่นชมยินดี “พี่เยี่ยมมากเลยครับ พี่เดินดีขึ้นมากเลย นี่วิ่งได้แล้ว สุดยอดเลยครับ”

จากนั้นเวลาสวนกันเราก็ส่งยิ้มให้กันเสมอ

การเดินของพี่ชายเคยเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วก็ต้องกลับมาฝึกเดินใหม่ ใช้เวลาเนิ่นนานและความตั้งใจเข้มข้นเพื่อจะกลับมาเดินอีกครั้ง และเขากำลังหัดวิ่งอีกหน เพื่อทำให้การวิ่งกลายเป็นความธรรมดาของชีวิต

แต่เรื่องนี้ก็เคยไม่ธรรมดามาก่อน

ในหมู่บ้านจะมีลูกชายร่างกำยำคนหนึ่งคอยเข็นรถเข็นซึ่งมีคุณแม่สูงวัยนั่งอยู่ออกมาสูดอากาศยามเช้าเป็นกิจวัตรทุกเช้า

เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้ใช้สอยร่วมกัน ความสม่ำเสมอของสองคนนี้เชื่อใจได้เหมือนดอกคุณนายตื่นสายที่จะบานยามอาทิตย์ส่อง หากออกวิ่งในช่วงเวลานั้น ผมจะพบเห็นภาพนี้เสมอ เป็นเรื่องธรรมดา

ผมเชื่อว่า ภาพที่เห็นว่าธรรมดานั้น แท้ที่จริงล้วนเป็น ‘ความธรรมดาใหม่’ ลูกชายร่างกำยำคนนี้ย่อมเคยมียามเช้าที่แตกต่างไปจากที่เห็น แม่ของเขาย่อมเคยมีช่วงเวลาที่สามารถเดินเหินได้ตามปกติ ไม่ต้องรอให้ใครมาเข็นรถเพื่อพาออกไปข้างนอก แต่เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาเยือน มนุษย์ย่อมปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลง ช่วงแรกของการปรับตัวเราย่อมรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ทุกข์ทรมาน ขัดใจ และหวนคิดถึงชีวิตอันปกติธรรมดาก่อนหน้านี้ แต่แล้วไม่นานพฤติกรรม กิจกรรม หรือกระทั่งตัวตนใหม่ของเราก็จะค่อยๆ กลายไปเป็น ‘ความธรรมดาใหม่’ ที่เราคุ้นชิน และค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเราในที่สุด

เวลาและความสม่ำเสมอเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะค่อยๆ เปลี่ยน ‘สิ่งแปลกปลอม’ ในชีวิตให้กลายเป็น ‘เรื่องธรรมดา’ แต่นอกจากสองสิ่งนี้แล้วยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ นั่นคือหัวใจที่ยืดหยุ่นและมั่นคงต่อความเปลี่ยนแปลง

ยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

มั่นคงเพียงพอที่จะยืนหยัดเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เปลี่ยน—ไปสู่ความธรรมดาใหม่

ย้อนมองดูชีวิตตัวเองขณะนี้ หลายสิ่งล้วนเคยเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาด้วยกันทั้งนั้น แต่เรามีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งแปลกปลอมให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตด้วยกันทุกคน ราวกับว่าชีวิตคือการดำรงอยู่เพื่อถูกแย่งชิงความธรรมดาที่มีอยู่ไป แล้วปรับตัวอยู่ให้ได้ด้วยการสร้างความธรรมดาใหม่ขึ้นมา

สิ่งที่รับไม่ได้ตอนนี้ สุดท้ายมันจะกลายเป็น ธรรมดา

สิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญตอนนี้ สุดท้ายมันจะกลายเป็น ธรรมดา

สิ่งที่ยังทำไม่ได้วันนี้ สุดท้ายมันจะกลายเป็น ธรรมดา

ทว่า, มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เด็กน้อยที่มุ่งมั่นปั่นจักรยานด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว พี่ชายที่ลุกจากเตียงขึ้นมาเดินโขยกไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ลูกชายร่างกำยำที่เข็นรถคุณแม่ออกมาด้วยแววตาห่วงใย มีอะไรซ่อนอยู่ระหว่างทางก่อนที่ทุกสิ่งจะกลายเป็นชีวิตธรรมดา

เหล่านั้นคือ มหัศจรรย์ของมนุษย์

ความมหัศจรรย์ที่มีศักยภาพที่จะรับมือกับเรื่องยาก เปลี่ยนทุกข์ ปรับใจให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต กระทั่งกลายเป็นความหมายใหม่ที่งดงาม

การปั่นจักรยานได้จากที่เคยกลัว การกลับมาเดินคล่องอีกครั้ง การใช้เวลากับแม่ที่แก่ชรา รวมถึงการยิ้มให้คนแปลกหน้าจนกระทั่งกลายเป็นคนคุ้นเคย, เหล่านี้มิใช่ความมหัศจรรย์ของชีวิตหรอกหรือ

เมื่อใดที่มีเรื่อง ‘ไม่ธรรมดา’ เกิดขึ้นในชีวิต แท้จริงแล้ว ชีวิตกำลังมอบเนื้อดินสำหรับเพาะพันธุ์ดอกไม้ให้เติบโตงอกงาม หน้าที่ของเราคือใช้เวลา ความสม่ำเสมอ และหัวใจที่ยืดหยุ่นและมั่นคงเพื่อเปลี่ยนแปลงดินแห้งแล้งให้กลายเป็นสวนดอกไม้

 

แล้วผมก็วิ่งครบสิบรอบหมู่บ้านสำเร็จตามความตั้งใจ

การวิ่งพาผมไปพบกับชีวิตของผู้คนมากมาย ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยออกมาวิ่งเลย ผมเพิ่งวิ่งในหมู่บ้านได้เพียงสองปีเท่านั้น จากสองกิโลเมตรที่หอบแฮ่กและรวดร้าวไปทั้งตัว มาถึงวันนี้ที่วิ่งครบยี่สิบกิโลเมตรแบบยังพอมีแรงเหลือ สิ่งนี้กลายเป็นความธรรมดาใหม่

แต่เรื่องนี้ก็เคยไม่ธรรมดามาก่อน.