ในโลกนี้มีภาพทางคริสต์ศาสนามากมายที่ใช้ชื่อว่า Ecce Homo หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ‘นี่คือชายคนนั้น’
ประโยคข้างต้นเกิดจากเหตุการณ์หนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อ ป็อนติอุส ปีลาตุส (Pontius Pilate) ข้าหลวงชาวโรมันผู้ว่าการมณฑลจูดีอา ซึ่งจะเป็นคนสั่งประหารพระเยซูบนไม้กางเขนในเวลาต่อมา นำตัวพระเยซูมาให้ชาวยิวดู และพูดประโยคดังกล่าวว่า “นี่คือชายคนนั้น”
แต่รูปวาดเทคนิคเฟรสโกจากทศวรรษ 1930 ที่ชื่อ Ecce Homo หรือ ‘นี่คือชายคนนั้น’ ในโบสถ์แห่งหนึ่งของเมืองเล็กๆ ชื่อ บอร์จา ในประเทศสเปน ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกมาเป็น Ecce Mono หรือ ‘นี่คือลิงตัวนั้น’ ได้อย่างไร?
![](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/01/ecco-body2.jpg)
ย้อนกลับไปปี 2012 หญิงชรานาม ซาซิเลีย กิมาเนส (Cecilia Giménez) ตัดสินใจอาสาบูรณะภาพวาดชื่อ Ecce Homo โดยจิตรกรจากทศวรรษที่ 19 นาม เอเลียส การ์เซีย มาติเนซ (Elías García Martínez) หลังจากที่ภาพวาดภาพนี้ผุกร่อนลอกล่อนไปตามกาลเวลามาช้านาน แต่ด้วยฝีมือระดับสมัครเล่นของเธอ รูปวาดใบหน้างดงามตามอุดมคติของเยซูคริสต์ ก็กลับกลายเป็นใบหน้าของลิงไปเสียได้
ว่ากันว่า ซาซิเลีย กิมาเนส แอบบูรณะภาพนี้อย่างลับๆ โดยไม่ได้รับการยิมยอมจากใคร แต่เมื่อสำนักข่าวอย่าง BBC ไปสัมภาษณ์เธอและถามจี้ถึงประเด็นดังกล่าว กิมาเนสกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่” โดยเผยความนัยผ่านท่าทางลุกลี้ลุกลนที่อาจจับใจความได้ว่า เธอน่าจะแอบทำมันจริงๆ
![](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/01/ecco-วงกลม.png)
งานบูรณะของกิมาเนสกลายเป็นไวรัลที่ถูกนำมาล้อเลียนอยู่บนโลกออนไลน์พักใหญ่ แต่อีกด้านหนึ่งความพังพินาศนี้ก็กลับดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมหาศาลปักหมุดให้เมืองเล็กๆ จากยุคกลางที่มีประชากรเพียงราวห้าพันคนนามบอร์จาแห่งนี้ เป็นจุดหมายที่พวกเขาอยากไปเยือนสักครั้ง แถมมันยังช่วยฟื้นคืนภาวะเศรษฐกิจอันตกต่ำของเมืองให้กลับมามีชีวิตชีวาอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
แม้ซาซิเลีย กิมาเนส จะกลายเป็นคนดังจากความพังของการบูรณะครั้งนั้น แต่เรื่องราวนี้มันก็ซ่อนไว้ซึ่งความเจ็บปวดจากการโดนบุลลี่ในทีแรก ศรัทธาเข้มข้นและความไร้เดียงสาไม่อาจหนีจากการถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกโดยผู้คนที่ไม่ยั้งคิดได้
![](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/01/ecco-body3.png)
“ตอนนี้เมื่อฉันมองที่ภาพ Ecce Homo ฉันเห็นบางอย่างในแง่บวก” ครั้งหนึ่งกิมาเนสให้สัมภาษณ์กับทาง The Guardian “แต่ฉันต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ฉันเจ็บปวดสาหัสในทีแรก ฉันร้องไห้ทุกวัน มีคนมากมายรอฉันที่ประตูบ้าน พยายามไล่ตามฉันด้วยกล้องและการยิงคำถาม นั่นมันมากเกินไปสำหรับหญิงม้ายวัย 84 ปีอย่างฉัน ฉันไม่ใช่จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ แต่ฉันรักการวาดภาพมาตลอดชีวิต แม้ฉันจะได้แสดงงานแค่ไม่กี่ครั้ง”
“วันที่ฉันสังเกตว่าภาพวาดนั้นลอกล่อนอย่างหนัก ฉันทำให้มันเปียก ลากเส้นหยาบๆ ลงบนภาพ และเมื่อต้องรอให้มันแห้ง ฉันก็เลยไปพักร้อนอยู่สองสัปดาห์ ในหัวคิดว่าฉันจะกลับมาบูรณะภาพนี้ให้เสร็จเมื่อกลับมาถึง
“แต่เมื่อฉันกลับมา ทุกคนในโลกกลับได้ยินชื่อ Ecce Homo กันหมดแล้ว ปฏิกริยาโต้ตอบของผู้คนยังทำให้ฉันเจ็บปวดกระทั่งตอนนี้ เพราะฉันยังบูรณะภาพนั้นไม่เสร็จ ฉันยังคิดเสมอว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าฉันไม่ตัดสินใจไปพักร้อน เรื่องราวทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“นักข่าวบอกโลกเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงชราผู้ไร้ความสามารถในการวาดรูปและทำลายภาพวาดโบราณ มันไม่จริงเลย มันอาจจะจริงที่ฉันวาดรูปพอร์ตเทรตหลายรูปไม่เสร็จ แต่ถ้าฉันไม่เริ่มบูรณะภาพเหล่านี้ ภาพวาดนี้คงหายสาบสูญไปนานแล้ว”
![](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/01/ecco-body1.jpg)
ภายใต้เสียงหัวเราะมีความเจ็บปวด แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบอร์จาหลายคนมองว่า นี่คือ ‘เรื่องมหัศจรรย์’
แอนดรูว์ ฟลักค์ (Andrew Flack) นักประพันธ์เพลงโอเปรา ผู้เดินทางสู่บอร์จาเพื่อทำงานวิจัยและสร้างสรรค์ผลงานเพลง สรุปไว้อย่างน่าฟัง และเป็นบทสรุปถึงเรื่องราวของซาซิเลีย กิมาเนส ผู้มีความศรัทธาต่อศาสนาและศิลปะได้อย่างดีว่า “สำหรับผมมันคือเรื่องราวแห่งความศรัทธา ทำไมผู้คนมากมายต้องมาดูภาพวาดนี้ถ้ามันเป็นศิลปะที่เลวร้าย ผมคิดว่ามันคือการจาริกแสวงบุญอย่างหนึ่งที่ถูกทำให้เป็นปรากฏการณ์โดยสื่อ พระเจ้าทำงานในวิถีทางอันน่าพิศวง ความหายนะของคุณสามารถกลายเป็นเรื่องอัศจรรย์ได้”