ซือมู่ หลิว (Simu Liu) ไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ …ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เขายังไม่ใช่
หลิวเคยเป็นพนักงานบัญชี เป็นลูกหลานคนจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานยังแคนาดา ถูกพ่อแม่คาดหวังไว้ว่าจะมีการงานมั่นคงตามสเตอริโอไทป์แบบคนเอเชียพลัดถิ่น เขาจึงเข้าเรียนด้านการเงินและบัญชีอยู่สองปี ก่อนจะจบมาและเข้าทำงานกับบริษัท Deloitte บริษัทด้านบัญชีที่ใหญ่ติด 1 ใน 4 ของโลก
“Fun Fact: 9 ปีก่อน ผมใช้เงินเก็บของตัวเองหมดไปกับการถ่ายรูปลงในประวัติสมัครงานกับ Deloitte” ซือมู่ หลิวทวีตไว้ในทวิตเตอร์ของตน
แต่ก็เหมือนกับหนุ่ม-สาวหลายคน หลิวมีความฝันอยากจารึกชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในฐานะนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด เขาจึงทำงานเป็นพนักงานบัญชีได้แค่ไม่กี่ปี ก่อนจะออกมาไล่ล่าความฝันประหนึ่งกำลังอยู่ในหนัง La La Land (2016)
ในปี 2014 ขณะยังเป็นนักแสดงโนเนม ซือมู่ หลิวผู้มีอีกภาคหนึ่งเป็นเกรียนคีย์บอร์ดที่สร้างสีสันในโลกทวิตเตอร์ได้เสมอ นึกสนุกทวีตข้อความเมนชั่นถึง Marvel Studio ราวกับนั่นเป็นคำทำนายบอกเส้นทางอนาคตของตัวเอง โดยอาจไม่ได้คาดคิดล่วงหน้าว่าสุดท้ายแล้วเขาจะได้มาร่วมงานกับสตูดิโอภาพยนตร์ชื่อดังแห่งนี้จริงๆ
“เฮ้ @Marvel พวกคุณทำได้ยอดเยี่ยมมากกับ Captain America และ Thor ตอนนี้ลองพิจารณ์ถึงฮีโร่ชาวเอเชีย-อเมริกันดูบ้างไหม?”
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ทวีตขำๆ ของเขาก็กลายมาเป็นความจริง เมื่อซือมู่ หลิวกำลังจะกลายเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้รับบทเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ตัวหลักในจักรวาลมาร์เวลและมีภาพยนตร์เดี่ยวเป็นของตัวเองในชื่อ ‘แชง-ชิ’ (Shang-Chi) ซึ่งมีกำหนดจะฉายครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 2021 นี้
แชง-ชิคือฮีโร่ตัวหนึ่งในจักรวาลมาร์เวล แม้เขาไม่ได้โด่งดังเท่าไอออนแมน หรือสไปเดอร์แมน แต่ตัวละครผู้ได้สมญานามว่า ‘เจ้าแห่งกังฟู’ และมีธีมความมืดหม่นเบื้องหลังเป็นเรื่องความไม่ลงร่องลงรอยบางอย่างในครอบครัวผู้นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาสู่หน้ากระดาษให้เหล่านักอ่านได้ตื่นตากันครั้งแรกตั้งแต่ปี 1973
แน่นอนว่า การเลือกฮีโร่ขึ้นมาสักตัวจากจักรวาลที่เต็มไปด้วยซุปเปอร์ฮีโร่กว่า 5,000 ตัวนั้นย่อมต้องมีเหตุผลซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นการเมือง สังคม และกระแสที่โลกกำลังดำเนินไป ตีความง่ายๆ ก็เช่น การมาของแชง-ชิค่อนข้างถูกที่ถูกเวลา เมื่อสถานการณ์ที่อัตราความเกลียดชังชาวเอเชียในหมู่ชาติตะวันตกสูงขึ้น หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนก่อให้เกิดแคมเปญ #StopAsianHate ซึ่งทำให้การเลือกซือมู่ หลิวผู้มักทวีตแสดงความคิดเห็นของตัวเองในโลกออนไลน์ตลอดเวลามารับบทถือเป็นมูฟที่ดี เพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างทั่วถึงมากขึ้น
สิ่งที่หลิวแสดงความคิดเห็นนั้นมักมีทั้งเรื่องเชิงลึกและเรื่องแมสๆ อย่างสเตอริโอไทป์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของชาวเอเชีย เช่นครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาโกรธเคืองโลก เขาจะโพสต์ภาพตัวเองถอดเสื้อโชว์กล้ามขึ้นอินสตาแกรม
“ลองจินตนการถึงการเป็นเด็กที่เติบโตมาแล้วไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนสนใจอยากเดตด้วย แถมยังได้ยินผู้คนพูดอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาไม่ปลื้มหนุ่มเอเชียเอาเสียเลย… พวกเราไม่ใช่ภาพแทนของหนุ่มเซ็กซี่ที่จะชอบถอดเสื้อโชว์กล้าม แต่เป็นได้แค่พระรองเด็กเนิร์ดเท่านั้น”
ครั้งหนึ่งนักแสดงผู้ไต่เต้ามาจากการเป็นตัวประกอบ แสดงละครที่แทบไม่มีคนจดจำมาเป็นสิบๆ เรื่อง ก่อนจะมีคนพูดถึงเพิ่มขึ้นกับซีรีส์ซิตคอมสัญชาติแคนาดาชื่อดังอย่าง Kim’s Convenience ในบทลูกชายผู้ไม่เอาไหนของครอบครัวชาวเกาหลีอพยพ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของแคนาดาอย่าง Toronto Life ถึงบทบาทของตัวละครชาวเอเชียในหนังฮอลลีวูดว่า “นี่คือการสร้างจำของตัวละครที่แสนอันตราย ดังนั้นผมต้องการจะบินไปประจันหน้าเพื่อท้าทายผู้คนและอัพเดตความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับคนเอเชีย ว่าแท้จริงแล้วพวกเราเป็นอย่างไร เรามีน้ำเสียงแบบไหน และเราสามารถทำอะไรได้บ้าง” ก่อนจะกล่าวติดตลกถึงพฤติกรรมชอบถอดเสื้อโชว์ของตัวเองอีกครั้งว่า “และถ้ามันหมายถึงการต้องถอดเสื้อโชว์ ผมก็จะทำมันทุกครั้งอย่างยินดี”
นอกจากนี้ ซือมู่ หลิวผู้ที่ปัจจุบันกลายเป็นทูตสันถวไมตรีขององค์กรยูนิเซฟแคนาดา ยังเคยเขียนบทความพิเศษตีพิมพ์ในสื่ออย่าง Variety พูดถึงประเด็นการเหยียดชาวเอเชีย โดยยกเหตุการณ์ฆาตกรรม ‘วิชา รัตนภักดี’ ชายชาวไทยวัย 84 ปี ผู้อาศัยอยู่ในอเมริกา และถูกชายชาวแอฟริกัน-อเมริกันตั้งใจวิ่งชนจนล้มฟาดพื้นเสียชีวิตเมื่อต้นปี 2021 โดยสะท้อนเหตุการณ์นั้นถึงตัวตนของตัวเองและครอบครัวว่า
“พวกคุณส่วนใหญ่ที่กำลังอ่านบทความนี้ คงแทบจะไม่ใส่ใจหากคุณพบพ่อแม่ของผมในแถวรอจ่ายเงินในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือเดินสวนพวกเขาบนท้องถนน เหมือนกับผู้อพยพส่วนใหญ่ พวกเขาเป็นแค่คนส่วนน้อยที่ไม่เคยถูกมองเห็น ผู้เดินทางมาสู่ประเทศใหม่ และใช้ชีวิตอย่างคนตัวเล็กมากเท่าที่พวกเขาจะทำได้ พวกเขายิ้ม พยักหน้าให้ทุกคน จ่ายภาษี และไม่เคยสร้างความวุ่นวาย ไม่เคยอยากทำให้ใครเดือดร้อน
“และพวกคุณ? พวกคุณมองตรงผ่านพวกเขาไปราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“นับเป็นสิบๆ ปี ที่ผมเฝ้ามองพวกคุณจ้องมองพวกเขาอย่างไร้ความอดทน อย่างเย็นชา และเต็มไปด้วยการไร้ความเห็นอกเห็นใจ ผมเห็นแคชเชียร์ พนักงานเสิร์ฟ พนักการเก็บค่าโดยสาร พนักงานธนาคาร และฝ่ายบริการลูกค้า พยายามพูดภาษาอังกฤษรัวๆ ใส่พวกเขาอย่างจงใจ ราวกับมันช่างน่ารำคาญที่ต้องใช้เวลาอีกสักแค่วิฯ สองวิฯ เพื่อพูดคุยให้พ่อแม่ของผมเข้าใจ ผมได้ยินผู้คนล้อเลียนทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่สำเนียงของพวกเขา วิธีที่พวกเขาปรุงอาหาร หรือกระทั่งรูปทรงของดวงตา แน่นอน ผมยังเคยได้ยินประโยคคลาสสิกที่ว่า ‘กลับจีนไปซะ’ มานับครั้งไม่ถ้วน”
ในส่วนของการมารับบทแชง-ชิของซือมู่ หลิวนั้น ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นอีกส่วนที่จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ได้ โดยผู้คนมากมายต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็น เช่น อควาฟินา ( Awkwafina) ผู้จะมารับบทเป็นเพื่อนสนิทของแชง-ชิในภาพยนตร์ฮีโร่เรื่องนี้ ที่ได้บอกไว้ว่า “นี่คือการยกระดับของภาพแทนในวัฒนธรรมเอเชียที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มันจะพาคุณไปสำรวจระดับตัวตนแบบเอเชียที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน”
ส่วนนักแสดงเชื้อสายฟิลิปินส์อย่าง เม ฟลอเรส (Mae Flores) ผู้ที่มีอีกภาคเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม เชื่อว่าการมาของภาพยนตร์ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings จะฉายให้เห็นด้านสว่างไสวของเอเชียในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการมันมากที่สุดท่ามกลางความรุนแรงต่อคนเอเชีย โดยเฉพาะในสังคมอเมริกัน เพราะ “เราต้องการที่จะถูกจดจำอีกครั้ง”
ในชีวิตจริงแม้ว่าซือมู่ หลิวจะไม่ได้มีพลังวิเศษอย่างตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ของเขา แต่การได้มารับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่มีแสงสปอตไลต์ฉายมาจนทำให้คนที่เคยเป็นแค่เนิร์ดชาวเอเชียธรรมดาอย่างเขาเจิดจ้าขึ้นมาก็นับเป็นพลังอย่างหนึ่งได้ เมื่อบางครั้งเพียงความกล้าหาญในการจะออกมา call-out ต่อความอยุติธรรมเท่ากับเป็นการแสดงความรับผิดชอบ สมกับประโยคยอดฮิตของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่ว่า ‘พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’ และดูเหมือนหลิวจะเลือกใช้มันได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าสุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำออกมาได้ดีหรือห่วยก็ตาม
ทั้งนี้ พลังวิเศษที่ว่านั้น แทบไม่จำเป็นต้องออกแรงให้เจ็บตัวใดๆ ทว่ามันเป็นได้ตั้งแต่คำพูดและข้อเขียนสั้นแสนสัั้นแต่แสบๆ คันๆ ในทวิตเตอร์ หรือบทความยาวๆ เปี่ยมอารมณ์สะเทือนใจอย่างที่เขาเขียนทิ้งท้ายไว้ในบทความของตัวเองใน Variety ที่ว่า
“เมื่อผมมองดูภาพถ่ายของคนเฒ่าคนแก่ชาวเอเชียที่ถูกทำร้าย ผมมองเห็นการเดินทางของพ่อแม่ตัวเองอยู่ในนั้น ผมเห็นความฝันของพวกเขา เห็นการต่อสู้ดิ้นรน เห็นความทุกข์ทรมาน เห็นการมองโลกในแง่บวกที่ไม่อาจถูกสั่นคลอน” ก่อนจะทิ้งคำถามไว้ว่า
“ต้องมีกรณีอย่างวิชา รัตนภักดีเกิดขึ้นอีกกี่คนกัน คุณถึงจะมองเห็นพวกเขาขึ้นมาบ้าง?”
#StopAsianHate
อ้างอิง
- TORONTO LIFE. Everything we know about Simu Liu, Marvel’s newest superhero. https://bit.ly/3ibefll
- Hailey Man. 5 things to know about Simu Liu, who landed the role of Marvel’s superhero Shang-Chi through Twitter. https://bit.ly/3fIfYNf
- Kurt Rivera. New Marvel movie unveils studio’s first Asian Superhero.https://bit.ly/2RWOzyi
- John Ridlehoover. Shang Chi’s Simu Liu Explains Why Going Shirtless is a Political Act. https://bit.ly/3yYQ8w3
- Simu Liu. Anti-Asian Racism Is Very Real. https://bit.ly/3yYQ8w3
- Marcus Jones. Marvel’s Shang Chi star Simu Liu successfully campaigned for the role on Twitter. https://bit.ly/3g0rjHD