pe©ple

“ฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะตกหลุมรักโรงหนังหรือภาพยนตร์ ฉันแค่บังเอิญมาเป็นนักแสดงเท่านั้น”

ยูน ยอจอง (Youn Yuh-Jung) นักแสดงหญิงชาวเกาหลีวัย 73 ปี เล่าถึงชีวิตนักแสดงตลอด 50 ปีของเธอ

ยอจองกลายเป็นที่จับตามองในวงการภาพยนตร์โลกอีกครั้ง หลังรับบทเป็น ‘ซุนจา’ คุณยายชาวเกาหลีจากภาพยนตร์เรื่อง มินาริ (Minari [2020]) และถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนทำให้ตัวละครนี้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ชมหลายคน

ภาพยนตร์เรื่อง Minari (2020)

เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย ชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมบนเวที British Academy of Film and Television Arts และเป็นชาวเกาหลีใต้คนแรกที่มีชื่อเข้าชิงในสาขาเดียวกันบนเวทีออสการ์ในปีนี้

ยอจองรับบทในภาพยนตร์มากว่า 30 เรื่อง และปรากฏตัวบนจอโทรทัศน์มานับไม่ถ้วน แต่เธอกลับเผยอย่างอายๆ ว่าก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยหลงใหลการแสดงแม้แต่น้อย แต่จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงได้ด้วยความบังเอิญ

ในวัย 19 ปี ยอจองอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนเด็กวัยรุ่นเกาหลีทั่วไป แต่ทว่าคะแนนของเธอต่ำเกินกว่าจะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้แม่ของเธอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แม้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน แต่จนแล้วจนรอดยอจองก็ได้เข้าเรียนเอกภาษาและวรรณกรรม ที่มหาวิทยาลัยฮันยาง

ภาพยนตร์เรื่อง Woman of Fire (1971)

ยอจองเรียนไปด้วย ทำงานพาร์ทไทม์ที่สถานีโทรทัศน์ไปด้วย หน้าที่หลักของเธอคือประกบอยู่ข้างๆ พิธีกรแล้วเป็นคนคอยเชิญรางวัลให้ หลังจากจบงานเธอได้รับเช็กค่าจ้างในฐานะตัวประกอบ นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอมองเห็นว่างานหน้ากล้องเป็นงานที่ทำเงินได้ดี เมื่อปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอบ่อยครั้งเข้า ผู้กำกับชเว ซังฮยอน (Choi Sang-hyun) ก็แนะนำให้เธอลองไปออดิชันเป็นนักแสดงเต็มตัว

ราวกับยอจองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เพราะการออดิชันครั้งแรกของเธอผ่านฉลุยแบบไม่มีอะไรมากั้น นั่นจึงทำให้เธอมีโอกาสแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง Mister Gong (1967) ที่ฉายทางสถานีโทรทัศน์ช่อง TBC ต่อมาในปี 1969 เธอก็ได้รับรางวัลแรกเป็นรางวัลนักแสดงหน้าใหม่มากความสามารถจาก TBC Drama Award 

ภาพยนตร์เรื่อง Woman of Fire (1971)

ยอจองเชื่อว่าเธอไม่ได้สวยตามแบบฉบับสาวเกาหลี แต่นั่นก็เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เธอไปสะดุดตา คิม กียอง (Kim Ki-young) ผู้กำกับหนังแนวโรคจิตตัวพ่อของเกาหลีที่คอยเฟ้นหานักแสดงหน้าใหม่มาประดับวงการ ยอจองได้เดบิวต์บนจอเงินเป็นครั้งแรกด้วยฝีมือการกำกับของกียองในเรื่อง Woman of Fire (1971) และแน่นอนว่าการแสดงที่โดดเด่นของยอจองทำให้เธอเป็นที่รู้จักและโด่งดัง จนคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวที Sitges Film Festival เทศกาลภาพยนตร์ในประเทศสเปนมาครอง

“บอกตรงๆ เลยนะ ความจริงแล้วฉันไม่รู้ว่าการแสดงคืออะไร ฉันพยายามจำบทและทำทุกอย่างที่พวกเขาขอให้ทำ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันชอบหรือไม่ชอบ” ยอจองเล่าถึงชีวิตในฐานะนักแสดงของเธอ

ภาพยนตร์เรื่อง Beasts Clawing at Straws (2020)

ยอจองไม่ชอบไปโรงหนัง ไม่ดูภาพยนตร์ และไม่เคยเรียนการแสดงมาเลยสักครั้งในชีวิต แต่เธอกลับทำได้ดีทุกครั้ง เธอเผยว่าเธอให้ความสำคัญกับ ‘บท’ มากที่สุด เพราะด้วยความที่เธอเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการแสดงเลยและในมือของเธอมีเพียงบทเล่มหนาที่พวกเขามอบให้ สิ่งที่เธอคิดว่าทำได้ดีที่สุดทุกครั้งคือจำบทนั้นให้ขึ้นใจ โดยที่เธอเองไม่เคยรู้ตัว นั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีของการเป็นนักแสดงมืออาชีพ

“บทเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลของฉัน” ยอจองกล่าว

“ในการรับบทแต่ละครั้ง ฉันต้องฝึกอย่างหนักเพื่อจดจำบทให้ขึ้นใจ บางคนคิดว่าบทไม่สำคัญ แต่สำหรับฉันมันสำคัญมาก เพราะบทแสดงความคิด ทัศนคติ และเป็นทุกอย่างของตัวละคร ถ้าฉันจำมันได้อย่างละเอียด ฉันจะแสดงออกมาได้อย่างเป็นอิสระ นั่นคือเป้าหมายของฉัน เวลาอยู่ในกองถ่ายฉันมักจะพกบทกับบุหรี่ติดตัวไว้เสมอ” ยอจองให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ A24

ยอจอง ลูกชาย และยองนัม (photo : https://bit.ly/3auDESl)

เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ยอจองโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง และมีผลงานสร้างชื่อมากมาย ในขณะที่งานแสดงกำลังไปได้สวย เธอได้พบรักกับ โจ ยองนัม (Jo Young-nam) นักร้องที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจแต่งงานกันในปี 1975 หลังจากนั้นยองนัมต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา ยอจองจึงติดสอยห้อยตามไปด้วยและวางมือจากงานแสดงไปโดยปริยาย

บทบาทนักแสดงสำหรับยอจองกลายเป็นเพียงอดีตอันหอมหวานที่เธอฝากให้ผู้ชมเกาหลีใต้ช่วยจดจำ ส่วนบทบาทใหม่ของเธอที่ฟลอริดาคือการเป็นแม่บ้านเต็มตัวและใช้เวลาทั้งหมดเพื่อดูแลลูกชายทั้ง 2 คน ชีวิตครอบครัวที่ปักหลักอยู่ในอเมริกาเป็นไปอย่างราบรื่น…แต่เป็นเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น

ยอจองเล่าว่าเธอชอบซีรีส์เรื่อง Outlander และดูจบครบทุกซีซัน เพราะข้างในนั้นความรักของหนุ่มสาวจะเป็นนิรันดร์ ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตรักของเธอ เมื่อยอจองรู้ว่ายองนัมผู้เป็นสามีนอกใจ พวกเขาก็ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน และเธอก็พาลูกๆ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด

ภาพยนตร์เรื่อง The Bacchus Lady (2016)

ยอจองในวัย 40 ปีหวนคืนวงการบันเทิงเกาหลีอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเธอคิดถึงบทภาพยนตร์ ไม่ใช่เพราะเธออยากทวงพื้นที่ในวงการคืน เพียงแต่นี่คือความจำเป็น หากถามว่าจะใช้ชีวิตเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวในเกาหลีใต้ได้อย่างไร อาชีพนักแสดงก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในตอนนั้น

สปอตไลต์ส่องมาที่ยอจองอย่างแจ่มจ้าเฉกเช่นทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวบนจอโทรทัศน์ แต่เธอรับรู้ได้ว่าสีสันของมันต่างไปจากเคย บางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชมไม่ได้ต้อนรับเธออย่างอบอุ่นเหมือนครั้งแรก แต่กลับดูถูกด้วยถ้อยคำหยามเหยียดเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่หย่าร้างกับสามี สังคมเกาหลีในตอนนั้นมองว่าเธอล้มเหลวกับชีวิตครอบครัวและไม่คู่ควรกับการเป็นนักแสดง

ภาพยนตร์เรื่อง The Housemaid (2010)

“แต่ก่อนผู้ชมมักจะพูดถึงฉันว่า ‘เธอเป็นแม่ร้าง เธอไม่ควรอยู่ในจอโทรทัศน์’ แต่ตอนนี้พวกเขากลับชื่นชอบฉันมาก นั่นเป็นเรื่องแปลกที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ก็นั่นแหละนะ ธรรมชาติของมนุษย์” เธอเล่าในบทสัมภาษณ์ของ The New York Times หลังจากที่มุมมองต่อเธอจากสายตาชาวเกาหลีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

แม้ตอนนั้นยอจองจะเจ็บปวดจนคิดจากเกาหลีไปอีกครั้ง เธอตั้งใจว่าจะกลับฟลอริดา ไปทำงานเป็นพนักงานแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกๆ ด้วยตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตั้งใจทำงานแสดงต่อไป รับเล่นแทบจะทุกบทบาทไม่ว่าจะเป็นบทเล็กบทใหญ่ กว่าจะส่งเสียลูกชายทั้งสองคนจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ยอจองก็อายุย่างเข้าเลขหกแล้ว

เธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ขลุกอยู่บนเตียงที่บ้าน มีเวลาเหลือเฟือสำหรับจิบไวน์และสูบบุหรี่แบบที่เธอชื่นชอบ เธอใช้เงินไปกับการกินอาหารดีๆ และซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ชีวิตวัยเกษียณที่เธอไม่จำเป็นต้องทำงานหาเงินเพื่อมาดูแลใครอีกต่อไป ก็ทำให้มุมมองที่มีต่อการแสดงของยอจองเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

เธอเริ่มให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์อย่างจริงจัง พินิจดูความตั้งใจของผู้กำกับ และพยายามหาว่าตัวเธอเองจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ความตั้งใจนั้นไปถึงฝั่งฝันได้อย่างไร

ภาพยนตร์เรื่อง Minari (2020)

ผู้กำกับ ลี ไอแช็ก ชอง (Lee Isaac Chung) พยายามจีบยอจองให้มารับบทเป็นคุณยายซุนจา เพราะเธอเคยเป็นชาวเกาหลีที่ตั้งใจมาตั้งรกรากที่อเมริกาเช่นเดียวกับเขา จึงน่าจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของซุนจาที่สุด

และเนื่องจากนี่เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงของลี ยอจองจึงถามเขาด้วยความสงสัยว่า เธอจำเป็นต้องถอดแบบคุณยายของเขามาด้วยไหม ส่วนลีก็ตอบว่า “ไม่จำเป็น” เขาให้โอกาสยอจองทำความเข้าใจตัวละครและสร้างซุนจาขึ้นมาในแบบของเธอเอง ยอจองที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และเธอเองก็อยากให้ภาพยนตร์บอกเล่าความรู้สึกของเด็กๆ อเมริกันเชื้อสายเอเชียเช่นเดียวกับลูกชายทั้ง 2 คนของเธอ ยอจองจึงตัดสินใจรับบทซุนจา

ยอจองชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องมินาริ บนเวที British Academy Film Awards ครั้งที่ 74

ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา บางครั้งยอจองอยู่ในจุดที่ราวกับว่ามือของเธอนั้นเอื้อมไปแตะท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย และเช่นเดียวกัน…มีบางวันที่เธอล้มลุกคลุกคลานและเต็มไปด้วยเศษดิน นี่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เธอประสบความสำเร็จและเอื้อมมือแตะท้องฟ้า เธอเผยว่ามินาริเป็นเหมือนของขวัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตในวัยย่างเข้า 74 ปี

“ลองคิดดูสิว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน ตอนนั้นฉันเจ็บปวดจะเป็นจะตายกับแค่บทบาทเล็กๆ และคนส่วนใหญ่ก็เอาแต่เกลียดฉัน จนฉันคิดอยากออกจากวงการแล้วกลับไปอเมริกา…

“แต่ดูสิ ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ และในที่สุดก็มีความสุขกับการแสดงจนได้”

 

อ้างอิง

  • Carlos Aguilar.She Never Dreamed of Acting.Now She’s an Oscar Nominee for ‘Minari.’https://nyti.ms/3xahPRJ
  • Lainey Loh. 5 Facts About Minari’s Youn Yuh Jung, The Oscar-Nominated Korean Actress Who Stumbled Into Acting. https://bit.ly/3gpI8NV
  • Lauren Ro. Living Like a Legend with Minari’s Yuh-Jung Youn. https://bit.ly/3tATDFU
  • E. Alex Jung. Youn Yuh-jung Comes to America The actress’s heart-shattering turn in Minari will likely get an Oscar nod. She’s been doing this too long to care. https://bit.ly/3ap8Mm5