หากเสิร์จคำว่า ธนชัย อุชชิน ในวิกิพีเดีย
จะพบข้อมูลระบุว่า จุดเริ่มต้นทางดนตรีของเขาเกิดขึ้นหลังจากชนะการประกวด โค้กมิวสิคอะวอร์ด ประจำปี 2535
แต่ถ้าถาม ธนชัย อุชชิน ตัวจริง คำตอบที่ได้กลับย้อนหลังไปไกลกว่านั้น
“ผมอยากจะขอบคุณโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เพราะว่าผมเรียนรู้หลายสิ่งจากที่นั่น” และหนึ่งสิ่งนั้นคือดนตรี
“ทุกวันคริสต์มาส โรงเรียนจะเอาวงดนตรีที่ดีที่สุดในยุคนั้นมาเล่น ผมได้ดูรอยัล สไปร์ท แกรนด์เอ็กซ์ คีรีบูน ทุกวงที่โดดเด่น ตั้งแต่ผมอยู่ ป.1 แล้ววันนั้นโฟกัสผมจะอยู่บนหอประชุม เพื่อจะรอดูการแสดงเหล่านั้น”
วันนี้ “พี่ป๊อด” กำลังจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นทางดนตรีของเขาอีกครั้ง เมื่อพี่น้องศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลร่วมจัดคอนเสิร์ตการกุศล Past Perfect Concert เพื่อหาทุนให้กองทุนศิษย์คิดถึงครู และกองทุนช่วยเหลือครูเกษียณโรงเรียนเซนต์คาเบรียล
การหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นทางดนตรีครั้งนี้ นอกจาก common จะได้รู้คำตอบที่ไม่มีในวิกิพีเดียแล้ว ยังได้รู้บางสิ่งที่พี่ป๊อดไม่เคยบอก
บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในชีวิต และเพลงบางเพลงของโมเดิร์นด็อก
ป๊อด โมเดิร์นด็อก พ.ศ.2537
“ผมกลัวจะไม่ได้ที่หนึ่งอีก”
“กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มุ่งมั่นฝ่าฝัน และมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือต้องการจะทำอัลบั้ม ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลย”
คือนิยามที่พี่ป๊อดพูดถึงวงโมเดิร์นด็อกในยุคเริ่มทำคลอดอัลบั้มแรก เสริมสุขภาพ
เพราะเริ่มจากความไม่คาดหวังนี้เอง เมื่อเพลงอย่าง บุษบา โด่งดังจนทำให้โมเดิร์นด็อกกลายเป็นวงดนตรีแห่งยุคอัลเทเนทีฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ป๊อดไม่ได้คาดฝัน ท่ามกลางคำชื่นชมยินดี ลึกๆ ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความกดดัน
คิดไหมว่าเพลงอย่าง บุษบา ที่คุณบอกว่าแต่งจากฟิลลิ่งล้วนๆ ไม่ได้อิงทฤษฎี จะกลายเป็นปรากฏการณ์
ผมรู้สึกเลยว่า ซวยแล้ว กูจะแต่งได้อีกไหม เพราะว่าผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมแต่งเพลงพวกนี้ด้วยอะไร ผมแค่รู้ว่ากูต้องร้องเพลง กูต้องแต่งเพลงนี้ให้กูร้องเอง
พอเป็น “พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง
กลัว (ตอบทันที) คือผมคล้ายๆ เด็ก ป.4 คนนั้นที่สอบได้ที่หนึ่ง แล้วผมกลัวจะไม่ได้ที่หนึ่งอีก
ด.ช.ธนชัย เด็กเรียนเก่ง
“อ๋อ เรียนเก่งแล้วเป็นอย่างนี้ใช่มะ”
ตอนเด็กๆ สมัยเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นยังไง
เป็นเด็กเรียนเก่งนะ เก่งแบบได้ที่หนึ่ง อยู่ในร่องในรอย แต่ก็เป็นเด็กสนุกด้วย ชอบคิด ทำนั่นทำนี่ เหมือนกับว่าทำตัวเฉยๆ แต่คะแนนดี
ทำตัวเฉยๆ แต่คะแนนดี นี่ยังไง
ผมจำได้ตอน ป.1 ผมเล่นกับเพื่อนแล้วโต๊ะมันทับเท้าผม แล้วผมต้องใส่เฝือก เลยหยุดเรียนไปเดือนนึง กลับมาแม่งได้ที่หนึ่ง (หัวเราะ)
จำได้ไหม ได้ที่หนึ่งครั้งแรกเมื่อไหร่
อนุบาล ซวยเลย มันเลยกลายเป็นเด็กที่… จำได้ว่าตอน ป.สี่ มีโมเมนต์ที่นอนไม่หลับอยู่คืนหนึ่ง เพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันประกาศผลสอบ แล้วกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ที่หนึ่ง
พอมาต่อมัธยมที่สวนกุหลาบ ชีวิตเปลี่ยนไปไหม
เสือกเรียนเก่งอีก (หัวเราะ) ม.1 เกรดดี ม.2 เลยได้ไปเรียนห้องคิงส์ แต่จุดพลิกผันมันเกิดขึ้นที่ตรงนี้แหละ ผมอยู่ห้องคิงส์ ในห้องที่ทุกคนเป็นนักเรียนที่เก่งหมด แล้วมีเช้าวันหนึ่งที่ผมต้องส่งวิชา โลกของเรา เค้าให้ระบายสีทวีป ทวีปละสี แต่ผมเป็นคนชอบมาทำตอนเช้าไง ขี้เกียจ ผมก็ระบายๆ แล้วออดมันก็ดัง เพื่อจะให้ไปเข้าแถว ผมก็บอกเพื่อนคนที่รวบรวมสมุดการบ้านไปส่งครู “เฮ้ย รอก่อนเว้ย จะเสร็จแล้วๆ” มันเดินไปเลย ผมก็เลยวางสี…
“อ๋อ เรียนเก่งแล้วเป็นอย่างนี้ใช่มะ”
หลังจากนั้นผมก็ไม่เรียนหนังสือ เปลี่ยนโฟกัส สิ่งสำคัญไม่ใช่เรียนหนังสือแล้ว ผมก็เริ่มไปสนใจดนตรี
นักดนตรีดีกรีแชมป์โรงเรียน
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียน จะไปเล่นดนตรี”
วัยรุ่นน่าจะความสนใจหลากหลาย ทำไมถึงเลือกดนตรี
ผมชอบ อัสนี-วสันต์ ตอนนั้นผมเริ่มหันมาเล่นกีตาร์ แล้วก็อยากจะมีวงดนตรี เพราะผมอยากเล่นเพลง บ้าหอบฟาง เพลง เดือนเพ็ญ
จำได้ไหมว่า จริงจังกับดนตรีขนาดไหน
รอว่าเมื่อไหร่จะเลิกเรียน จะไปเล่นดนตรี แล้วที่หลังห้องเรียน จะมีกีต้าร์พิงไว้ พอหมดคาบก็หยิบมาเล่น เลิกเรียนเมื่อไหร่ก็จะรวมกลุ่มเพื่อนๆ นั่งตุ๊กตุ๊กไปห้องซ้อม เป้าหมายตอนนั้นคืออยากเป็นแชมป์โรงเรียน
จำได้ว่าผมเริ่มแข่งตอน ม.3 ตอนนั้นเป็นวง ม.ต้น วงเดียวที่ติดนะ เพราะว่าที่เหลือจะเป็นวง ม.ปลาย พอตอน ม.4 ก็แข่งแพ้วงพี่จ๋อง (พงศ์นรินทร์ อุลิศ เจ้าของ CAT Radio) พี่จ๋องเป็นนักร้องด้วยนะ หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ตอน ม.5 ผมถึงจะชนะ
ทำไมอยากเป็นแชมป์โรงเรียน
เพราะวงที่ชนะจะได้เป็นวงเฮดไลน์เล่นงานโรงเรียนทุกครั้ง ซึ่งสำหรับผม นี่คือสิ่งที่สนุกที่สุดของการมาโรงเรียน
หลังจากเปลี่ยนโฟกัสมาที่ดนตรี การเรียนเป็นยังไง
คือสุดท้ายนะ ผมจบ ม.6 ด้วยเกรด 0.8
เกรดเท่านี้ โรงเรียนให้จบ
จริงๆ ไม่จบหรอก ผมใช้วุฒิสอบเทียบตอน ม.5 เอาไปสอบเอ็นท์ฯ …ติดครุฯ อาร์ท จุฬาฯ
นักศึกษาครุฯ อาร์ท ที่พยายามหย่าขาดกับดนตรี
“ผมคิดว่า ผมไม่น่าจะมีอนาคตด้านดนตรี”
ตอนเรียนต่อมหา’ลัย ทำไมถึงเลือกเรียนด้านศิลปะ ไม่เรียนต่อด้านดนตรี
ผมคิดว่าผมไม่น่าจะมีอนาคตด้านดนตรี อันนี้พูดจริงๆ หมายความว่าดูหน้าตา รูปร่างแล้ว ไม่น่าจะมีที่ยืน ระหว่างที่เรียนครุฯ อาร์ต ผมลืมดนตรีไปเลยนะ ทั้งที่ผมรักดนตรีมาก เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะมีพื้นที่สำหรับเรา แล้วเราควรจะโฟกัสกับศิลปะที่จะไปประกอบอาชีพ
ที่ว่าลืมดนตรี นี่ลืมแค่ไหน
ลืมแบบ… (นิ่งคิดนาน) แต่เชื่อไหมว่ามันก็ลืมไม่ได้จริง เพราะว่าผมก็จะชอบเอากีต้าร์มาเล่นระหว่างพัก จนเวลาอาจารย์เดินผ่านคณะ เค้าจะเห็นผมนั่งเล่น ก็จะบอก “ธนชัย ทำไมเธอไม่ไปอยู่แผนกดนตรี ครูไม่เห็นเธอจับพู่กันเลย วันๆ เอาแต่เล่นกีต้าร์”
แล้วไปประกวดโค้กมิวสิคอวอร์ดได้ยังไง
ผมแค่ไปดูเพื่อนประกวดก่อนหน้า แล้วรู้สึกว่า “ทำไมมันต้องเป็นฟอร์แมตแบบนี้วะ” เล่นฟิวชั่นแจ๊ส ใส่เสื้อเหมือนกัน แต่คนละสี ผ้าก็เป็นผ้าต่วนมันๆ นักร้องแดง กีต้าร์เหลือง เบสเขียว แล้วเราก็กะว่าเดี๋ยวปีหน้า กูจะสมัครโดยเล่นเพลงที่หนวกหูที่สุด คิดในใจแค่นี้ ก็เลยไปตั้งโมเดิร์นด็อก
สุดท้ายโมเดิร์นด็อกก็ชนะเลิศ
ชนะที่สองหนึ่งคะแนน กรรมการบอกว่าอารมณ์มันถึง ไม่ได้เล่นเก่งกว่าเค้าเลยนะ วงที่สองคือวงแบล็คเฮดนี่แหละ แต่ไม่ใช่วงที่พี่ปูร้อง คือถ้าปิดม่านอาจจะแพ้ (หัวเราะ)
พอได้แชมป์ฯ ความคิดที่จะทิ้งดนตรีเปลี่ยนไปไหม
เปลี่ยนนะ กว่าจะชนะได้ เราต้องฝ่าฝันหลายรอบมาก ซึ่งมันใช้ความเพียรสูง เราก็เลยบอกเพื่อนว่า “เฮ้ย เราไม่ควรทิ้งวงไป” เพราะสมัยนั้น “ชนะแล้วไง?” ชนะแล้วคือได้ถ้วย จากนั้นก็แยกย้าย
ไม่มีค่ายมารอเซ็น
ไม่มี ไม่มีใครมาป้อน ไม่เหมือนฮอตเวฟหรืออะไรที่เค้าจะมีการส่งไปให้ค่ายดู เราก็เลยแบบ “เฮ้ย อยากทำเทปแล้วว่ะ”
ลมหายใจ เพลงแรกในชีวิต
“พี่ครับ ผมอยากทำงานด้วย”
วงโมเดิร์นด็อกคงจะจบอยู่ที่การประกวด ถ้าวันหนึ่งพี่ป๊อดไม่ได้ฟังเพลงแร็พของ TKO แร็พเปอร์วงแรกของประเทศไทย แล้วเปิดเจอบทสัมภาษณ์โปรดิวเซอร์ของวงนี้ในนิตยสาร ลลนา
โปรดิวเซอร์คนนั้นมีชื่อว่า สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์
“ผมบอกเพื่อนว่า กูว่าคนนี้เหมาะว่ะ” หลังจากนั้นพี่ป๊อดก็หาโอกาสไปดักรอที่หลังเวทีวง TKO เพื่อบอกกับพี่สุกี้ว่า “พี่ครับ ผมอยากทำงานด้วย” จนในที่สุดพี่สุกี้ตกลงไปดูพวกเขาซ้อม และรับเป็นโปรดิวเซอร์ให้
พี่ป๊อดย้อนทวนความทรงจำในวันที่โมเดิร์นด็อกตั้งไข่ “ในระหว่างนั้นพวกพี่เค้าแฮงค์เอาท์อยู่กับพี่บอย (บอย โกสิยพงษ์) พี่สมเกียรติ (สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์) แล้วก็พี่เอื้อง (สาลินี ปันยารชุน) เป็นบริษัทที่ยังไม่ใช่เบเกอรี่มิวสิคนะ แล้วพวกผมก็เข้าไปทำงานที่สตูดิโอนั้น อยู่ตรงสยามสแควร์ ตรงน้ำพุ เซ็นเตอร์พอยท์ ตรงข้ามกับ A&W นั่นทำให้ผมได้มีโอกาสแฮงเอาท์กับพี่บอย ได้มีโอกาสนั่งอยู่ตอนที่เค้าแต่งเพลงลมหายใจ…”
โดยไม่คาดฝัน จู่ๆ พี่สมเกียรติก็ชวนให้พี่ป๊อดร้องเพลงนี้
“เพลง ลมหายใจ ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตที่ผมออกอากาศ”
นี่คือเพลงแรกที่คนไทยได้ยินเสียงของธนชัย อุชชิน ซึ่งอีกไม่นานต่อมา ทุกคนจะรู้จักกันในชื่อ ‘ป๊อด โมเดิร์นด็อก’
เพลงที่ไม่ได้แต่งจากทฤษฎี
“บางครั้งมาจากความฝันด้วยซ้ำ”
หลังปล่อยอัลบั้มแรก เสริมสุขภาพ ในพ.ศ.2537 เพลง บุษบา ได้ทำให้โมเดิร์นด็อกโด่งดังเป็นพลุแตก จนคนทั้งประเทศรู้จักเขาในชื่อ “พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก”
พี่ป๊อดยอมรับตรงไปตรงมาว่า “เราไม่รู้ว่าที่แต่ง เราแต่งไปได้ยังไง” เขาจึงขอลาวงที่อยู่กันมาแปดเดือน บินไปนิวยอร์กเพื่อเรียนวิชาแต่งเพลง
ทุกครั้งที่ได้การบ้านกลับมา โดยต้องแต่งเพลงตามโจทย์ที่ครูให้ หลังพยายามอยู่หลายครั้ง พี่ป๊อดก็พบว่า “บางทีเราไม่ได้แต่งใหม่หรอก เราแค่เอาเพลงที่คอร์ดมันตรงกับที่ครูตั้งโจทย์มาแต่ง สุดท้ายเราก็แต่งด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่ได้ไปใช้วิชาเขาเลย เพราะว่ามันไม่หนุกเท่าไหร่”
แสดงว่าเพลงของโมเดิร์นด็อกที่คุณแต่ง ไม่ได้มาจากทฤษฎี 1-2-3-4
บางครั้งมาจากความฝันด้วยซ้ำ เพลง บางสิ่ง มันมาตอนที่ผมฝันอยู่ คือผมรู้แล้วล่ะ ผมจะพูดเรื่องคนเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งไหน ก็ตอนที่เสียมันไปแล้ว ผมรู้แล้วว่าแมสเสจนี้ แต่ผมไม่รู้จะขึ้นหัวเพลงยังไง จนมีอยู่วันหนึ่งผมหลับไป ผมมีเมโลดี้แล้วนะ มันอยู่ในหัวแล้ว อยู่ๆ มันก็ขึ้นมา…
“อย่าบอกว่าเธอเสียใจ ก่อนนี้ไม่เคยจะสนใจ จากเธอไปเมื่อไหร่ วันนั้น แล้วเธอจึงจะเข้าใจ”
ผมมีสมุดอยู่บนหัวเตียง ผมก็คว้า แล้วผมก็จดเลยในความมืด (วาดมือให้ดูในอากาศ) แล้วพอเช้ามา เฮ้ย เขียนอะไรไปบ้างวะ แล้วก็มานั่งแกะๆ สิ่งที่เขียนไว้ พอขึ้นรถเมล์ ก็นั่งแต่งไปเรื่อยๆ ในหัว พอถึงคณะที่จุฬาฯ ก็แต่งเสร็จพอดี
สรุปก็คือหาคำตอบไม่ได้ว่า แต่งเพลงได้ยังไงอยู่ดี
อื้อ… พอดีมือมันไปโดน (หัวเราะ) จริงๆ (เน้นเสียง) หลายๆ คอร์ดเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ เฮ้ย อันนี้เพราะดีว่ะ แต่เราไม่ได้รู้ว่าโครงนี้ควรจะต่อด้วยฟอร์แมตนี้ ไม่มี
หนักแล้วเบา
“จริงๆ แล้วไม่สำเร็จก็ได้”
หลายคนอาจไม่รู้ว่า อัลบั้มที่สาม Love Me Love My Life พี่ป๊อดตั้งใจแต่งเพลงให้ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเขาอยากจะลดขนาดของความสำเร็จให้เล็กลง
นักร้องกับชื่อเสียงน่าจะเป็นของคู่กัน ทำไมเขาถึงอยากดาวน์ไซส์ความสำเร็จตัวเอง?
“ผมจะได้เบา” พี่ป๊อดตอบ “ผมจะได้ไม่ต้องถูกโฟกัสมาก คนจะได้ลืมๆ ผมไป แต่ปรากฏว่าชุดนั้นคนดันชอบ”
คุณเคยบอกว่าชีวิตทุกวันนี้เบาขึ้น ทั้งๆ ที่ชื่อเสียงและขนาดความสำเร็จของโมเดิร์นด็อกก็ไม่ได้น้อยลง ทำไมถึงเบาขึ้น และก่อนหน้านั้นที่ว่าหนัก คุณแบกอะไรไว้
ความยึดติดความสำเร็จ (ตอบทันที) คือคิดว่าจะต้องสำเร็จ แต่จริงๆ แล้วมันไม่สำเร็จก็ได้ ณ ตอนนี้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว มันเป็นแค่จุดๆ หนึ่ง แต่ยังไม่ใช่จุดสุดท้าย ถ้าสมัยก่อนเอ็นท์ไม่ติดคือเรื่องใหญ่มาก จริงๆ เอ็นท์ไม่ติดมันเป็นแค่จุดเดียวเท่านั้นเอง บางทีเอ็นท์ไม่ติดแต่ว่าไปเรียนที่อื่น แล้วปรากฏว่ารุ่งขึ้นมา ก็กลายเป็นความสำเร็จ
“Success แล้วก็ Fail มันเป็นแค่จุดที่เราลากเส้นไปเท่านั้นเอง เราไม่ควรคิดว่านี่คือจุดสุดท้าย The end of the world”
แล้วอย่างความขบถล่ะ
ผมว่าผมเข้าใจมันมากขึ้นนะ สมัยที่ขบถคือเราเหมือนอยู่ในกรอบ แล้วเราอยากจะทลายกรอบออกไป แล้วสุดท้ายเราก็ไปติดอยู่ข้างนอก แล้วก็เข้ามาข้างในไม่ได้ เหมือนเราก็ไปติดอีกเขตหนึ่ง ผมก็เลยคิดว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่มีเขตเลยดีกว่า ไม่มีข้างในและไม่มีข้างนอก เพื่อที่เราจะเป็นเนื้อเดียวกับทุกพื้นที่ อยู่ข้างในก็มีความสุขได้ อยู่ข้างนอกก็มีความสุขได้
จุดที่ทำให้เบาขึ้นคือตอนไหน
เรื่องธรรมะมันเป็นกระบวนการที่ทำให้ผมเข้าใจสัจธรรมว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตอนนี้ผมกำลังค้นคว้าหาคำตอบอยู่ แล้วคำตอบพวกนี้ผมก็เอามาใช้กับการเขียนเพลง มันเหมือนกับเรากำลังเรียนรู้ชีวิตผ่านกระบวนการทำเพลง ผ่านกระบวนการเป็นนักร้องของคนนี้ (ชี้ตัวเอง) ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต
เรื่องใหญ่วันนี้คือ ตอนนี้
“รับผิดชอบแต่ละงานให้ดี”
เรื่องใหญ่ในวันนี้ของคุณคืออะไร
คำถามดี… (นิ่งคิดนาน) ไปทำงานให้ทัน รับผิดชอบแต่ละงานให้ดี เช่น มานั่งคุยตรงนี้ก็…ตั้งใจ ให้ความร่วมมือ เรียบง่ายมาก คืออยู่กับปัจจุบัน
ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่
เพราะว่าเรื่องข้างหน้าหรือเรื่องที่ผ่านมา มันไม่สำคัญเท่าวินาทีนี้ เราอาจจะมองว่า โห เรื่องนั้น แพลนอันนี้ มันใหญ่โต แต่จริงๆ แล้ว อันนี้สิของจริง โมเมนต์นี้ของจริง เราควรเทคแคร์โมเมนต์นี้ให้ดีที่สุด
แล้วความสุขในวันนี้ล่ะ คืออะไร
ความสุขของผมตอนนี้ คือนาทีนี้จริงๆ ณ นาทีนี้ วัดเป็นโมเมนต์เลย
สิ่งที่ยังคงอยู่และไม่เคยเปลี่ยน
“ผมเป็นคนชอบหาคำตอบ”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อย้อนมองกลับไปตั้งแต่วันที่เป็นเด็ก พี่ป๊อดบอกว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ “ความสนใจใคร่รู้ เป็นสิ่งที่ผมมีมาตลอด ผมเป็นคนชอบหาคำตอบ”
คงเป็นเพราะความใคร่รู้และชอบหาคำตอบนี่เองที่ทำให้แนวดนตรีของโมเดิร์นด็อกทุกอัลบั้มตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้แตกต่าง และบางครั้งถึงขั้นฉีกจากแนวทางเดิม
คำถามคือทำไมพี่ป๊อดถึงกล้าทำสิ่งใหม่ ซึ่งในด้านหนึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ?
“ผมว่าเราแค่ทำในสิ่งที่ใจเราคิด คือความสำเร็จมันอาจจะไม่ได้วัดด้วยปริมาณของความนิยมหรือยอดขาย แต่ว่าเรารู้กับใจเราว่ามันใช่ ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้ อันนี้สำคัญสุด
“คือถ้าเราทำตามความต้องการหรือคาดเดาความต้องการคนอื่น ปรากฏเค้าไม่ชอบขึ้นมานี่ เสร็จเลยนะ เค้าก็ไม่ชอบ เราเองก็ไม่ชอบ อย่างน้อยที่สุดเราต้องชอบในสิ่งที่เราทำ”
พอจะบอกได้ไหม คุณหาตัวเองเจอได้ยังไง
ผมคิดว่าคุณต้องลองนะ คุณลองไปเลย แล้วคุณจะได้รู้จริงๆ จากตัวคุณเอง
สิ่ง ‘ลึกซึ้ง’ ที่ไม่เคยบอก
“ผมเก็บเอาไว้ในใจได้ไหม”
พี่ป๊อดกำลังจะหวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นทางดนตรี พบเจอเพื่อนๆ ชั้นประถม และน้องๆ รุ่นใหม่ในคอนเสิร์ต Past Perfect
วันนั้นพี่ป๊อดบอกว่า อยากจะเล่นเพลงอัลบั้มแรกกับอัลบั้มที่สามเยอะเป็นพิเศษ “เพราะว่าผมจะชวนไอ้บ๊อบ (สมอัตถ์ บุณยะรัตเวช) ซึ่งเป็นเพื่อนประถมอีกคนหนึ่งของผม ผมเลขที่ 12, นภ (นภ พรชำนิ) 14, บ๊อบ 16 แล้วไอ้บ๊อบเนี่ยเป็นสมาชิกรุ่นออริจินัล (วงโมเดิร์นด็อก) ซึ่งบันทึกเสียงในชุดแรกกับชุดสาม ผมจะชวนเค้ามา”
ถ้าร้องเพลงโมเดิร์นด็อกได้หนึ่งเพลง คิดว่าเพลงไหนเหมาะกับช่วงเวลานั้น
“มานี” ครับ (ร้องเพลงให้ฟัง)
“มานี มีตา มีกา มานีดูกามานี มีอา มีนา ในนามีงู อีกา มาดู ดูปู ปูลงรูปูอีกา มาดู ดูงู งูลงรูงู …มานีดีใจ ได้ขึ้น ปอ.สี่”
ผมย้อนตัวเองกลับไปตอน ป.4 ที่เซนต์คาเบรียลในเพลงนี้ครับ (ยิ้ม)
บทสัมภาษณ์ควรจะจบลงที่ตรงนี้ ถ้าเพื่อนทีมงานที่มาด้วยกันไม่ยกมือถาม
คำถามของเขาดีทีเดียว และเป็นคำถามเดียวที่พี่ป๊อดขอไม่ตอบ…
อะไรคือสิ่งที่ไดร์ฟชีวิตหรือตัวตนจริงๆ ของป๊อด โมเดิร์นด็อก เพราะคนมักจะพูดว่า ชั้นได้รับพลังจากพี่ป๊อด พี่ป๊อดพลังเยอะมากบนเวที นั่นคือสิ่งที่คนอื่นได้รับ แต่ว่าสิ่งที่ไดร์ฟตัวพี่ป๊อดจริงๆ คืออะไร
ผมเก็บเอาไว้ในใจได้ไหม (ยิ้ม…แล้วระเบิดหัวเราะนานหลายอึดใจ) คุณตั้งคำถามดีมากเลย เป็นคำถามเดียวที่ถามก็พอแล้ว แต่ผมอยากจะเก็บมันไว้
เอ้า บอกใบ้เป็นเพลงก็ได้
ถ้าใบ้เป็นเพลงนะ เพลง ลึกซึ้ง ครับ (ร้องเพลงให้ฟัง…)
“แค่เพียงทำให้เราได้เข้าใจ สิ่งไหนภายในใจเธอและฉันนั้นค้นหา ก็แค่เท่านี้และสิ่งนี้ เพียงเท่านี้ เท่าที่ฉันมี เท่าที่ฉันนั้นต้องการ ก็แค่เท่านี้และสิ่งนี้ เพียงเท่านี้ แม้ว่ามันจะต้องผ่านทรมาน…”
คำตอบอยู่ในเพลงนี้
ใบ้แล้วนะครับ (ยิ้ม)
FACTBOX :
คอนเสิร์ต Past Perfect เป็นคอนเสิร์ตที่จัดโดยศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตั้งแต่ นภ พรชำนิ โมเดิร์นด็อก อดุลย์ ฟรายเดย์ & บอย-ตรัย และศิลปินชื่อดังอีกมากมาย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16 มีนาคม 2562 นี้ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบให้กองทุนศิษย์คิดถึงครูและกองทุนครูเกษียณ ร.ร. เซนต์คาเบรียล ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และซื้อบัตรได้ที่ http://www.thaiticketmajor.com/concert/past-perfect-concert-2019-th.html