pe©ple

แดดบ่ายกำลังฉาบกระจกหน้าร้านกาแฟและร้านหนังสือก็องดิดที่เชื่อมต่อกันเป็นเงา 

วันนี้เรามีนัดกับคุณ วีรพร นิติประภา ขอเรียกว่า “พี่แหม่ม” ก็แล้วกัน เพราะตอนนัดแนะกันผ่านเฟซบุ๊กเธอใช้สรรพนามนี้เรียกแทนตัวเอง

หลังจากเราเดินเข้ามานั่งรอข้างในได้สักพัก หญิงร่างเล็กในชุดดำสนิทก็ปรากฏตัว ยิ้มเป็นประกายแทรกผ่านลิปสติกสีแดงเข้มอย่างที่เคยเห็นบนอินเทอร์เน็ตตามคาด เราทักทายทำความรู้จักกันพอสมควร ก่อนเธอจะอนุญาตให้เข้าไปในโลกของเธอ

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเราพยายามเลี่ยงคำถามที่เกี่ยวกับหนังสือทั้งสองเล่มที่ได้ซีไรต์ เพราะเธอเองก็คงตอบเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เราอยากรู้และคิดว่าควรได้รู้ในวันนี้คือเนื้อหนังและความคิดของความเป็น ‘วีรพร นิติประภา’ ถูกสร้างมาได้อย่างไร?

อยากรู้มุมมองชีวิตของพี่แหม่ม เห็นว่าตอนเด็กๆ อยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง

(หัวเราะ) มันได้แต่งตัวสวยดี ได้ซอยเท้า หมุนตัว

________

เสียงหัวเราะถูกคั่นด้วยวาฟเฟิลกับกาแฟที่ถูกยกมาเสิร์ฟ พี่แหม่มบอกเราว่า “ขออนุญาตนะคะ นี่ข้าวกลางวัน” แล้วบรรยากาศการกินไปคุยไปหลังจากนั้นก็เหมือนผู้ใหญ่กับเด็กเจน Z ที่นัดกันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต  สลับกับเล่าเรื่องสัพเพเหระแก้เหงาในคาเฟ่เล็กๆ

________

ความพังก์นี่มาตอนไหน มีไอดอลไหมตอนนั้น

พี่ว่าบางคนเกิดมาก็เป็นลิเบอรัลเลยนะ เกิดมากวนส้นตีนน่ะ บอกซ้ายไปขวา คือนิสัยแบบนั้นอยู่แล้ว อยากเป็นนักร้องลูกทุ่งนั่นก็พังก์นะ เด็กดีๆ ที่ไหนจะอยากเป็น แต่มันก็น่ารักดี เต้นก็ไม่ยาก (ทำท่าเต้นให้ดู)

อีกช่วงคิดว่าเป็นตอนไปเรียนเมืองนอกที่ออสเตรเลีย ประมาณปี 1982 เธอยังไม่เกิดเลย ช่วงนั้นพังก์กำลังดี มีเด็กนั่งริมถนน แต่งตัวสวยงาม ผู้หญิงตัดผมสกินเฮด ผู้ชายใส่รองเท้าแหลมๆ เจาะตรงนั้นตรงนี้ ใส่เสื้อขาดๆ เออ มันน่ารักดีเว้ย ไม่กระแสอ่ะ แต่เราไม่มีปัญญาจะแต่งแบบนั้นนะ แพงมาก แต่งไม่เป็นด้วย

แล้วพออ่านหนังสือมันก็ลิเบอรัลอยู่แล้วแหละ เป็นเรื่องความคิดมากกว่า กลับมาเมืองไทยก็ยังไม่มีอะไรแบบนี้ พี่คิดว่าพี่อ่านหนังสือเยอะแล้วมันสอนคุณให้คิด มันจะไม่เหมือนคนอื่นเพราะคนอื่นมันไม่คิดไง มันทำตามๆ กัน ยิ่งยุคพี่คือเด็กทุกคนจะแต่งตัวเหมือนกันมาก คิดเหมือนๆ กัน แต่เรานี่อันไหนฮิตก็จะไม่ทำเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไม่ชอบอะ ไม่ได้เป็นคนประหลาดมากนะ แต่แค่รู้สึกว่ามันจะเหมือนกันหมดเลยหรอ มีช่วงหนึ่งที่ชอบใส่เสื้อสับปะรดกัน เราก็รู้สึกว่า เหี้ย สับปะรดหมดเลยหรอ ทำไมไม่มีส้ม คือก็ไม่ได้เวียร์ดมาก แต่ถ้าคนอื่นสับปะรดอีนี่ก็จะแตงโม แค่นั้นเอง

มันเกี่ยวกับการเลี้ยงดูหรือเปล่า คนอื่นในบ้านเป็นเหมือนเราไหม

พี่กับแม่ก็เวียร์ดตามประสานะ คือไม่ได้เป็นครอบครัวไทยทั่วไป แต่ละคนมีทิศทางของตัวเอง แม่บ่นว่าทำไมเธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่ตัวเองนี่นุ่งกระโปรงหนัง ใครทำอะไรแม่ก็ไปอีกทาง พี่เรียนศิลปากรก็ไปอีกทาง

ไม่เคยสังสัยหรือว่าตัวเองไม่เหมือนคนนู้นคนนี้

โห โคตรสิคะ คือเข้าขั้นรันทดว่าทำไมเราต่างจากคนอื่น ทำไมไม่ทำอะไรง่ายๆ ชีวิตมันง่ายกว่านะทำตามๆ เขาอะ คนก็จะบอกว่าไอ้แหม่มมันบ้าดี ตกลงมันบ้าหรือมันดีวะ ถามว่าสงสัยไหม ก็สงสัยเดียวดายตามประสา คิดว่าเกิดผิดที่ละมั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดที่ไหนถึงจะดี เลยช่างมัน อยู่ๆ ไป พอถึงสักยุค 90s ก็แต่งงาน มีลูก ทำหนังสือแฟชั่น ก็ไม่สงสัยอะไรละ โอเคละ เก๋โว้ย แต่ไอ้ตอนไม่รู้ว่าเก๋ก็งงๆ แหละ

พอขบถบ่อยๆ แล้วเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม คือคนรุ่นใหม่หลายคนก็คิดไม่เหมือนผู้ใหญ่ แต่อยู่ในจุดที่มีอำนาจไม่มากพอที่จะแสดงความคิดของตัวเองได้อย่างเต็มที่ หรือครอบครัวเวียร์ดเหมือนกันเลยไม่มีปัญหาอะไร

ไม่ๆๆ เราก็มีปัญหาเหมือนกัน เพียงแต่ว่า…(นึกนาน) เวลาคุณคิดไม่เหมือนคนอื่นมันจะกลายเป็นคุณไม่มีความสามารถอะ ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องสู้กลับกลายเป็นความรู้สึกว่า ‘กูแม่งไม่ไ้ด้เรื่องเลยว่ะ’ แต่ถามว่ามีอำนาจมากพอไหม ก็ไม่มีอำนาจอะไร ดื้อไปวันๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปวันๆ ไม่ค่อยรู้ว่ามันคืออะไร เหมือนสำรวจไปทีละอย่าง​ นั่นก็แปลก นี่ก็แปลก ทำไมแปลกหลายอย่างจัง ทำไมไม่ชอบคิดเหมือนชาวบ้าน แต่ก็ไม่รู้จะทำไง เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมี พอคบเพื่อนไปสักพักก็เบื่อ สุดท้ายก็โดดเดี่ยวตัวเองออกมา เหมือนคนรุ่นใหม่ทั่วๆ ไปที่แบบอินโทรเวิร์ตแดก นั่งอยู่บ้านงงๆ น่ะ

มีปัญหากับตัวเองบ้างไหม

มากกกก (เสียงสูง) เป็นเรื่องของการเติบโตเลยแหละ แต่…คนส่วนใหญ่ก็อย่างนั้นไหม คือพี่ไม่ค่อยซื้อตั้งแต่ไอเดียว่าคนทุกคนเหมือนกัน แล้วต้องเชื่อเหมือนกัน ไอ้พวกที่เชื่อเหมือนกันก็มีปัญหานะว่า เห้ย มึงเชื่ออย่างนั้นกันจริงๆ หรอ พอพี่ไม่เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างมาเหมือนกันหมด เราก็จัดการกับความที่เราเสือกไม่เหมือนใคร อยู่กับความรู้สึกว่าตัวเองบ้าก็ไม่เป็นไร

คือให้อภัยตัวเองได้

จัดการ (cope) ไม่ถึงกับให้อภัยแต่พยายามรอมชอมกับสิ่งนี้ สิ่งที่กลัวคือกูจะบ้ากว่านี้ไหม จะถึงขั้นหลุดโลกไหม ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ในความบ้าชนิดไหน ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้บ้าอะไรเลย ปกติกว่าคนอื่นด้วยซ้ำเมื่อถึงอายุ 40

เคยกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะเปลี่ยนไปไหม คือเป็นผู้ใหญ่แบบที่ตัวเองเคยเกลียด เช่น มนุษย์ป้าที่เราเคยด่า หรือจากลิเบอรัลก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นคอนเซอร์เวทีฟอะไรแบบนี้

ความภาคภูมิใจของพี่คือ ผ่านชีวิตมาเกินครึ่งศตวรรษโดยไม่มีพัฒนาการเลย (หัวเราะ)

เรียกว่ามั่นคงกับอุดมการณ์

ไม่ได้มั่นคงอะไร แต่มันเป็นอย่างนี้ ชอบไอเดียไหนก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ซื้อ พอคนเริ่มคิดเองได้ มันไม่ได้สำคัญว่าคุณจะเป็นแบบไหน หรือใครทำให้คุณเป็นแบบไหนแล้วไง ก็อยู่ไปแบบนี้แหละ

พี่ก็ยอมรับเด็กรุ่นใหม่เหมือนที่พี่ยอมรับตัวเองสมัยก่อน พี่เลยค่อนข้างจะเข้าใจว่าคุณก็มีปัญหาของคุณว่ะ อย่างคุณย้อมผมแปลกๆ เนี่ย มันก็ดีกว่าไม่ย้อมมั้ง ในทัศนะพี่นะ แต่คุณก็ต้องรับมือกับราคาที่คุณต้องจ่าย เวลาไปยืนป้ายรถเมล์คนก็อาจจะมอง แต่นั่นคือปัญหาของเขา ไม่ใช่ของคุณ ปัญหาของคุณคือ ก็ฉันชอบแบบนี้อะ เอาแค่นี้เลยนะ ไม่ต้องว่ามันเก๋หรือมีคุณค่าอะไร ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้น เอาแค่ฉันชอบเนี่ย ซึ่งเด็กไทยไม่เคยถูกสอนว่าชอบอะไรด้วยซ้ำ คุณว่ามันหายนะไหมวะ

อยากเรียนอะไรก็เรียน ชอบทำอะไรก็ทำไปสิ แล้วเขาจะให้ตัวเลือกอะไรคุณ…เป็นหมอสิ…เป็นวิศวะสิ มีอยู่สองอย่าง แล้วถ้าคุณสอบเข้าไม่ได้ คุณค่าของคุณถูกวัดโดยอะไร พ่อแม่ไม่เคยถามว่าลูกชอบอะไรด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่มันเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ชอบไอ้นี่ ก็ทำไอ้นี่ ทำไปก็ทำได้ดี ดีกว่าเริ่มต้นด้วยไม่ชอบแล้วเสือกต้องทำ ทำไปไม่ได้ดีก็น้อยเนื้อต่ำใจโชคชะตาอีก

เด็กรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้เรียนจบมาอยากทำอะไร หรือแม้แต่รุ่นก่อนก็เป็น เหมือนปัญหามันวนๆ อยู่แบบนี้

ก็พ่อแม่คุณไม่เคยถามไงว่าคุณชอบอะไร เขาบอกคุณทุกอย่าง คุณต้องฝันถึงอะไร ใช้ชีวิตแบบไหน แล้วในที่สุดพอเขาบอกคุณมากๆ คุณก็ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณเป็นใคร เขาก็จะบอกว่าเธอเป็นลูกฉัน เธอต้องแต่งตัวเรียบร้อย เรียนหนังสือดีๆ หาผัวรวยๆ แล้วถ้าเกิดมันไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ ใครรับผิดชอบ

คนมักจะถามพี่ว่าทำไมเลี้ยงลูกเก่ง พี่ไม่ได้เลี้ยงอะไรเลยค่ะ เขาเลือกของเขาเอง ถ้าเกิดเขาเลือกพลาดเขาก็รับผิดชอบไป ไม่ต้องมาด่าฉัน

แต่…ถ้าเขาเลือกพลาด เขาก็จะนั่งลงตรงนี้แล้วร้องไห้กับบ่าเรา แล้วเขาก็มีเรา แต่ถ้าพ่อแม่บังคับให้คุณเป็นสิ่งหนึ่งแล้วคุณเป็นไม่ได้ คุณก็ไม่เหลือใคร คุณจะไปร้องไห้กับเขาได้ไง บอกว่าหนูทำไม่ได้แล้วเขาจะเข้าใจไหม คุณก็จะแบกความรู้สึกผิด แล้วก็แบกช่องว่างระหว่างกันไป

สำหรับพี่คือมึงเลือกเองเลยค่ะ คือกูไม่มีความรู้ค่ะ เพราะฉะนั้นจงเลือก แล้วถ้าไม่เป็นตามนั้น มาซบบ่า แล้วเราก็ไปด้วยกันต่อ หาทางเป็นอย่างอื่นต่อ

เมื่อคุณเลือกสิ่งที่คุณชอบ คุณก็จะศรัทธากับสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่ว่าเช้าตื่นมาก็เจอเจ้านายส้นตีน แล้วก็แช่งชักหักกระดูกให้มันตาย พอมันตาย คุณจะได้เป็นเจ้านายส้นตีนคนต่อไป เป็นพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจชีวิตคนต่อไป แล้วก็ออกลูก คือเราผลิตซ้ำ เราเต็มไปด้วยสังคมที่คนไม่มีความสุขและไม่รู้ว่าชอบอะไร ไม่เข้าใจชีวิตและไม่เคยใช้ชีวิต

แล้วพี่แหม่มรู้ตัวเองว่าชอบอะไรตั้งแต่เมื่อไร

ชอบเป็นนักร้องลูกทุ่งก็ไม่ได้เป็น (ยิ้ม) พี่ไม่รู้ว่าพี่ชอบอะไร แต่พี่รู้ว่าพี่ไม่ชอบอะไร

คือมันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ในวาระหนึ่งคุณอาจจะอยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่โตมาเสียงก็เป็นอย่างนี้ จะร้องลูกทุ่งยังไงล่ะ อะก็ไปทำอย่างอื่น ทำแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยนใหม่ พี่เลยทำหลายอย่าง เพราะพี่ก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่รู้ว่าชอบอะไร ตัวเลือกของสังคมก็ไม่ได้มีให้เยอะ

พี่เคยคิดว่าอยากเป็นนักเขียนตอน 17-18 แล้วก็ไม่ชอบละ ไปทำอย่างอื่น แล้วก็กลับมาเขียนใหม่ตอน 22-23 แล้วก็ไม่ชอบ ไปทำอย่างอื่น แต่ดูเหมือนมันจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่พี่รู้สึกแฮปปี้เวลาทำ แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นอย่างที่ชอบ อันนี้ก็คือที่มาของตอนอายุ 40 กว่าที่เริ่มเขียนอีกครั้ง แล้วก็พบว่าสิ่งที่พลาดไปก็คือ กูไม่ใช่คนเรื่องสั้นค่ะ เป็นคนเรื่องยาว แต่ว่า ณ จุดนั้นของชีวิตก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ อะ ใครมันจะเริ่มต้นอายุ 22 ด้วยเรื่องยาว แต่ ณ จุดนี้ของเวลาพี่ก็รู้สึกว่าชอบงานนี้

แล้วชีวิตที่ผ่านมาต้องทำอะไรที่ไม่ชอบบ้างไหม

ตลอดเวลา (หัวเราะ) หาเลี้ยงชีพ แต่ว่าพี่ไม่มีอีโก้แบบคนอื่นที่ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ รู้สึกว่าเราทำแล้วได้เงินก็โอเค มีลูกต้องเลี้ยง มีชีวิตต้องใช้ ก็ทำไป ไม่ได้รู้สึกทรมานอะไรมาก เวลาที่ทรมานมากๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวก็ไปทำอย่างอื่นละ ถึงได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่เราก็โชคดีที่ทำงานได้หลายอย่าง

เคยสงสัยไหมว่าจริงๆ อยากเป็นอะไรกันแน่ มันมีความลังเลไหมว่าจะทำอะไรดี?

คือมันไม่มีทางรู้นอกจากเราต้องลงมือทำ ถ้าถามว่าชอบเป็นอะไรจริงๆ ก็ชอบเป็นแม่ เรื่องน่าเศร้าคือคุณไม่สามารถเป็นแม่ได้เรื่อยๆ คุณไม่สามารถเป็นแม่ในอายุ 50 ไข่ฝ่อไปทั้งรังแล้ว แต่ได้เป็นหนึ่งครั้งก็โอเค แล้วก็เลยไปเขียนหนังสือ ได้คุยกับเด็กรุ่นใหม่คนนั้นคนนี้ พี่ก็แฮปปี้กับบทบาทนี้เหมือนกัน

ถามว่าเราจะรู้จริงๆ หรอ แต่ก็ยังดีกว่ารู้ว่าไม่ชอบอะไรแล้วก็ยังต้องทำไอ้นั่นอะ แต่ประชากรของเราไม่ได้สอนเด็กแบบนี้ เราไม่ได้บอกว่าเรียนจบทำงาน ถ้าเริ่มรู้ว่าไม่ชอบก็ไปทำอย่างอื่น เราไม่เคยบอกอย่างนี้เลย เราจะบอกว่าถ้าไม่ชอบก็อดทน บากบั่นทำไป

ไปหาอย่างอื่นทำเถอะ ชีวิตมันสั้น อาจจะอยากไปลองเป็นนักร้องลูกทุ่งก็ได้ (หัวเราะ) เราสงสัยว่าทำไมคนไม่ลองทำหลายๆ อย่าง ชีวิตน้อยนิดที่เรามีเนี่ย มันไม่ได้เป็นชีวิตที่ยาวนานเลย พระเจ้าช่วย มันสั้นมาก เราควรจะลองเป็นซีเรียลคิลเลอร์ (ฆาตกรต่อเนื่อง) สักสองปี ช่างภาพปีหนึ่ง นักเขียนสองสามปี เปล่าวะ? ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างงานที่ดีเลิศ แต่แค่รู้ว่า เห้ย ชีวิตแบบนี้มันเป็นยังไง แต่เรากลับบอกว่า เรียนให้จบ แล้วสมัครงาน ทนๆ ทำงานไปเดี๋ยวก็ได้ผัวแล้ว พี่ว่าผัวก็ไม่ใช่คำตอบ ยิ่งสมัยใหม่นะ อาจจะเป็นคำถามอะ (หัวเราะ)

หรือว่าไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นก็ได้ อย่างสมัยนี้มันมี Friend with Benefits คือเป็นเพื่อนที่มีอะไรกัน พี่มองความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง

It’s complicated ใช่มะ

เรียกว่าไม่เอาใจลงไปเล่น แต่มีเซ็กส์กัน

พี่ว่าก็โอเคกว่าทินเดอร์นะ พี่ว่าทินเดอร์เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะเดียวดายมาก หลายๆ คนที่พี่เคยคุยก็พบว่าเขาไม่ชินกับวัฒนธรรมแบบนี้ มันก็ยากอยู่ ดังนั้นเมื่อคุณเป็นเพื่อนกัน มีความสัมพันธ์ทางกาย ก็โอเค หรือจริงๆ คุณคิดว่าเวลาคนแต่งงานกันเป็นผัวเมีย เขาต้องการอะไร? มิตรภาพ?

พี่อยู่กับผู้ชายคนหนึ่งมา 35 ปี เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน ถ้าแม่ไม่บอกให้แต่งงานก็ไม่แต่ง เราเลยอยู่บนพื้นฐานแปลกๆ อย่างเช่น ถ้าเกิดคุณเดทผู้ชายแล้วมันเมาหมามา คุณก็ด่ามัน ‘ตายไปสิ! อีเมาหัวราน้ำ!’ แต่ถ้าเป็นเพื่อนคุณจะทำไง ‘มาเดี๋ยวกูเช็ดอ้วกให้ ค่อยยังชั่วไหม อะนอนๆ’ นี่คือเพื่อน นั่นคือแฟน มันเหมือนว่าจริงๆ ความสัมพันธ์มันควรจะอยู่บนพื้นฐานของมิตรภาพนี่แหละ ส่วนเรื่องพิธีรีตองก็อีกเรื่องหนึ่ง

พี่เข้าใจว่าส่วนหนึ่งของการเริ่มพิธีกรรมแต่งงานมันขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของครอบครัวด้วย อย่างพอจะมีลูกคุณก็จดทะเบียนไว้ก่อนเพื่อที่ว่าลูกคุณจะได้มีพ่อแน่นอน มีคนช่วยกันรับผิดชอบ เลี้ยงดู เอาเข้าวงศ์ตระกูล คือมันเป็นเรื่องของคนอื่นด้วยประการทั้งปวง ส่วนเรื่องระหว่างคนสองคนก็คือมิตรภาพ จบ

แต่ว่าคนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยคิดจะมีลูก ซึ่งก็เป็นความผิดของคนรุ่นพี่ พี่เข้าใจว่าบางอย่างมันทำให้คนรุ่นคุณไม่มีศรัทธากับครอบครัว

พ่อแม่อยู่กันดีมะ ทะเลาะกันมะ (กระซิบถาม)

“ก็…”

________

เราตอบคำถามส่วนตัวที่ทำให้อ้ำอึ้งอึกอักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องที่คิดว่าพอหย่อนใจได้บ้าง 

(แต่คำตอบที่ได้ก็ยังแน่นปึ้กตามสไตล์)

________

เด็กรุ่นนี้ชอบโหยหากล้องฟิล์ม แฟชั่นในอดีตต่างๆ ที่เคยตายไป แล้วสมัยนั้นมีอะไรที่พี่แหม่มโหยหาหรือคิดว่าน่าอิจฉาบ้างไหม

พี่ว่าพี่ก็อิจฉาเด็กรุ่นใหม่ในบางอย่างที่เขามีนะ ในแต่ละเจเนอเรชันมันก็มีอะไรของตัวเอง คุณไม่ได้พลาดอะไรหรอก แล้วจริงๆ การเรียกร้อง 90s ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่ เพราะว่าสมัยนั้นมันเป็นยุคอินดี้จริงๆ มันอินดี้ในทุกแง่ ทั้งการตลาด ถ่ายภาพ นิยาย หนัง แฟชั่น เพลง

แต่ว่าเด็กรุ่นหลังจากนั้นกลับไม่เป็นแบบนั้นเว้ย ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกผลิตซ้ำตั้งแต่ปีสองพันขึ้นมา เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ง่ายดายมากที่คุณจะโหยหาความอินดิวิดวลของช่วงยุค 90s ซึ่งพี่ก็รออยู่นะ คิดว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะมีอะไรที่เป็นยุคสมัยของตัวเอง แต่ก็ยังไม่เห็น ก็เห็นกลับไปเป็นเด็ก 90s ที่เป็นแฟชั่น แต่มันก็เป็นช่วงปีที่ดีที่สุดของโลกครั้งสุดท้ายจริงๆ อะ คือหลังสองพันเฟลมากบอกตรงๆ ดีไซน์อะไรคุณก็จะเจอแบบนี้เต็มไปหมด (ชี้ไปที่ ‘ไอโฟน’ ของตัวเองบนโต๊ะ) คุณไม่เจออะไรที่น่าเกลียดเลย แต่คุณก็ไม่เจออะไรที่สวยแบบ เห้ย! สวยว่ะ! สมัยนี้มันก็ได้มาตรฐานอะ คิดดูแม้แต่ความงามยังมีมาตรฐาน เฮงซวยมาก

พี่แหม่มว่ามันเป็นเพราะอะไร

ทุนนิยม และการมีฐานการผลิตแบบเมืองจีน คือการแข่งขันสูง ราคาถูก ทุกคนสามารถจับจองเป็นเจ้าของมือถือได้ ซึ่งนึกถึงปี 90s อะไรหรูหรา (luxury) แบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์ ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์มีกล้องถ่ายรูป

สมัยนี้คุณก็ใช้ฟิล์ม แน่นอนว่าฟิล์มมันสวยกว่าดิจิทัลในแง่หนึ่ง คือไม่ได้หลงยุคนะ แต่ความรู้สึก (feel) มันสวยกว่า ดิจิทัลมันก็มีความแข็งของมัน มีอ่านค่าอะไรต่างๆ มันแห้งอะ พี่เข้าใจว่าเด็กรุ่นใหม่ต้องการอะไรที่…พูดไงดี ฮาร์ทตี้หรอ คืออะไรที่เป็นเรื่องของจิตใจหลังผ่านมา 20 ปีของยุคมิลเลนเนียล ซึ่งก็น่าเบื่อพอสมควร

แต่จริงๆ พี่ก็มองว่ามันผิวเผินนะ ถ้าคุณก๊อป 90s จริงคุณจะต้องก๊อปในลักษณะของการเป็นตัวของตัวเอง การขึ้นด้วยไอเดียของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นเพราะมันพึ่งพาระบบคิดแบบอนาล็อกด้วย คนรุ่นนี้ก็ไม่ได้เป็นคนอนาล็อกแล้ว เราไม่สามารถทำให้คนเกิดหลังปีสองพันเป็นอนาล็อกได้เลย ดังนั้นอินดิวิดวลของคุณก็จะไม่เหมือนปี 90s พี่คิดว่ามันจะเป็นอินดิวิดวลในลักษณะของกลุ่มมากกว่า อย่างเช่น เด็กดริปกาแฟ ฮิปสเตอร์สีพาสเทล ฮิปสเตอร์สีดำขาว กลุ่มอนุรักษ์วาฬ อนุรักษ์แหล่งน้ำ รณรงค์ไม่ใช้พลาสติก รณรงค์ใส่เสื้อมือสอง

ทุนนิยม ดิจิทัล อนาล็อกอะไรพวกนี้มันเกี่ยวพันกับความเป็นปัจเจกที่หายไปของเด็กยุคนี้ยังไง

คือมันก็ยังเป็นปัจเจกอยู่นะ แค่ไม่ได้ปัจเจกมากขนาดนั้น มันเป็นปัจเจกระดับไอเดียที่ขึ้นมาพร้อมๆ กัน เราจะมีเด็กแบบเกรตา* ที่ออกมารณรงค์โลกร้อน แต่เขาไม่ได้ออกมาคนเดียว ทันใดที่เขาออกมา ทั้งโลกตามไป ฮ่องกงเราไม่ต้องการไปอยู่กับจีน วันรุ่งขึ้นก็ลุกขึ้นทั้งเกาะ มันมีสิ่งนี้ขึ้นมา แต่ว่ามันต่างจากปัจเจกยุค 90s คือเด็กยุคนั้นมันคิดถึงแต่ตัวเอง มันอยากเจ๋งอะ อยากมีวงดนตรีของตัวเอง มีค่ายเทปของตัวเอง แล้วก็ไม่พึ่งกระแสหลัก เป็นการเกาะกลุ่มเพื่อตัวเองอยู่ ในขณะที่รุ่นหลังจากนั้นมันเหมือนๆ กันหมด จนมาถึงรุ่นนี้ที่อยู่ดีๆ ก็มีเด็กขึ้นมาเป็นกลุ่มๆ แต่พี่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะการกดทับของผู้ใหญ่ด้วยส่วนหนึ่ง หรือความคิดว่าเราต้องหมุนโลกนี้ไปพร้อมๆ กันอีกส่วนหนึ่ง คือมันไม่ได้คิดถึงตัวเองคนเดียว

*เกรตา ทุนเบิร์ก (Greta Thunberg) เด็กสาวชาวสวีเดนวัย 16 ขวบ ที่ออกมาเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจนทั่วโลกให้ความสนใจ

สมัยนี้บางทีเราอยากอินดี้นะ แต่สังคมมันไม่ค่อยเอื้อ คือมันก็เป็นเพราะทุนนิยมด้วย

ใช่ ยิ่งสังคมเราเรอะ? แทบจะไม่มีอะไรเลยจริงๆ แม้แต่ในยุค 90s เองเราก็มีพังก์เดินอยู่น้อยมาก แถมพังก์ยังเข้ามาสวัสดีด้วย พังก์ห่าไรไหว้ ยี๋ มาสวัสดี พังก์เปล่าวะ

แล้วพังก์จริงต้องทำยังไง

(แลบลิ้น ชูนิ้วกลาง)

มาสวัสดี บ้า น่าเกลียด หยาบคาย แล้วบ้านเมืองเราก็เสียอย่างคือเรากำกับเด็ก ยิ่งพ่อแม่มีสตางค์ก็ยิ่งห่วงลูก เชื่อว่าถ้าเราไม่ดูแลลูกเราดีๆ ลูกเราจะไปติดเฮโรอีน คือมันเชื่ออะไรตามๆ กัน แต่เด็กรุ่นใหม่ก็เลือกเอง รุ่นคุณไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ พระเจ้าก็รู้ เป็นเด็กคลีน ปั่นจักรยาน รักโลก

คือส่วนหนึ่งพี่มีศรัทธากับเด็กรุ่นใหม่เยอะมาก​ การรักโลกหรือปกป้องโลกมันไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้ แค่ไม่เบียดเบียนก็พอแล้ว เด็กรุ่นใหม่พิสุทธิ์มากค่ะ แค่เป็นมังสวิรัตินี่ก็เซฟเดอะเวิลด์ไปเท่าไรแล้ว คุณไม่เป็นปัญหาสังคม มีมิตรภาพกับเรื่องเพศอยู่ด้วยกัน เออก็ดีนี่ ทินเดอร์มันสำส่อนแล้วมันจะเป็นไร ทำไมอะ คือพี่ว่ามันไม่เคยเป็นปัญหาของคนรุ่นใหม่เลย ในช่วงอายุหนึ่งสัก 20-40 ทุกคนจะมีแนวโน้มที่จะถูกต้องกับโลกของเขา คนที่เป็นปัญหาคือพวก 40 ขึ้นไป เพราะทันทีที่คุณ 40 คุณก็จะเริ่มติดยุคสมัยของคุณ แล้วคุณก็เริ่มขวางทางเด็กรุ่นใหม่ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ รุ่นพี่ก็เป็น ตอนที่พี่อายุ 20-40 ก็ยังโอเคอยู่นะ หลังจากนั้นก็…เปลี่ยน…

แสดงว่ามันมีคนที่โตไปกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองเคยไม่ชอบ

ช่ายยย โห เยอะแยะ คือหลายคนตอนหนุ่มสาวก็ลิเบอรัลนะ แต่พอโตมาห้ามลูกหมด มันคนชนิดไหนวะ

นี่เป็นเรื่องที่พี่เข้าใจยาก พี่พบว่าเราเป็นสังคมที่ไม่สอนให้คนคิด เวลาคนเฮมันก็เฮตามกันไป เจเนอเรชันพี่ผ่านพฤษภาทมิฬ อย่าลืมเรื่องนี้ดิ ตอนนั้นคือปิดเมืองยิงอะ เละเทะกว่า 6 ตุลา 14 ตุลาอีก คุณก็รู้ว่าทหารทำอะไร แล้ววันนี้คุณสนับสนุนทหาร ตลก

พี่มองคนในวัยเดียวกันยังไง เซอร์ไพรส์ไหม

พี่เขียนนิยายก็เพราะเหตุนี้ พี่ไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้เลย คือมันเป็นวิกฤตวัยกลางคน (Midlife Crisis) ของพี่เลย ตอนที่มีคนถูกยิงกลางเมือง มีการล้อมปราบที่ราชประสงค์ พี่เข้าใจว่ามันมีคนตาย แต่พี่ไม่เข้าใจว่าเพื่อนพี่ที่เรารักมาตลอดชีวิต คนที่โตมากับเรา นั่งกรรมฐาน อุปการะหมาแมวจรจัด คนดีศรีชีวิตของเรา จะบอกว่ามันจำเป็นต้องยิงกบาลใครสักร้อยคน พี่เขียนนิยายเลยค่ะ

กลายเป็นไส้เดือนฯ (ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต) ?

ใช่ คือเราพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งนี้ อะไรทำให้คนปฏิเสธสามัญสำนึกของตัวเอง ถ้าคุณเข้ามาขโมยของบ้านพี่ พี่ยิงคุณ ตู้ม ก็ยังถือว่าเป็นเหตุอันควร แต่เรากำลังดีใจกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยในชีวิต ถูกยิงกบาลแบะอยู่ตรงนี้ รู้สึกโล่งอก สบายใจ เห้ย มันไม่ได้ดิ หรือแม้แต่คุณทักษิณ แม้แต่คุณกำนัน เกลียดกันสารพัดแต่เราก็ไม่เคยเจอเขาตัวเป็นๆ ว่ะ การเป็นมนุษย์หนึ่งคนคืออะไร คนที่ถูกยิงเขาอาจจะเป็นพี่น้องของเราก็ได้ เป็นเพื่อนของเราก็ได้ ไม่ใช่ของเราก็ของใครสักคน แน่นอนเขามีโยงใย มีครอบครัว มีชีวิตของเขา อืม เรื่องนี้มันผิดว่ะ

ขนาดคนที่โตมาด้วยกัน แก่มาด้วยกัน พี่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?

การทำงานของพี่ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาคือการหาคำตอบนี้ พี่เขียนเพื่อให้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไส้เดือนตาบอดฯ ก็มายาคติมั้ง แต่ถามว่ามายาคติมันพอที่จะทำให้คนละทิ้งความเป็นมนุษย์และสามัญสำนึกของตัวเอง ไม่พอ ก็ทำเรื่องสอง ประวัติศาสตร์ (หนังสือ พุทธศักราชอัสดงกับทรงจําของทรงจําของแมวกุหลาบดํา)

พี่ก็ไล่ไปทีละหัวข้อเพื่อเข้าใจสิ่งนี้ หรือจริงๆ แล้วเราต้องเริ่มใหม่ เราจะให้ใครลากเราไปอย่างนี้เรื่อยๆ หรอ สามัญสำนึกนี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ จริงๆ เราไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้เลย การที่เราวิวัฒนาการมาเป็นพันปีหมื่นปี ความเจริญทั้งหลายก็มาจากสามัญสำนึก แต่ว่าตอนนี้มันไม่เวิร์ค เราก็ต้องกลับมาตั้งคำถาม

พี่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเครียดเรื่องนี้มากเลยช่วงนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพี่เชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งพี่คิดผิด มันเกิดขึ้นที่นี่ และในหลายๆ ที่ด้วย แต่ดูสิฮ่องกงก็ยังไม่เกิด มันมีหลายที่ที่พัฒนามาสู่ความเจริญแล้ว ว่าเราจะไม่มีการฆ่าหมู่ใครโดยรัฐ คือโดยสามัญสำนึกมันไม่ได้อะ ดังนั้นในหลายๆ รัฐเขาก็จะมองว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันผิด แต่ของเรานี่…

ผ่านมาสองเล่มพอจะเห็นคำตอบไหมว่าสามัญสำนึกที่มนุษย์ควรมีมันหายไปได้ยังไง โดยเฉพาะกับคนรุ่นที่ผ่านชีวิตมาประมาณหนึ่ง

กลับไปที่เดิมไงคะ สังคมของเรามีเป้า คือต้องเป็นเด็กที่ดี เรียนในมหาลัยที่ดี จบมามีงานที่ดี มีสามีที่ดี และนั่นหมายความว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี คือมันผิวเผินขนาดนั้นเลย แล้วพอมันไม่เป็นอย่างนั้นเราก็จะบอกว่าอย่างน้อยคุณก็มีคุณธรรมนะ เข้าใจว่าการไม่สามารถรู้สึกถึงคุณค่าของอินดิวิดวลก็ผลักดันสิ่งนี้ด้วย รวมไปถึงสิ่งอื่นๆ สังคมสมัยใหม่ ความเดียวดาย ปัจจัยภายนอกที่คุณควบคุมไม่ได้ ประวัติศาสตร์ที่พี่เขียนในเล่มสอง สิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนผลักดันการสูญเสียสามัญสำนึกเหมือนกัน

นั่นหมายความว่าตอนที่คุณอายุ 40 คุณอาจจะรู้สึกอยากเป่านกหวีดขึ้นมาเพื่อที่จะรู้สึกมีคุณค่า เปล่าวะ?

พี่ไม่แน่ใจ พี่เป็นใครถึงจะตอบเรื่องนี้ได้ แต่พี่ก็ทำงานไป ไม่ได้คิดว่าเราจะสามารถหาคำตอบได้รวดเร็วนัก แต่พี่คิดว่าสิ่งที่สามารถดึงสามัญสำนักกลับมาได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดคือความหิว ความหวังของพี่คือ ในที่สุดแล้วถ้าเศรษฐกิจมันเป็นแบบนี้ ระบบมันจะพังได้ด้วยตัวมันเอง และรีบๆ พังไป แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นคือกูก็ตาย แล้วเศรษฐกิจก็พังเลย

ซึ่งเราก็หมิ่นเหม่ว่าจะเป็นแบบเวเนซุเอลาไหม แต่เขาก็ใช้เวลานานมากเหมือนกันกว่าจะเป็นเช่นนั้น เราอาจยังไม่ถึง แต่ถ้าระบบผูกขาดสามารถดันตัวเองไปสู่จุดนั้นได้ สักวันเราก็อาจจะเป็นแบบนั้น พี่หวังว่าเขาจะฉลาดพอที่จะเข้าใจว่ามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะไม่ข้าใจ แต่เราจะไม่กลับไปอยู่โหมดปี 53 แล้ว เพราะตอนนั้นมันทำได้เพราะปลุกคนได้สองฝั่ง แต่ถ้าคนลงถนนคราวนี้คือเป็นหนึ่งเลยค่ะ

แสดงว่ายังมีหวังใช่ไหม

มันมีหวังเสมอแหละ แต่คำถามคือเราต้องจ่ายด้วยอะไร ณ จุดนี้มันก็ไม่ง่าย เราเสือกเป็นประเทศที่มีปัญหา อยู่ในจุดที่ยากลำบาก

นี่เป็นจุดเปลี่ยนนะ พี่คาดว่าโลกจะจนลง วันชื่นคืนสุขระหว่างการเติบโต 20 ปีที่มีบิงซูกินเนี่ย มันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ชีวิตการเป็นอยู่อาจจะลำบากขึ้น แล้วสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครพูดถึงเลย ก็คือน้ำจะท่วมทุกปี แดดจะร้อนแบบนี้ทุกปี แล้วมันก็จะเข้าสู่วงจรผลผลิตทุกอย่างตกต่ำ มันมีอะไรหลายอย่างรออยู่ ซึ่งอีกไม่นานก็คงจะรู้ ถ้าถามว่าตอนนี้เรามีหวังไหม มี แต่เราจะก้าวไปสู่ปัญหาใหม่ๆ ปัญหาทรัพยากรที่ต้องใช้เงินเยอะๆ แล้วเราไม่มีเงินอยู่แล้วอะตอนนี้ เราอยู่จุดต่ำสุด มันก็ยาก

หรืออีกทางคือเป็นเมืองขึ้นจีน ซึ่งก็จะตลกไปอีกแบบเหมือนกัน คือมันจะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นแบบสมัยก่อน ประเทศเราจะเต็มไปด้วยโรงงานถ่านหิน ส่งไฟฟ้าให้จีน แล้วพื้นที่ที่เหลือก็อาจจะเป็นบ่อขยะ

ก็ไม่รู้จะออกมาในรูปแบบไหนเหมือนกัน

มองอนาคตมันดูสิ้นหวังมากเลย พี่คุยกับลูกหรือเด็กรุ่นใหม่ยังไง?

พี่หวังว่ามันจะมีโรคที่กลืนกินคนแก่ไป แล้วพวกคุณก็จะมีประชากรน้อยลงที่ต้องดูแล ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คือคนยุคพี่นี่ขี้เหล้าเมายา เดี๋ยวพวกมึงก็ต้องเป็นมะเร็งตายแล้ว ในขณะที่รุ่นนี้เขากินคลีนเว้ย เขาดริปกาแฟ ปั่นจักรยาน เล่นสเกต อาจจะเป็นมังสวิรัติด้วย ในแง่นี้โดยปัจจัยโอกาสรอดเขาก็มีเยอะ

เวลาพี่ปลอบเด็กรุ่นใหม่พี่ก็จะปลอบอย่างนี้แหละค่ะ เดี๋ยวกูก็ตายแล้ว ใจเย็นๆ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คนรุ่นพี่ก็เป็นโรคไต โรคตับ มะเร็ง โรคความเสื่อมของสังคมบริโภคนิยมอะ ก็หวังว่ามันจะเป็นตามนั้น คือหายหมด แล้วประชากรมันก็จะลด ลดมากด้วย แต่ดูสิเรายังสร้างคอนโดกันอยู่เลย ทั้งๆ ที่อัตราการเกิดเป็นเส้นดิ่งเงี้ย ทำทำไม เราไม่ได้คลาดแคลนที่อยู่เลย

อีกนัยหนึ่งที่พี่พูดก็คือโลกมีวิธีจัดการ เยียวยากอบกู้ตัวเอง เราอาจจะต้องเจอกับน้ำท่วมโลก ก็ไม่เป็นไร มันจะมีคนรอดเสมอ ก็สร้างโลกใหม่ มันไม่มีทางอื่น

จริงๆ โลกเพิ่งจะผุพังในยุคของบูมเมอร์นี่เองนะ ตอนราวๆ 80s เขาก็เริ่มพูดกันแล้วว่าเราไม่สามารถใช้สภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ แต่นั่นแหละเวลาก็ผ่านไป ก็ยังอยู่กันอย่างนี้ พี่มองว่ามันเป็นความเลวทรามของเจเนอเรชันชนิดหนึ่งเหมือนกัน คือเราสร้างกระแสแฟชั่นในรูปแบบต่างๆ ผลิตเสื้อผ้า 100 ตัว เพื่อขาย​ 40 ตัว แล้วเผาทิ้งอีก 60 ตัว เราผลิตอาหารกระป๋องที่เหลือทิ้งเกินครึ่งในแต่ละปี ระหว่างการผลิตก็มีฟาร์ม แล้วเราก็กินวัวแค่ครึ่งเดียวของที่เลี้ยงมา อะไรอย่างนี้นึกออกไหม สังคมบริโภคนิยมคือสังคมที่สิ้นเปลืองมาก การทำลายโลกเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ โดยที่เป็นผลประโยชน์ของคนไม่ถึง 10% ของโลกทั้งใบ และผลกระทบตกอยู่กับคน 90% ของโลกทั้งใบ คือวิธีคิดมันผิดอะ

ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว บอกแล้วว่าเด็กรุ่นนี้อะแจ๋ว ฮิปสเตอร์ไม่ใช้ของแบรนด์เว้ย ดังนั้นอีก 5-10 ปีแบรนด์ก็จะเจ๊งหมด ห้างก็จะเจ๊ง เพราะสั่งออนไลน์กัน คนที่หน้าตาเหมือนๆ กันก็จะเริ่มหายไป คือมันจัดการตัวมันเองอะ ตอนนี้เมืองนอกก็เจ๊งหมดแล้ว มีเมืองไทยเนี่ย แต่เดี๋ยวก็จะเจ๊ง มันไม่ไหวแล้ว

พี่แหม่มมีปัญหาเวลาคุยกับคนรุ่นเดียวกันไหม

มี๊ ฉันไม่คุยอะ

ก็เลยเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้มากกว่าใช่ไหม

(ยิ้ม) ใช่ ก็ดูพ่อแม่เธอเขาพูดแบบนี้ไหม เขาบริโภคนิยมอะ วันนี้มีเงินก็ไปซื้อเสื้อมาเต็มตู้ คนเราต้องมีเสื้อกี่ตัว ต้องมีบ้านกี่หลัง เดี๋ยวนี้เขาเช่ากันหมดเมืองนอกน่ะ คุณให้เราซื้อบ้านหนึ่งล้านบาทในราคาสองล้านห้าแล้วเรียกมันว่าความมั่นคง บ้าเปล่าประเทศนี้ ที่หนึ่งล้าน ซื้อสองล้านห้า ล้านห้าเป็นของธนาคาร ซื้อแล้วจะออกจากงานก็ไม่ได้ ต้องทนเจ้านายงี่เง่า ซื้อจักรยานคันละแสนก็ไม่ได้ ย้ายที่ทำงานยังไม่ได้เลยเพราะติดผ่อน รถจะติดน้ำจะท่วมอะไรก็แล้วแต่ ได้ผัวใหม่ก็ต้องอยู่ที่เก่า และทั้งหมดนี้เพื่อธนาคาร บ้าเปล่าวะ

มันไม่เป็นของคุณจนกระทั่งคุณผ่อนหมดเมื่ออายุ 60 เสร็จแล้วยังไง ‘ลูก…บ้านจะพังนะ แกไปกู้มาซ่อมบ้านนะ’ อื้ม…อะไรมันผิดๆ อยู่

เห็นพี่ชอบบอกว่าคาดหวังให้ลูกไม่เป็นตามกรอบสังคม คิดว่าลูกจะต้องติดยาอะไรแบบนี้…

ก็นั่นแหละตามกรอบสังคม! สังคมมันคิดว่าเด็กทุกคนจะต้องติดยา! ติดหญิง! เสียสติ! ไร้อนาคต! นั่นคือสิ่งที่สังคมบอกพ่อแม่คุณต่างหาก นั่นน่ะตามกรอบ

พี่โตมากับยุค 90s พี่รู้จักเด็กหลายคนที่ติดเฮโรอีน และพี่ไม่คิดว่าเราสามารถปกป้องเด็กทุกคนได้จากสิ่งนี้ แต่พี่ก็ไม่พบว่าติดแล้วมันจะเป็นอะไรนี่ ติดก็ไปเลิกสิ เขาก็มีที่ให้เลิกไม่ใช่หรอ ทำไมพ่อแม่คุณถึงอาละวาดว่าติดยาเสียอนาคต เสียอะไรล่ะก็พาไปเลิกสิ เริ่มต้นใหม่ กลับไปเรียน หลายๆ คนที่พี่รู้จักก็ใช้ยา ทุกวันนี้เป็นพ่อแม่คน ก็โอเคดี ชีวิตมันเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แล้วคุณจะไปขู่ลูกคุณทำไม

อีกเรื่องคือห้ามท้อง แล้วคุณก็ไม่ให้อุปกรณ์คุมกำเนิดเขา คุณไม่สอนให้เขามีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องและดีงาม แล้วคุณก็ขู่ว่าอย่าท้องนะ เพราะเดี๋ยวโรงเรียนจะให้ออก เรียนต่อไม่ได้ เสียอนาคต นี่มันประเทศอะไรวะ แต่พอวันหนึ่งคุณอายุ 25 พ่อแม่คุณก็จะถามว่ามีแฟนยัง เมื่อไรจะมีแฟน โอ้โห ตลอดชีวิตกูกลัวจะตายห่าแล้วผู้ชายเนี่ย กลัวท้องอะ ผู้ชายเดินมานี่ข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้ว เขาเป็นสัตว์ที่คิดแต่จะล่อคุณ เลวทรามต่ำช้า เซ็กส์เป็นเรื่องสกปรกต่ำทราม

ทำไมอะ กะอีแค่ถุงยาง ยัดใส่มือมัน สนุกกันให้พอแก เอ้อ แล้วเรียนหนังสือด้วยนะ อาจจะอยากเรียนมากขึ้นก็ได้ อาจจะประสบความสำเร็จ ประเทศอื่นคนเขาประสบความสำเร็จเยอะแยะ มีประเทศนี้แหละค่ะไม่มีใครประสบความสำเร็จเลยเพราะไม่เคยใช้ชีวิต นี่ไม่ได้เข้าข้างเด็กนะ

แล้วตอนพี่แหม่มมีลูกเคยกลัวไหมว่าเขาจะโตมาเจออะไรเละๆ เทะๆ แบบนี้

มีอะไรเละเทะ?

ก็ที่พูดมาทั้งหมด ทุนนิยม และอื่นๆ

ตอนนั้นทุนนิยมยังไม่แย่ขนาดนี้นะ แต่ปัญหาที่พ่อแม่จะกลัวก็คือ ยา ติดหญิง

ติดหญิงก็ขอให้มันติดกันตลอดชีวิตอะ ถ้ามันเจอคนที่มันอยู่ด้วยกันได้ตลอดชีวิตก็ดีนี่ โอเค ติดหญิงติดไป ติดยาก็ไปเลิกอย่างที่ว่า เรียนไม่จบก็กลับไปเรียน ไอเดียที่ว่าเรียนไม่จบแล้วจะเป็นคนเลวทรามนี่มันมาจากไหน พี่เบื่อความคิดแบบนี้มาก เรียนไม่จบวันนี้ก็จบวันหน้า ฉะนั้นพี่ไม่มีความกลัวอะไร ลูกจะเรียนตอนไหนก็ได้ที่เขาพร้อมจะเรียน จะเรียนอะไรก็ได้ที่เขาอยากเรียน จะเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น ซีเรียลคิลเลอร์หรอ ก็น่าจะสนุกดีนะ หรือว่าเป็นอะไร ที่เรากลัวอะ

เออมันมีอาชีพอะไรหรือคนชนิดไหนไหมที่มันแก้ไขไม่ได้ พี่ไม่มีความคิดอย่างนี้ตั้งแต่ต้นไง พี่ไม่ได้ปล่อยลูก แต่พี่แค่ไม่กลัวแค่นั้นเอง

ไม่กลัวอะไรเลยเหรอ เห็นเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ทุกการกระทำของมนุษย์ถูกผลักดันมาจากความกลัวและความทุกข์ มากกว่าความสุข” แล้วการกระทำของพี่แหม่มถูกผลักดันจากความกลัวหรือความทุกข์อะไร

ฉันคงกลัวความพิลึกของผู้คนบนโลกนี้ละมั้ง กลัวความคิดแบบที่ชีวิตไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เนี่ย แม่งดูถูกมนุษย์มากเลยนะ คุณดูถูกลูกๆ คุณมากว่าเขาจะเติบโตมาแล้วนู่นพังนี่พัง ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ คือน่าจะเกิดจากการดูถูกตัวเองเปล่าวะ คุณคิดว่าคุณดูแลเขาไม่ได้?

แล้วก็กลับไปที่รัฐสวัสดิการ พูดแล้วยาว ถ้าที่นี่มีรัฐสวัสดิการ เด็กผู้หญิงหนึ่งคนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ เผลอท้องก็ออกมาเลี้ยงลูกสองสามปี แล้วก็กลับไปเรียนต่อได้เพราะรัฐคอยดูแล พ่อแม่ก็ไม่ต้องยุ่งกับลูกเพราะเมื่อลูกเรียนจบแล้วยังไม่ได้งาน รัฐก็จ่าย เมื่อคุณแก่ก็ไม่ต้องรอลูกมาเลี้ยงคุณ รัฐจ่าย เห็นไหมทั้งหมดเป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้นเลย แล้วในที่สุดก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้แหละค่ะ คือท้องไม่ได้ ต้องเรียนให้จบ กลับมาเรียนใหม่ก็ไม่ได้เพราะรัฐไม่จ่าย พ่อแม่ก็ต้องเลี้ยงดูนานขึ้น อยู่บนความไม่มั่นคง ความหวาดกลัว ปะ?

จริงๆ ประเทศอื่นมันไม่ได้เป็นคนดีกว่าเรา แต่มันมองเห็นว่าประเทศจะพัฒนาไปได้ด้วยประชากรที่มีคุณภาพ ได้รับการศึกษาถ้วนทั่ว คิดเป็น ทำผมทรงอะไรก็ได้ รู้จักความรัก รู้จักกามารมณ์ รู้จักเป็นพ่อแม่ รู้จักเป็นลูก รู้จักเป็นคน แค่นั้นเอง ของเราไม่ได้เป็นคนเลยค่ะ

ทุกวันนี้เห็นพี่แหม่มแอคทีฟในเฟซบุ๊กมาก พี่ใช้ติดตามหรือทำอะไรบ้าง

พี่ใช้แบบส่วนตัวด้วยนะ ไม่ได้เป็นเพจ เอาไว้ส่องเฟซคนนู้นคนนี้แหละว่าใครทำอะไร

อีกประเด็นหนึ่ง พี่สนใจการเสนอวิธีคิดบางแบบที่ไม่เป็นกระแสนิยม คุณเคยคิดบ้างไหมว่าการที่มีลูกเป็นเด็กดีอย่างที่คุณอยากได้มันก็แค่เสิร์ฟอีโก้คุณแค่นั้นแหละ

เวลาเด็กมีเพศสัมพันธ์กัน มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีนี่ ระบบคิดอะไรแบบนี้พี่ก็แก้ไขไปเรื่อยๆ ก็มีคนให้ความสนใจฟอลโลว์พี่อยู่ พี่ทำตรงนี้เพราะคิดว่าเราไม่เคยถูกทำให้รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีวิธีคิดแบบอื่นอีก เราอยู่กันแย่ขนาดนั้นอะ คิดว่ามันมีวิธีคิดแบบเดียว เธอต้องบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน เชื่อได้หรอ แค่นั้นก็ผิดแล้ว แล้วก็เสือกเชื่อ เสือกคาดคั้น รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เป็นแบบนั้นก็เสือกหลอกตัวเองอีก คือพวกมึงเป็นอะไรกัน เราถูกส่งต่อค่านิยมผิดๆ ทั้งๆ ที่มันคือชีวิตของคุณนะเว้ย สิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่คุณมีอะ ดังนั้นพี่ก็ทำอย่างนี้แหละ

อีกสิ่งหนึ่งพี่ว่าหนังช่วยให้คนเติบโตทางความคิดได้รวดเร็ว อย่างน้อยสุดคือคุณจะรู้ว่าคุณไม่ได้บ้าอยู่คนเดียว มันมีคนบ้า คนบ้า คนบ้า คุณไม่ได้เศร้าอยู่คนเดียว มันมีคนเศร้า คนเศร้า คนเศร้า หนังที่พี่แนะนำมักจะเป็นหนังฝรั่ง แล้วพี่หวังว่าถ้าคนไทยดูเขาจะรู้ว่าโลกอยู่กันยังไง เด็กฝรั่งเอากันตูมตามๆ ก็สบายดีนี่ คือเรามีปัญหาค่ะ เราคิดว่าประเทศนี้มันเป็นจักรวาลอะ บ้า มึงเป็นพวกเวียร์ดว่ะ (หัวเราะ) มึงอยู่ในโลกประหลาด ยังไม่รู้ตัวอีก

ชอบดูหนังแบบนี้คิดอยากทำหนังไหม?

ไม่คิดค่ะ ลำพังทำนิยายกว่าจะจบสักเรื่องก็สามปี แล้วมันก็มีมายาคตินะ ว่าได้รางวัลแสดงว่าเขียนหนังสือดี อะ มึงก็เขียนต่อไป (หัวเราะ)

แต่ไม่แน่ถ้ามีตังค์ มีคนให้ทำก็อยากทำนะ หนังเป็นแอเรียที่ไม่เคยทำ แล้วก็แพงกว่าแอเรียอื่น ดูเหมือนจะแพงสุดในบรรดามีเดียแล้วมั้ง หรืออาจจะทำละครเวที ก็อยากทำหลายอย่างนะ

________

พูดจบคุณวีรพรก็ขอพักสักนิดหนึ่ง หลังเวลาผ่านมาราวชั่วโมงครึ่ง เราเองก็ขอออกไปบิดเนื้อบิดตัวด้วยเหมือนกัน

ข้างนอกนั้นยังมีบทสนทนาอีกหน่อย ร้อยเรียงเรื่องเรียนต่อต่างๆ นานาของลูกชาย บางห้วงของสนทนาก็จุดประกายให้เริ่มมีไฟอยากไปเรียนต่ออีกครั้ง หลังจากที่ล้มเลิกความคิดนี้ไปนานเนื่องจากอยากรีบๆ เรียนจบแล้วทำงาน  ‘เหมือนคนอื่นเขา’ 

________

แล้วเก้าอี้ตัวเดิมก็ถูกจับจองอีกครั้ง คราวนี้คุณวีรพรนั่งลงแล้วเปิดประเด็นโดยไม่รอคำถามใด…

ที่พี่เชื่อมั่นจริงๆ ในเด็กรุ่นใหม่เพราะพี่พบว่าทุกคนเป็นผลิตผลของคนรุ่นก่อน หมายความว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เจเนอเรชันใหม่จะกินคลีน เพราะมันเบื่อพ่อแม่ที่ตับไตพัง รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและความยุ่งยากของมัน คุณเลยเริ่มด้วยการกินคลีน ปั่นจักรยาน ดูแลสุขภาพตัวเอง มันก็แก้ไขความผิดพลาดที่เห็นของเจเนอเรชันก่อนหน้าในตัวของมันเองอยู่แล้ว

แสดงว่าความพังที่ผ่านมาก็มีคุณค่าอะไรบางอย่างที่สอนคนรุ่นใหม่เหมือนกัน

ใช่ๆๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกรตาจะลุกขึ้นมา เขาเห็น แล้วเขาก็เข้มแข็ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันคือคนรุ่นก่อนหน้าเสือกอายุยืนขึ้น ความจริงเราน่าจะตายกันสัก 50-60 อะไรทำนองนั้น ก็เสือกอยู่กันไงคะ แล้วก็เหลือความทะนงตนว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นนะ อาบไปสิน้ำร้อนอะ ตอนนี้เขาใช้คอมพิวเตอร์กัน มีมือถืออยู่อันหนึ่งก็สวัสดีจันทร์-พุธ-ศุกร์ แล้วก็คิดว่ากูใช้เทคโนโลยี

เราอยู่ในกล่องอะไรเราก็จะเป็นรูปไอ้นั่นอะ โลกมันไม่สามารถถูกผูกขาดได้แล้วโดยระบบ นั่นหมายความว่าคนที่เกิดตั้งแต่สองพันขึ้นมา เขาเกิดมาพร้อมกับสิ่งนี้ โตมาพร้อมระบบ วิธีคิดก็จะมีระบบ ถัดไปมันก็จะเป็นระบบหมด เด็กมันก็จะลุกฮือกันเป็นแนวระนาบเหมือนฮ่องกง ซึ่งแน่นอนมันเป็นปัญหาที่คนรุ่นพี่หรือก่อนหน้าพี่จัดการ (deal) ไม่ได้ จะยอมหรือจะไม่ยอมมันก็เข้าสู่ยุคของมันอะ ถ้าถามว่าทำไมพี่ปล่อยเด็ก เพราะพี่มีความหวังกับเด็ก โลกเป็นของพวกคุณ

พี่อัพเดตตัวเองยังไง

พี่ให้คนรุ่นใหม่จัดการ พี่ก็แค่ทำอะไรทำด้วย เพราะพี่เชื่อมั่นว่าคุณจัดการได้ แล้วมันก็กลับไปที่พี่ไม่มีความกลัวอะ พี่ไม่กลัวว่าถ้าประเทศไทยไร้ผู้นำคุณธรรมมันจะเป็นยังไง เพราะเดี๋ยวก็มีคนออกมา พี่แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

อย่างเก่งพี่ก็อยู่ได้อีกแค่ 20 ปี แต่ 10 ปีหลังคงอยู่แบบไร้ค่าแล้ว ร่างกายไม่ฟังก์ชันแล้วล่ะ พี่ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องห่วง คุณจะอยู่บนโลกในแบบที่คุณอยากอยู่ แน่นอนคุณก็ต้องจัดการกับปัญหาของเจเนอเรชันคุณเหมือนกัน โลกมันก็หมุนไปอย่างนี้ตลอดแหละ แต่ที่พี่ไม่ค่อยเข้าใจคือเบบี้บูมเมอร์ เป็นเจเนอเรชันที่เข้าใจยากเนื่องจากเขาเกิดหลังสงคราม เขาไม่รู้จักโลก แล้วก็ได้รับอานิสงส์จากเทคโนโลยีก้าวกระโดด อย่างไรก็แล้วแต่โลกก็ยังมีธรรมชาติ สมัยพี่เด็กๆ หาดทรายก็ยังสวยดี ขยะก็ยังไม่ล้น เราไม่ได้มีข้าวของเยอะแยะ ไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นเกาหลีอะไร เราใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้รู้สึกขาดแคลนอะไร แล้วเราก็มีระบบอุตสาหกรรม มีเงิน มีตลาดหุ้น มีทุกอย่างในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเจเนอเรชันที่สบายที่สุดก็คือเบบี้บูมเมอร์นี่แหละ คือใช้ทุกอย่างของโลก แล้วก็กลายเป็นคนแก่ที่งี่เง่าที่สุด ไม่ใช่แค่ประเทศเราที่เดียว แต่ทั้งโลก บูมเมอร์ทั้งนั้น การผูกขาด การลิดรอนเด็กรุ่นใหม่ คำถามของพี่คือ มึงเป็นอะไรมากเปล่าวะ

พี่แหม่มพูดถึงความตายบ่อยมากทั้งในหนังสือและชีวิตจริง อยากรู้ว่าพี่แหม่มมองความตายยังไง เชื่อเรื่องโลกหลังความตายไหม

ม่ายย (ส่ายหัวทันที)

คิดว่าตายแล้วไปไหน

ตายแล้วก็…ไปเชิงตะกอน..กอน..กอน..กอน…มั้ง ไม่รู้สิ แต่คิดว่า (นึก) ส่วนตัวนะ ถ้ามันมีโลกหลังความตายมันก็ไม่ใช่โลกหลังความตายที่เรารู้จัก คือฉันคงไม่ได้เป็นผีมาเดินไปเดินมา คงจะมีอะไรทำอะ หรือถ้าไม่มีอะไรทำมันก็ไม่น่าจะมีอยู่ มันไม่น่าจะเป็นกากของสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ ไม่งั้นก็กลับมาเดินกันให้ว่อนแล้วใช่ไหม ในบางครั้งเราจุดธูปจุดเทียนขอหวยก็ไม่มา ปล่อยเราเดียวดาย (หัวเราะ)

แต่ว่าความตายมันก็…พี่มองมันธรรมดามากนะ พี่ว่าปัญหาหนึ่งของโลกสมัยใหม่เกี่ยวเนื่องกับการไม่รู้จักความตาย หรือการคิดถึงความตายน้อยเกินไป เรามียา อายุยืน คิดว่าจะอยู่ฟอร์เอเวอร์ มันไม่เกิดขึ้นในเจเนอเรชันก่อนหน้านะ มันเกิดขึ้นกับบูมเมอร์ บูมเมอร์เกาะยึดชีวิตไว้มากเกินไปหรือเปล่า ในยุคสมัยแม่พี่ เขาตายแล้วก็ตั้งศพในบ้าน คือใกล้ชิดกับความตายมาก เดี๋ยวใครเป็นอะไรก็ตายแล้วเพราะว่าการแพทย์มันไม่ได้แข็งแร็ง คนเป็นหวัดก็ตาย ความตายเกิดขึ้นซ้ำซากรอบๆ ตัวเรา จนเราแทบจะไม่ตระหนกอะ แต่ตอนนี้ใครตายเราตระหนกนะ เราแปะเฟซบุ๊กนะ เราไม่คุ้นชินกับความตาย ถ้าเราสำรวจความตายมากขึ้นเราก็จะพบว่ามันเปิดทางให้เจเนอเรชันต่อไป ให้คนรุ่นใหม่ดูแลสิ่งที่เขาจะอยู่ต่อไป อย่างน้อยๆ ถ้าเธอคิดจะทำอะไรเธอก็ต้องรับผิดชอบ เพราะมันเป็นโลกที่เธอต้องอยู่ นี่คนรุ่นเก่าคิดอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูก็ตายแล้ว บ้าๆ บอๆ แค่ไหนก็ไม่ต้องมารับผิดชอบ แค่นี้ก็แย่แล้ว

พี่แหม่มยึดเหนี่ยวอะไร หลายคนยึดศาสนา ความเชื่อ

(นึกนาน) เอาเข้าจริงๆ มันต้องมีไหม

ก่อนอื่นคือพี่ไม่มีความกล้าที่จะฆ่าตัวตาย ดังนั้นพี่ก็ยึดเหนี่ยวตัวเองกับชีวิตเท่านั้นเอง แล้วชีวิตมันคือการเปลี่ยนแปลงอะ แน่นอนว่ามันไม่สวยสดงดงามโดยไม่มีความดาร์ก เพียงแต่พี่ไม่มีความกล้าชนิดนั้นแต่ไหนแต่ไรแล้วไง พี่ก็อยู่ไปแบบนี้

ศาสนาพี่มองเป็นปรัชญา มันก็สอนบ้างหลายๆ เรื่อง แต่ส่วนใหญ่มันถูกใช้ในทางที่ผิดมาตลอด ทุกศาสนาถูกใช้ในแง่ที่มันไม่ควรจะถูกใช้ ฉะนั้นในตอนจบของมันก็คือคนเลิกนับถือ ซึ่งก็มีปริมาณมากขึ้น หรือจริงๆ เราไม่ต้องยึดอะไรก็ได้มั้ง พี่ก็แค่ใช้ชีวิตไป ถ้าพี่ยึดพี่ไม่ได้เขียนนิยายหรอก บ้าหรอ ออกนิยายเล่มแรกตอนอายุ 50 แค่ยึดอายุก็ฉิบหายแล้ว ก็แค่ทำไป เขียนหนังสือเล่มหน้าถ้าไม่ได้เรื่องก็ไปทำอย่างอื่น ไปถามเด็กๆ ว่ามีอะไรน่าทำ แค่สนุกกับมันอะ

พี่แหม่มดูปล่อยวางกับชีวิตมาก ความคิดแบบนี้ได้มาตอนไหน อะไรทำให้ไม่ยึดติดกับอะไรเลย

ตอนอายุ 30 พี่มีแมกกาซีนชื่อ ‘ไฮเปอร์’ เป็นแมกกาซีนที่เปรี้ยวมาก แกเอ้ย แกต้องชอบ คือ 90s แท้ๆ เราได้ยอดฝีมือมาช่วยกันทำ ผู้คนก็นับหน้าตาถือตาพอสมควร แต่มันเป็นการตลาดแบบเก่า แน่นอนมันก็ปิดตัวลงไป ตอนปิดตัวพี่จำได้ว่าพี่พยายามที่จะเปิดหนังสือใหม่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ค้นพบว่ามันไม่ได้ตอบอะไรสังคมหรอก มีคนบอกว่า เห้ย หนังสือเธอมีความเจริญ กราฟฟิกมีความเป็นแนวคิดใหม่ แต่มันตอบแค่อีโก้ตัวเอง แล้วในตอนที่พี่สำเหนียกถึงสิ่งนี้พี่ก็หยุด

ปีนั้นเป็นปีที่พี่ไม่ทำงาน อยู่บ้านกับลูก ใช้ชีวิตเรียบง่าย ใช้ตังค์น้อยที่สุด แล้วพี่ก็จำได้ว่าสิ่งที่สอนพี่สุดๆ คือวันหนึ่งพี่หันมาเจอดอกไม้บาน เป็นดอกไม้เล็กๆ เหมือนดอกหญ้า ดอกห่าอะไรสักอย่าง (บัวดินหรือเปล่า) เออใช่ ดอกบัวดิน พี่ก็หันไปมอง อุ้ย! มันบานเว้ย! แวบนั้นพี่ก็คิดว่าฉันไม่เคยเห็นสิ่งนี้เลยเพราะฉันไม่ได้มอง แล้วเมื่อฉันมอง ฉันเห็น ดอกไม้นี้จึงบานให้ฉันคนเดียว และนี่คือของขวัญอะ โมเมนต์เล็กๆ ที่ดอกไม้ดอกหนึ่งเกิดมาเพื่อกูอะ แต่ถ้าคุณไม่หันไปมองคุณก็จะไม่เห็น แล้วพี่ก็พบว่าชีวิตมันดีว่ะ ในตอนที่เราไม่เหลืออะไรเลย หนังสือที่อยากทำก็ไม่มีแล้ว แต่เรามีผัวหนึ่งคน ลูกหนึ่งคน ดอกไม้หนึ่งดอก สวนเล็กๆ แน่นๆ ของเรา มีข้าวมื้อเย็น เห้ย ในตอนที่คุณไม่มีอะไร คุณรู้ว่าคุณมีอะไรเว้ย มีเยอะด้วย

ตอนนั้นเฟลมากไหม

พี่เฟล คือเวลาที่คุณทำอะไรใหม่ๆ ในยุคที่ยังไม่มีทุกอย่างเยอะไปหมดแบบนี้อะนะ คุณทำหนังสือที่เป็นสตรีทแวร์ ใครๆ ก็มารุม ตอนนั้นก็ยังสวยๆ เอวบางร่างน้อย โทรศัพท์ทั้งวันจนแทบไม่ได้ทำงาน มี The Face โทรมาจากอเมริกา ว่ามีคนหอบก๊อปปี้หนังสือยูมา แม่งแจ่มว่ะ เราอยากทำหนังสืออย่างเธอ มันรู้สึกดีนะ อายุก็ยังน้อย มันก็เสิร์ฟอีโก้อะไรหลายๆ อย่าง แต่พอมันไม่มีแล้วกลายเป็นว่า เห้ย ตัวกูคือใครอะ คุณค่าจริงๆ มันอยู่ตรงไหน มันเป็นปีนั้นแหละที่พี่เริ่มสะระตะ แล้วกลับไปทำงานโฆษณาต่อ เลี้ยงลูก อยู่กับครอบครัว แล้ววันหนึ่งก็เปิดร้านสร้อย ขายของ ก็เลี้ยงลูกนั่นแหละ

จนลูกโตเราก็เลี้ยงลูกเป็นนักอ่าน เพราะเราต้องปล่อยให้เขาเติบโตด้วยตัวเอง วิธีการเดียวคือเขาควรจะเป็นนักอ่าน หนังสือมันเหมือนกับประตูเปิดเขาไปสู่สิ่งอื่นๆ เยอะแยะ สิ่งที่เราเองก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด แล้วเขาก็เป็นนักอ่านที่เข้มแข็ง ชอบพูดถึงนักเขียนคนนู้นคนนี้ เราก็ หึ่มมมม

จริงๆ ปฐมบทมีแค่นี้เองนะ อยากทำให้ลูกประทับใจ กูก็เขียนได้ หนักมือไปหน่อยสองรางวัลเลย (หัวเราะ)

แล้วก็พอดีมีเหตุการณ์ปี 53 ตอนแรกเราก็เขียนไปงงๆ ไม่ได้มีคอนเซปต์อะไรชัดเจน พอมาตอนนั้นเราเริ่มเห็นว่าเราต้องเขียนถึงสิ่งนี้ ก็เขียนบนแพลตฟอร์มเดิมคือเป็นนิยายรัก ดูว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน เราไม่ได้หวังว่าคนอ่านจะเกิดวุฒิปัญญาอะไรมากมาย แต่เมื่อมีคนอ่านเราก็ดีใจ ที่ดีใจมากๆ คือเราสามารถเชื่อมโยงกับคนอายุน้อยๆ ได้ ถ้าแฟนคลับเราอายุ 50 เราคงเสียใจอะ เขียนทำเหี้ยไรมีแต่คนแก่อ่าน

พี่สนุกกับการทำงานพอสมควร ช่วงหลังๆ สิ่งที่พัฒนาคือความสามารถในการเชื่อมโยงกับงาน ตั้งแต่ทำสร้อยละ เป็นสร้อยประหลาดอะ นั่งทำงานไปก็เริ่มเชื่อมโยงตัวเองกับงานได้ดีขึ้น รู้ว่าชอบอะไร สนุกสนานยังไง เขียนหนังสือกับทำสร้อยก็คล้ายๆ กัน แต่อันหนึ่งเป็นวิชวล อีกอันเป็นเรื่อง แล้วพอคุณเชื่อมโยงกับงานได้ คุณจะสนุกกับมัน เพลิดเพลินกับการแก้ปัญหา

ในทุกงานมันมีปัญหาหมดอะ บางคนบอกว่า โอ้ย เขียนหนังสือแล้วติด ไปต่อไม่ได้ เขียนไม่ได้ดั่งใจ นั่นคือคุณได้ถึงด่านแรกๆ แล้ว ถ้าคุณผ่านตรงนั้นไปได้คุณจะเริ่มสนุกละ

พี่ก็ถือว่าโชคดีในระดับหนึ่ง ตอนเด็กๆ ได้ทำโฆษณาที่ใครๆ ก็อยากทำ แต่มันคือการขายขี้กระป๋องอะคุณ แพ็กเกจจิ้งสวยงามยังไงเปิดออกมาก็ขี้ เขาจะบอกคุณว่านี่คือความงาม 7 ประการ แล้วก็ทำให้คุณกลัวว่าผัวจะไม่รัก เพื่อที่จะโปะครีมเข้าไป ราคาเท่ากับตู้เย็น 8 คิว คุณคิดดูละกันสิ่งที่งานโฆษณาทำคือการให้คนเอาตู้เย็น 8 คิวโปะหน้านอน บ้า

แสดงว่าไม่ศรัทธาในงานโฆษณา?

อี๊! พี่ถือว่ามันเป็นงานที่เลวทรามที่สุด แล้วพี่ก็ยืนยันว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้โฆษณาก็มีส่วน เขาบอกว่าคุณมีคุณค่าถ้ามีโทรศัพท์ คุณมีคุณค่าถ้าคุณเอาตู้เย็น 8 คิวโปะหน้า แล้วผัวคุณจะไม่ทิ้ง คุณจะมีความรัก มีครอบครัวผาสุข บ้า ไม่เกี่ยวกันเลยสักอย่าง

โฆษณาทำให้คุณยึดคุณค่าของสิ่งอื่นจนลืมไปว่าคุณค่าของเราคืออะไร โฆษณาทำให้คุณคิดว่าคุณต้องมีบ้านตอนอายุ 30 โฆษณาทำให้คุณไม่กล้าตายด้วยซ้ำ ซื้อกรมธรรม์ก่อน มันสั่นไหวคุณขนาดนั้น ทำให้คุณกลัว พัดพาโลกมาสู่จุดที่เราอยู่

แต่ตอนทำก็สนุกกับมันหรือเปล่า

คือเงินดี ณ ตอนนั้นนะ ใครทำนี่เก๋มาก แต่ตอนนี้อาชีพโฆษณาก็ไม่ได้หรูหราอะไรแล้วเนอะ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ตัวตลอดเวลาทำงานคือเราคิดว่าเราขายของ แต่ไม่ เราทำให้ผู้คนกลัว กลัวไม่มีบ้าน จริงๆ เช่าอะพาร์ตเมนต์อยู่ก็ได้นี่ ย้ายได้ด้วย ชอบผู้ชายเชียงใหม่ก็ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ คือโฆษณาสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่พี่ไม่ได้เสียใจอะไรเลย แม้จะเกลียดมันแต่มันทำให้เราเริ่มมองเห็นว่าเหตุใดผู้คนถึงทำงานฉิบหายแล้วกำเงินนิดๆ หน่อยๆ ไปซื้อมือถือ มันจำเป็นกับชีวิตไหม? คุณอาจจะมีชีวิตที่ดีก็ได้ถ้าไม่มีมัน

ติดมือถือไหม

ติด

ส่วนใหญ่ใช้ทำอะไร

ซื้อของ เล่นเฟซ อ่านไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ค้นพบว่าครึ่งหนึ่งคือเสียเวลามาก ว่าจะลดๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกคอนเนกกับโลก

มันก็เป็นปัญหาอย่างที่เห็นนะ ว่าทุกคนสนใจแต่ส่ิงนี้ แล้วความสัมพันธ์กับผู้คนก็น้อยลง แต่เดี๋ยวพวกคุณก็จัดการกันเอง มันน้อยมากๆ กูเหงากูก็เลิกใช้ คือทุกสิ่งมันต้องตอบความเป็นมนุษย์เท่านั้น ถ้ามันตอบไม่ได้เดี๋ยวมันก็ไป แล้วก็มีสิ่งใหม่ขึ้นมา รุ่นอัลฟา (Generation Alpha: เด็กที่เกิดในปี 2553 – 2568) เนี่ยอาจจะไม่เล่นแล้ว น่าจะไปนั่งใช้กระแสจิต ออกมาทำอย่างอื่นแทน

พี่สนใจโลกที่มันหมุนไปแบบนี้มากกว่า พี่อาจจะอยู่ได้สบายๆ เพราะพี่ไม่กลัวมั้ง พี่คิดว่าพ่อแม่ของพวกคุณเขากลัว ว่าเดี๋ยวลูกรักของเราจะหางานทำได้ไหม จะมีผัวไหม ถ้าไม่มีผัวจะเลี้ยงตัวเองได้ไหม ความกลัวก็จากโฆษณาแหละค่ะ ผ่านประกันชีวิต เงินออมเพื่อการศึกษาลูก นมที่ทำให้ลูกคุณเป็นเด็กฉลาด โรงเรียนอินเตอร์ที่ทำให้ลูกคุณพูดได้สามภาษา พอคุณได้ยินสิ่งเหล่านี้เยอะขึ้น การที่ลูกคุณพูดได้ภาษาเดียวนี้เป็นเรื่องเศร้าเลยนะ

แล้วอยู่ในโลกแห่งความกลัวโดยที่ไม่กลัวได้ยังไง

พี่อาจจะโชคดีกว่าคนรุ่นนี้นิดหนึ่งตรงที่พี่จำได้ว่าตอนกูไม่มีอะไรเลยกูก็สบายดี ตอนที่เด็กๆ ไม่มีอาหารเกาหลีเราก็อยู่ได้ ไม่รู้จักบิงซู ไม่มีสตาร์บัคส์ เราก็โอเค ก็เลยไม่ค่อยกลัว แล้วลูกพี่ก็โอเคด้วยแหละ เป็นเด็กฉลาด ชัดเจนว่าดูแลตัวเองได้ ความเชื่อมั่นในเจเนอเรชันถัดๆ มาของพี่ก็มาจากลูกด้วย

เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเชื่อได้ สามารถหาทุนส่งตัวเองไปเรียนต่างประเทศ จากเด็กที่ไม่เคยล้างถ้วยสักใบในบ้าน เดี๋ยวนี้ไปทั่วยุโรป เขาทำให้เราเห็นว่าเด็กข้างนอกเป็นอย่างนั้น แต่เด็กไทยไม่ ระบบการศึกษาเราห่วยแตก ไม่เคยสังคายนาเลย สนใจแต่จะต้องบังคับกันยังไง ใส่เครื่องแบบแบบนี้ ทำผมทรงนี้ ห้ามเอากัน สนใจอยู่เรื่องแค่นี้ ทำให้มันโคตรไม่สนุก เด็กไทยไม่สนุกเลย

คำถามคือในเมื่อเป็นเด็กที่ไม่สนุก แล้วมันจะโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน?

ถ้ามองย้อนกลับไปพอใจกับชีวิตตัวเองที่ผ่านมาไหม

ดีที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ พี่ไม่คิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าอย่างนั้นถ้าอย่างนี้ พี่ซาบซึ้งกับชีวิตพอสมควร รักใคร่ใยดีมันพอสมควร สร้างอะไรหลายๆ อย่าง ลูกชายหนึ่งคน หนังสือสองเล่ม เป็นที่รักของคนรุ่นคุณ อื้ม ก็โอเคนะ

สมมติต้องสั่งเสียให้ลูกหรือคนรุ่นต่อไปพี่แหม่มอยากพูดอะไร

ลาก่อน

แล้วถ้าให้เกิดมาเป็นพี่แหม่มอีกรอบเอาไหม

เอา (ยิ้ม)

 

ขอขอบคุณสถานที่ The Jam Factory และ Candide Book & Cafe