w©rld

บ้างขนาบสองฝั่งถนนที่รถแล่นผ่าน บ้างอยู่ท่ามกลางผืนป่าแต่แบ่งแยกพงหญ้ากับทางเรียบให้ผู้คนสัญจร บ้างยืนต้นเด่นเทียบเคียงตึกสูงระฟ้า

หากมองผ่านๆ อาจเห็นเป็นแค่ ‘ต้นไม้ริมทาง’ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ถ้าตั้งใจพินิจให้ถี่ถ้วน เราอาจพบว่า ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ยังคงต้องพึ่งพิงและอิงอาศัยอยู่กับธรรมชาติทุกเมื่อเชื่อวัน

เพราะความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขามีคุณค่ามากกว่าให้ร่มเงา แต่ยังช่วยทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน ดอกและใบที่ผลิผลัดหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาลก็คอยแต่งแต้มสีสันให้บ้านเมืองน่าอยู่เป็นไหนๆ

becommon ชวนทุกคนสำเร็จเส้นทางที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ผ่านภาพถ่ายที่สะท้อนให้เห็นความน่ารัก(ษ์) ของต้นไม้ริมทางในต่างประเทศ และการอยู่ร่วมกันระหว่าง ‘คนเมือง’ กับ ‘ธรรมชาติ’ ได้อย่างกลมกลืนและน่าอิจฉา

ถึงขนาดอดกลับมาย้อนคิดไม่ได้ว่า แล้วต้นไม้ริมทาง ทั้งละแวกบ้านและภายในเมืองที่เราใช้ชีวิตอยู่นั้น เป็นอย่างไร?

 

อุโมงค์ต้นไม้
หมู่บ้านฮัลเนเกอร์ สหราชอาณาจักร

Photo: Glyn Kirk / AFP

ต้นไม้ริมทางโน้มลำต้นลงเข้าหาทางเท้าจนกลายเป็นอุโมงค์ อยู่ใกล้กับฮัลเนเกอร์ (Halnaker) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเงียบสงบของเมืองชิชิสเตอร์ (Chichester) ในเขตเวสต์ซัสเซกซ์ (West Sussex) ทางตอนใต้ของสหราชอาณาจักร

Photo: Glyn Kirk / AFP

เมื่อเดินไปตามทางจนสิ้นสุดอุโมงค์ต้นไม้ จะพบกับกังหันลมขนาดใหญ่รอต้อนรับอยู่ แต่คนในละแวกนั้นนิยมเรียกทางเท้านี้ว่า Tunnel of Trees มากกว่าชื่อจริงๆ ของถนน คือ Mill Lane หรือ ถนนมิลล์

Photo: Glyn Kirk / AFP

 

ราชาต้นไม้
ปราสาทวินด์เซอร์ สหราชอาณาจักร

Photo: Justin Tallis / AFP

เส้นทางเดินตรงกลางที่เชื่อมต่อระหว่างสวนกับปราสาทวินด์เซอร์ มีต้นโอ๊กที่ยืนต้นแข็งแรงปลูกอยู่เป็นแนวยาว นำสายตาให้ทุกคนที่กำลังเดินมองเห็นตัวปราสาทแต่ไกล

Photo: Justin Tallis / AFP
Photo: Justin Tallis / AFP

โอ๊กเป็นต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปในสหราชอาณาจักร แต่กว่าจะเติบโตเป็นไม้ใหญ่หลายคนโอบต้องใช้เวลาร่วมร้อยปี นอกจากนี้ยังมักจะปรากฏอยู่ในเทพปกรณัม ตำนาน และความเชื่อโบราณว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงถูกขนานนามให้เป็นราชาของต้นไม้

Photo: Justin Tallis / AFP

 

ฟ้าสีชมพู
กรุงปารีส ฝรั่งเศส

Photo: Creditludovic Marin / AFP

นอกจากอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ และสวนสาธารณะ อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งคนทั่วไปจะได้เห็นความงามของดอกซากุระที่เปลี่ยนกรุงปารีสให้กลายเป็นสีชมพู คือริมถนนหนทาง โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบหอไอเฟลและประตูชัย

Photo: Creditludovic Marin / AFP

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชมดอกซากุระคือ ระหว่างมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนของทุกปี เพราะดอกซากุระจะบานเต็มต้นเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น

Photo: Creditludovic Marin / AFP

 

ต้นไม้แก่
เมืองไทปิง มาเลเซีย

Photo: Mohd Rasfan / AFP

ไม่ว่าเมืองไทปิง (Taiping) จะพัฒนาไปในทิศทางไหน สร้างสวนสาธารณะใหม่ หรือมีตึกใหญ่ขึ้นขยายความเจริญ ทางการของประเทศมาเลเซียได้ประกาศชัดเจนว่า จะไม่มีทางให้ต้นก้ามปูเก่าแก่ต้นนี้ ซึ่งมีอายุราว 130 ปีได้รับผลกระทบใดๆ จากการกระทำของใครเป็นอันขาด

Photo: Mohd Rasfan / AFP

ขนาดถนนที่ทำเป็นทางให้คนในเมืองวิ่งออกกำลังกายและปั่นจักรยานผ่านยังต้องลดความสำคัญลงไม่ให้รุกล้ำหน้าดินของต้นไม้ต้นนี้ หากกิ่งก้านและลำต้นจะแผ่ไปปิดกั้นถนนแทน นั่นเป็นเรื่องที่คนต้องคิดหาวิธีรักษาต้นไม้นี้ไว้ อย่างเช่น แท่นเหล็กที่ช่วยพยุงต้นไว้ให้โค่นล้ม

Photo: Mohd Rasfan / AFP

 

ปราการธรรมชาติ
กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

Photo: Kazuhiro Nogi / AFP

นอกเหนือจากต้นซากุระและต้นเมเปิล คนญี่ปุ่นยังนิยมปลูกต้นแปะก๊วยไว้ริมทาง หรือล้อมรอบสถานที่สำคัญและอาคารโบราณที่ก่อสร้างด้วยไม้เป็นหลัก ส่วนเหตุผลเบื้องหลัง คนมักเข้าใจว่าปลูกเพื่อความสวยงาม เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลืองทองอร่าม

Photo: Kazuhiro Nogi / AFP

แต่อีกเหตุผลที่หลายคนไม่รู้คือ ต้นแปะก๊วยทนทานต่อมลพิษและความร้อนจากเปลวไฟ เพราะใบของต้นกักเก็บน้ำอยู่ในเซลล์มากกว่าใบไม้อื่นๆ จึงถูกไหม้ได้ยากกว่า กลายเป็นว่าทำหน้าที่เป็นปราการธรรมชาติช่วยป้องกันการลุกลามของเพลิงไหม้ได้โดยปริยาย

Photo: Kazuhiro Nogi / AFP

คนญี่ปุ่นยังเชื่อด้วยว่าใบแปะก๊วยสีเหลืองจะนำพาความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองมาให้ บางคนจึงพกติดกระเป๋าไว้เป็นเครื่องราง

Photo: Kazuhiro Nogi / AFP

 

อุโมงค์แห่งรัก
เมืองเคลเว่น ประเทศยูเครน

Photo: Sergei Supinsky / AFP

ว่ากันว่านี่คืออุโมงค์ต้นไม้ที่โรแมนติกที่สุด เพราะตลอดความยาว 5 กิโลเมตรที่ทางรถไฟถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ทึบมีชื่อเล่นว่า Tunnel of Love ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งประจำเมืองเคลเว่น (Klevan) ประเทศยูเครน

แต่ในอดีตทางการทหารเคยใช้เป็นเส้นทางรถไฟในช่วงสงครามเย็น เพราะอยู่ในป่ารกชัฏจึงช่วยอำพรางการสอดส่องจากศัตรูได้ ก่อนเปลี่ยนมาเป็นเส้นทางขนส่งเหล็กช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟูหลังพ้นสงคราม

Photo: Sergei Supinsky / AFP

ถึงตอนนี้ยังมีรถไฟผ่านอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่สิ่งที่เพิ่มมาแทนคือการละเล่นกึ่งพิสูจน์รักแท้ โดยเชื่อกันว่า ใครก็ตามหากเดินไปตามทางรถไฟตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางครบระยะ 5 กิโลเมตร จะได้เป็นคู่รักกันจริงๆ หรือถ้าเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ก็จะรักแน่นแฟ้นมากขึ้น

Photo: Sergei Supinsky / AFP

 

ต้นไม้แห่งชีวิต
หมู่บ้านฟอนดีน ประเทศเซเนกัล

Photo: Georges Gobet / AFP

ต้นไม้รูปร่างอวบอูมไม่คุ้นตานี้มีชื่อว่า บาวบับ (Baobab tree) มาจากรากศัพท์ภาษาอาหรับหมายถึง ผลไม้ที่มีเมล็ดมาก เป็นต้นไม้ประจำถิ่นของประเทศเซเนกัล

ด้วยลักษณะลำต้นและกิ่งก้านที่ดูยังไงก็แปลกประหลาดและแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไป ทำให้มีฉายาว่า upside down tree เพราะดูคล้ายต้นไม้หัวกลับ แต่คนในพื้นที่อย่างหมู่บ้านฟอนดีน (Fandène) กลับยกย่องและเรียกว่า tree of life หรือ ต้นไม้แห่งชีวิต เพราะชาวเซเนกัลรู้จักใช้ประโยชน์ได้จากทุกส่วน

Photo: Georges Gobet / AFP

 

สนศักดิ์สิทธิ์
เมืองบะชาร์รี ประเทศเลบานอน

Photo: Joseph Eid / AFP

กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างถิ่นกำลังเร่งฝีเท้ารีบเดินผ่านทางลัดที่ตัดเข้าป่าสนในเขตเมืองบะชาร์รี (Besharre) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเลบานอน เพื่อไปให้ถึงบ้านพักก่อนดวงอาทิตย์ลับของฟ้า ไม่อย่างนั้นจะมองไม่เห็นอะไรเลย

ต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปในป่าแห่งนี้คือ ไม้สนซีดาร์แห่งเลบานอน (Cedra Libani) เป็นต้นไม้ใหญ่ยักษ์ออกใบเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ซึ่งมีอยู่ในประเทศเลบานอนเท่านั้น และเป็นไม้ที่ปรากฏในพระธรรมคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ในฐานะต้นสนศักดิ์สิทธิ์

ปัจจุบันกลายเป็นไม้ทำเงิน เพราะคนนิยมปลูกเพื่อใช้ในการก่อสร้างโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็งคุณภาพดี ไม่โค้งหรือบิดงอ ในเนื้อไม้ยังมีสารป้องกันเชื้อราและแมลง แต่มีราคาค่อนข้างสูง คนส่วนใหญ่จึงหันไปใช้ไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันแทน