w©rld

เราสามารถพึ่งพาการศึกษาในระบบโรงเรียนได้แค่ไหน? 

นี่คือคำถามที่พ่อแม่ยุคใหม่หลายๆ คน เริ่มกังขา เมื่อถึงเวลาที่ต้องพาลูกเข้าโรงเรียน 

เพราะเมื่อหันไปดูหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่กำหนดมาตรฐานของเด็กไว้แบบเดียวกันทั้งประเทศ

ก็ไม่แปลก ที่พ่อแม่ยุคใหม่จะมองว่า นั่นอาจไม่ใช่มาตรฐานที่เหมาะกับลูกของเรา  

โรงเรียนทางลือกและการจัดการศึกษาโดยครอบครัว หรือ โฮมสคูล (Home School) จึงเกิดขึ้นมา และยิ่งนับวัน ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ 

ในขณะที่บ้านเราเริ่มหันมาสนใจการจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลให้ลูก  

สหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการทำโฮมสคูลอย่างแพร่หลาย เริ่มมองหาทางเลือกใหม่ ที่เชื่อว่าดีกว่า และน่าจะเป็นอนาคตข้างหน้า ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน 

นั่นคือ ระบบโฮมสคูลแบบไฮบริด (Hybrid Homeschooling)  

Da Vinci Schools ในลอสแองเจลิส เริ่มเปิดโปรแกรมไฮบริดสำหรับเด็กโฮมสคูลในปี 2018 (Photo : facebook.com/davinciconnect/)

โฮมสคูลแบบไฮบริด คืออะไร 

Hybrid Homeschooling คือการศึกษาแบบลูกผสม ระหว่างการเรียนกับครอบครัวที่บ้าน และเรียนในโรงเรียน 

ใน 1 สัปดาห์ เด็กจะมาโรงเรียนเพียง 2 – 3 วัน แล้วแต่หลักสูตรที่พ่อแม่เลือก ที่เหลือคือการเรียนกับพ่อแม่ที่บ้าน ซึ่งในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนโรงเรียนที่เปิดระบบไฮบริดมากขึ้นเรื่อยๆ 

โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่าน ระบบโฮมสคูลแบบไฮบริด เป็นที่พูดถึงอย่างมากในแวดวงการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ว่านี่อาจจะเป็นอนาคตใหม่ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน 

พ่อแม่ที่สอนลูกแบบโฮมสคูล พาลูกๆมาโรงเรียน (Photo : Providence Hybrid Academy)

ทำไมโฮมสคูลแบบไฮบริดถึงมาแรง 

ถึงแม้ผลการสำรวจพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกาจะบอกว่า มีพ่อแม่ถึง 7% ที่ต้องการให้ลูกเรียนแบบโฮมสคูล ถ้ามีโอกาส 

แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่าง ที่สร้างความกังวล จนพ่อแม่หลายคนไม่มั่นใจที่จะจัดการเรียนแบบโฮมสคูลให้ลูก เช่น ค่าใช้จ่ายเรื่องสื่อการเรียนการสอนที่สูงพอสมควร ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะสอนทุกอย่างให้กับลูกได้ รวมถึงการอุทิศตัวให้กับลูกแบบเต็มเวลาก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ทุกคนจะทำได้

สุดท้ายคือความกังวลใจเรื่องทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่นของลูก ว่าเขาจะสามารถเข้าสังคมได้ไหมหากไม่เข้าโรงเรียน  

โมเดลของโฮมสคูลแบบไฮบริดจึงเกิดขึ้นมา เพื่อกำจัดจุดอ่อนของทั้งโฮมสคูลและระบบโรงเรียน

เด็กๆ ที่เรียนโฮมสคูลได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน (Photo : Providence Hybrid Academy)

หนึ่งในสถาบันที่ประสบความสำเร็จในการจัดหลักสูตรโฮมสคูลแบบไฮบริดอย่าง The King’s Academy ในรัฐจอร์เจีย ให้ความเห็นว่า   

“มันคือการรวมสิ่งที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ระบบมาไว้ในระบบเดียว พ่อแม่ยังคงเป็นคนสำคัญในการกำหนดแนวทางและสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้เหมาะกับลูก ในขณะเดียวกัน เด็กก็มีโอกาสได้สัมผัสการเรียนในชั้นเรียน และร่วมกิจกรรมบางอย่างที่พ่อแม่ทำให้ลูกไม่ได้ เช่น การเข้าชมรมดนตรี ร้องประสานเสียง เป็นสมาชิกบุ๊คคลับ หรือการเล่นกีฬาแบบทีมกับเพื่อนๆ”  

และด้วยหลักสูตรอันหลากหลาย ที่แต่ละโรงเรียนจัดเตรียมไว้ จึงง่ายสำหรับพ่อแม่ ที่จะมองหาโรงเรียนไฮบริดที่เหมาะกับลูกของตัวเอง โดยไม่ต้องคลำทางจัดเตรียมด้วยตัวเอง

และยังง่ายต่อการสร้างเครือข่ายผู้ปกครองของเด็กที่เรียนโฮมสคูลในหลักสูตรที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย

จากข้อดีของระบบที่มีความยืดหยุ่น พ่อแม่มีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือ โดยบทบาทของพ่อแม่ก็ยังคงสำคัญที่สุด และขจัดข้อกังวลใจหลายอย่างออกไปได้ จึงทำให้ปัจจุบันนี้ มีเด็กที่เรียนโฮมสคูลในสหรัฐอเมริกา เปลี่ยนมาเรียนโฮมสคูลแบบไฮบริดมากถึง 20%

โปรแกรมการเรียนแบบไฮบริดในชั้นเรียน ที่ Amber Shimel คุณแม่นักเขียนชาวอเมริกัน เลือกให้ลูก (Photo : https://www.amberlikes.com)

ไมค์ แมคเชน (Mike McShane) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา เคยยกตัวอย่างโรงเรียนที่มีโปรแกรมไฮบริด ว่าด้วยความหลากหลายและยืดหยุ่นตามความต้องการนี่แหละ จึงทำให้ระบบนี้ได้รับความสนใจ 

เช่น Regina Caeli schools ที่มีวิทยาเขตกระจายอยู่ใน 11 รัฐของสหรัฐอเมริกา จัดโปรแกรมแบบเรียนโฮมสคูลที่บ้าน 3 วันต่อสัปดาห์ และแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบมาโรงเรียน 2 วัน โดยโรงเรียนจะเน้นให้เด็กมีส่วนร่วมในการอภิปรายทางปัญญาแบบโสเคติส (Socratic seminar) และศึกษาตำราคลาสสิคต่าๆ ซึ่งเป็นวิถีของคาทอลิก ฉะนั้นครอบครัวคาทอลิกจึงไม่ลังเลที่จะให้ลูกเรียนแบบไฮบริดที่นี่

หรือโรงเรียนอย่าง UMSI schools ซึ่งเป็นโรงเรียนเด็กโต ก็จะเน้นหลักสูตรของโรงเรียนมากกว่าบ้าน เนื่องจากเนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้น บทบาทของพ่อแม่จะไม่ใช่ครูโดยตรงของเด็ก แต่จะเป็นผู้ชี้แนะ หรือเมนเทอร์ของเด็กๆ แทน แล้วมอบภาระการสอนเนื้อหาไปที่โรงเรียน  

โปรแกรมของเด็กมัธยม ที่ยากและซับซ้อนเกินกว่าพ่อแม่บางคนจะสอนลูกได้ การเรียนกับครูสัปดาห์ละ 2 วันจึงตอบโจทย์ (Photo : St. John the Baptist Hybrid School)

โดยรูปแบบของโฮมสคูลแบบไฮบริดนั้น มีตั้งแต่เด็กเล็กชั้นอนุบาล หรืออนุบาลถึงจบชั้นประถม เฉพาะชั้นมัธยม หรือตั้งแต่อนุบาลจนจบชั้นมัธยมเลยก็มี 

ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการเรียนแบบปกติ แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ยอมจ่าย 

เพราะเห็นว่าระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นแบบนี้ เป็นผลดีทั้งกับลูกและพ่อแม่ 

ลูกมีโอกาสฝึกทักษะเข้าสังคม และเรียนรู้ในบางสิ่งที่พ่อแม่ไม่สามารถเตรียมให้ที่บ้านได้ 

ในขณะที่พ่อแม่ก็ตัดกังวลไปได้หลายเรื่อง ทั้งยังมีเวลาส่วนตัวในบางวัน 

สำหรับประเทศไทย โอกาสที่จะเกิดหลักสูตรโฮมสคูลแบบไฮบริดในโรงเรียนได้นั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ยาก 

เพราะปัจจุบัน ถึงแม้การศึกษาแบบโฮมสคูลจะได้รับการรับรองจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังเกิดกรณีเรื่องความไม่เข้าใจของบุคลากรทางการศึกษาต่อระบบการศึกษาทางเลือกให้เห็นอยู่ตลอด 

และจนกว่าระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนไทย จะมีความหลากหลายทางการเรียนการสอนมากกว่านี้ แทนที่จะตีกรอบคำว่า ‘มาตรฐาน’ อยู่แค่บรรทัดฐานเดียว 

ถึงตอนนั้นเราคงได้เห็นการศึกษาทางเลือกอย่าง Hybrid Homeschooling เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในแวดวงการศึกษาไทยบ้าง  

 

อ้างอิง: