‘ควอนตัมคอมพิวเตอร์’ คือเทคโนโลยีใหม่ที่จะพลิกโลกทั้งใบ จนถึงขั้นเปลี่ยนนิยายวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นความจริง
เพราะควอนตัมคอมพิวเตอร์จะทำให้ ‘หน่วยประมวลผล’ ของคอมพิวเตอร์คิดได้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
วารสาร MIT Technology Review ระบุว่าเป็นความเร็วที่ ‘เกินจะจินตนาการได้’ (Nobody has yet envisioned.)
ความเร็วของหน่วยประมวลผลระดับนี้จะทำให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้เร็วขึ้นมหาศาล
นั่นหมายความว่า คอมพิวเตอร์จะ ‘ฉลาด’ ขึ้นในอัตราเดียวกัน
การมาถึงของควอนตัมคอมพิวเตอร์จึงเปรียบเสมือนคันเร่งที่จะพาโลกพุ่งเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ที่แท้จริง
คำถามคือ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ คืออะไร? มาเมื่อไหร่? และจะเปลี่ยนชีวิตเราอย่างไร?
จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ หรือ ‘ทิว’ นักฟิสิกส์ ดีกรีตรี-โท มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และกำลังเรียนปริญญาเอก ที่ศูนย์เทคโนโลยีควอนตัม (CQT) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ถามคำถามข้างต้นกับผู้ฟังในงานสัมมนา Quantum Computer เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ก่อนจะค่อยๆ ตอบทีละคำถาม และชี้ชวนให้ดูโลกอนาคตที่ (อาจ) ไม่เหมือนเดิม
อนาคตของคอมพิวเตอร์
ทุกคนมีสมาร์ทโฟน ถ้าสมาร์ทโฟนคือตัวแทนของคอมพิวเตอร์บนโลกใบนี้ เคยสังเกตไหมว่า หน่วยประมวลผลของสมาร์ทโฟนเร็วขึ้นทุกๆ ปี
ทิว-นักฟิสิกส์หนุ่มบอกว่า “นี่คือกฎของมัวร์”
กฎของมัวร์ (Moore’s Law) ระบุว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนแผงวงจร (นัยหนึ่งคือความเร็วในการประมวลผล) จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกๆ 2 ปี
คำถามคือ ความเร็วของหน่วยประมวลผลจะเร็วไปถึงจุดไหน?
กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) เจ้าของทฤษฎีกฎของมัวร์ บอกว่า ความเร็วที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวพันกับ ‘จำนวน’ ที่เพิ่มขึ้น และ ‘ขนาด’ ที่เล็กลงเรื่อยๆ ของหน่วยประมวล
ทรานซิสเตอร์หรือหน่วยประมวลผลในปัจจุบัน มีขนาดเหลือเพียงไม่กี่สิบอะตอมเท่านั้น (ทิวบอกว่า น่าจะประมาณ 70 อะตอม)
คำถามต่อไปคือ เมื่อ ‘ขนาด’ หน่วยประมวลผลเล็กลงไปเหลือ 1 อะตอม ความเร็วของคอมพิวเตอร์จะถึงจุดสิ้นสุดหรือไม่?
ถ้าดูจากอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยประมวลผลในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เราคาดเดาว่าอีกไม่เกินห้าหรือสิบปีข้างหน้า กฎของมัวร์จะถึงจุดสิ้นสุด
คอมพิวเตอร์จะไม่มีวันเร็วไปได้มากกว่านี้ เพราะนี่คือกฎของธรรมชาติ
ทว่าทิวบอกว่า ในวิชาฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ากฎของธรรมชาติไม่ได้มีกฎเดียว
กฎธรรมชาติที่ ‘เหนือสามัญสำนึก’ ของอะตอม
กฎที่อธิบายการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวัน เราเรียกว่า ‘Classical Physics’ ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่จะทำให้กฎของมัวร์ถึงจุดสิ้นสุด
และกฎที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ว่าเมื่อลดขนาดเล็กลงไปถึงระดับ ‘อะตอม’ ในที่อุณหภูมิเย็นยะเยือก กฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์หรือกฎของธรรมชาติจะเปลี่ยนไป เราสิ่งนี้เรียกว่า ‘Quantum Physics’ อันเป็นที่มาของความเร็วที่เหมือนไม่มีวันสิ้นสุดของคอมพิวเตอร์
กฎธรรมชาติในโลกของควอนตัมนั้นเป็นกฎที่อยู่ ‘เหนือสามัญสำนึก’ ทิวยกตัวอย่างปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมา 3 ปรากฎการณ์
ปรากฎการณ์ 1: อะตอมตัวหนึ่งสามารถอยู่หลายตำแหน่งได้ในเวลาเดียวกัน (Quantum Superposition) เปรียบเสมือนอะตอมสามารถอยู่ ซ้าย-ขวา ล่าง-บน ในเวลาเดียวกัน
ปรากฎการณ์ 2: อะตอมสามารถทะลุผ่านกำแพงได้โดยไม่ต้องกระโดดข้าม (Quantum Tunneling)
ปรากฎการณ์ 3: อะตอมสองตัวที่อยู่ห่างกันสามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องมีการส่งสัญญาณหากัน (Quantum Entanglement)
แน่นอน กฎเหล่านี้แปลกประหลาด เราไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าในระดับอะตอมนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ที่ผ่านการพิสูจน์ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จนไม่มีใครกังขาเรื่องความถูกต้องของทฤษฎี
เมื่อนำกฎของควอนตัม ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติกฎใหม่มาสร้างคอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์จึงเปลี่ยนไปจน ‘เหนือสามัญสำนึก’ เหมือนเช่นโลกของควอนตัม
แล้วเราเอากฎธรรมชาตินี้มาสร้างคอมพิวเตอร์อย่างไร?
รู้จักควอนตัมคอมพิวเตอร์
การจะตอบคำถามนี้ได้ต้องกลับมาดูพื้นฐานการทำงานของคอมพิวเตอร์วันนี้
คอมพิวเตอร์ปกติ มีหน่วยย่อยที่สุดของข้อมูล เรียกว่า บิท (bit)
1 bit มีค่า ไม่ ‘0’ ก็ ‘1’
8 bits เป็น 1 byte
อย่างหน่วยที่เราคุ้นเคย เช่น 1 Megabyte, Mega (อ่านว่า “เมกะ”) แปลว่า 1 ล้าน
ถ้าเรามีไฟล์รูปขนาด 1 Megabyte หรือ 1 MB ก็หมายความว่า ไฟล์รูปมี 1,000,000 bytes หรือ 8,000,000 bits หรือเลข ‘0’ หรือ ‘1’ เรียงกัน 8 ล้านตัว
ส่วนควอนตัมคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลเรียก ‘คิวบิท’ (qubit) ย่อมาจาก ควอนตัมบิท ซึ่งจะมีพลังและวิธีการประมวลผลที่ต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปตามกฎของควอนตัม
ถ้าเปรียบหน่วยประมวลผลปกติ 1 bit จะเหมือนเหรียญที่พลิกหน้าหลังได้ด้านใดด้านหนึ่ง คือเป็น 0 หรือ 1
แต่ 1 qubit จะเหมือนเหรียญที่อยู่บนไจโรสโคป (Gyroscope: อุปกรณ์ที่มีล้อหมุนเร็วบรรจุอยู่ในกรอบ หมุนเอียงได้ทุกทิศทางอย่างอิสระ) สามารถเป็น 0 และ 1 ได้ในเวลาเดียวกัน
การเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นแค่การเปรียบเทียบคร่าวๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเป็น 2 qubit ไม่ได้หมายความว่า เหรียญอยู่บนไจโรสโคป 2 ตัว ทว่าเปรียบเสมือนอยู่บนไจโรสโคปตัวเดียว แต่หมุนอยู่ในอวกาศ 7 มิติ
ฟังดูอาจเข้าใจยาก นักฟิสิกส์หนุ่มเพียงอยากจะบอกว่า 1 qubit นั้นทรงประสิทธิภาพกว่า 1 bit ของคอมพิวเตอร์ทั่วไปมหาศาล
“ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดหน่วยประมวลผล 50 qubits จะมีศักยภาพการคำนวณหรือหน่วยความจำใหญ่เทียบเท่าหรือมากกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่
“และถ้ามี 300 qubits หน่วยความจำของควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็จะมีมากกว่าจำนวนอะตอมที่มีอยู่ทั้งหมดในหนึ่งจักรวาล”
นิยาย Sci-Fi จะกลายเป็นจริง?
พลังประมวลผลอัน ‘เกินจินตนาการ’ จากกฎธรรมชาติใหม่ที่เหนือสามัญสำนึก จะทำให้คอมพิวเตอร์และจักรกลยุคต่อไป คิดได้เร็วและฉลาดขึ้นทบทวี เหมือนเช่นการคิดหาทางออกจากปัญหา
เปรียบคอมพิวเตอร์ทั่วไปเหมือนคนคนหนึ่งที่พยายามหาทางออกจากเขาวงกตด้วยการดุ่มเดินไปเรื่อยๆ แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะทำให้คนนั้นแยกร่าง และพยายามหาทุกความเป็นไปที่จะออกจากเขาวงกตในเวลาเดียวกัน
ปัญญาประดิษฐ์และสิ่งประดิษฐ์แบบนิยาย Sci-Fi จะกลายเป็นจริง ระบบที่มีอยู่จะกลายเป็นสิ่งไร้ประสิทธิภาพและถูกรื้อถอน เช่น ระบบความปลอดภัย RSA ของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ที่คอมพิวเตอร์วันนี้ใช้เวลาเจาะระบบเป็นพันปี แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที
นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ในช่วงเวลา “อีกไม่กี่สิบปี” เพราะระหว่างที่โลกหมุนอยู่ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศและบริษัทยักษ์ใหญ่กำลังมุ่งมั่นพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ไปข้างหน้า แม้ปัจจุบันจะก้าวข้ามปัญหาเรื่องของหน่วยประมวลผล (ขนาดราวๆ 1 เซนติเมตร) ที่ต้องอยู่ในเครื่องทำความเย็นยะเยือก (เกือบ -273.15 องศาเซลเซียส) ที่มีขนาดใหญ่ ด้วยการเชื่อมต่อการทำงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไขและพัฒนา คือควบคุม ‘อะตอม’ ที่มีธรรมชาติไม่อยู่นิ่งหลายๆ ตัว ให้ทำงานร่วมกันได้
1 qubit เท่ากับ 1 อะตอม ยิ่งควบคุมอะตอมได้มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของควอนตัมคอมพิวเตอร์จะสูงมากเท่านั้น
“หน่วยประมวลที่มีอยู่ตอนนี้ ยังมีแค่ 10-20 qubits เท่านั้น ยังไม่เยอะมาก และยังเป็น qubit ที่ยังไม่เสถียร
“แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทางกูเกิ้ลและอีกหลายบริษัท พยายามจะสร้างหน่วยประมวลผล 50-60 qubits ขึ้นมา โอเค อาจจะยังไม่เสถียร 100% แต่มันสามารถทำงานบางอย่างที่คอมทั่วไปทำไม่ได้”
ถามว่า เราเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว? ทิวตอบว่า
“ถ้าจุดหมายคือ 100% ตอนนี้เรามาถึง 50% แล้ว เพราะเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าจะควบคุมอะตอมได้ยังไง แต่ตอนนี้เรารู้วิธีควบคุมได้แล้ว ปัญหาคือจะควบคุมอะตอมหลายๆ ตัวได้ยังไง
“แต่จุดที่น่าสนใจคือ เราไม่ต้องรอให้ถึง 100% ก็ได้ แค่ทำได้ 70-80% เราก็สามารถใช้ประโยชน์จาก ‘การทำงานเฉพาะอย่าง’ ได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปแล้ว”
มนุษย์กับอนาคตที่ไม่มีใครล่วงรู้
วกกลับมาคำถามที่ช่วงต้นบทความ…
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ คืออะไร? – หลายคนคงตอบได้แล้ว
จะมาเมื่อไหร่? – มาแล้ว
จะเปลี่ยนชีวิตของเราอย่างไร? – ทิวเปิดภาพนี้แทนคำตอบ…
นี่คือภาพที่นักวิทยาศาสตร์เมื่อศตวรรษที่ 19 พยายามจินตนาการถึงเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 20 ก่อนจะพบว่า ไม่มีอะไรเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
บทเรียนหนึ่งของมนุษย์คือ “เราไม่เคยเดาอนาคตได้เลย”
ดังนั้น ชีวิตมนุษย์ในอนาคตอาจจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครล่วงรู้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่กำลังเดินทางเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์จะต้องปรับตัว เพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป
ส่วนจะปรับอย่างไร บางทีพระเจ้าอาจกระซิบบอกความลับนี้ ผ่านวิธีที่ใช้ในการสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์
นั่นคือ ‘จงลืมวิธีสร้างคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ไปให้หมด’